ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 131 ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
ห้าวันต่อมา ห่างออกไปจากหุบเขาเหยียนชานเป็นระยะเกือบสองพันลี้ ในเมืองแห่งหนึ่งตรงทางแยกระหว่างกองทัพจักรวรรดิ และเขตอิทธิพลดั้งเดิมของโลกมารฝ่ายตะวันตก องค์ชายหมีขาวพร้อมทั้งคนอื่น ๆ นั่งหารืออยู่ในท้องพระโรงของพระราชวังหลวง
พวกเขาถูกซูเซียงเสวี่ยไล่ติดตามสังหารมาหลายพันลี้ ตลอดทางได้พยายามต่อสู้สลับกับหยุดพักไปจนสุดทาง ก่อนจะหลบหนีมาจนถึงที่นี่ และได้รวบรวมกองทัพกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
เหล่าองค์ชายอสูรกับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนฟื้นคืนสติขึ้นแล้ว พวกเขานั่งอยู่ในท้องพระโรงด้วยใบหน้าซีดเผือด รวมทั้งองค์ชายอสูรที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานนัก ทุกคนต่างรวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว
“แล้วองค์ชายจิ้งจอกขาวเล่า?”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนที่เพิ่งได้สติเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
“เขาออกไปช่วยพวกเราต่อต้านการไล่ล่าจากองค์หญิง”
ร่างกายขององค์ชายหมีขาวมีแต่ผ้าพันแผล สภาพของเขายามนี้อ่อนแอยิ่ง
“เข้าใจแล้ว หมายความว่าเราชนะแล้วอย่างนั้นหรือ?”
องค์ชายวานรเผลอไปสัมผัสบาดแผลบนแขนเข้า พลันต้องแยกเขี้ยวออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อืม แน่นอน พวกเราชนะแล้ว” องค์ชายหมีขาวเผยรอยยิ้มปลอบใจบนใบหน้า เขายกภาพเขียนโบราณในมือขึ้นพร้อมกล่าวต่อไป “บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจากเผ่ามนุษย์ สร้างปัญหาให้กับโลกมารของเรามานานกว่าสองพันปี ทว่าตอนนี้ศัตรูผู้นั้นติดอยู่ในภาพเขียนนี้แล้ว”
“ไม่คาดคิดเลยว่าเราจะพึ่งพายุทธภัณฑ์ที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยทิ้งไว้เพื่อปราบมนุยษ์เช่นเขา”
ใบหน้าขององค์ชายมังกรเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ว่าแต่ องค์ชายกับองค์หญิงอสูรอีกสี่ตนที่เหลือล่ะ?”
“ข้าคุมขังพวกเขาไว้ที่คุกใต้ดินเรียบร้อยแล้ว”
องค์ชายหมีขาวยกจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนในมือขึ้น ก่อนกล่าวตอบ
“เมื่อผู้คนหลุดเข้ามาในภาพเขียนนี้ หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธวิเศษ ก็จะถูกจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนที่สร้างขึ้นกลางห้วงมิติภายในภาพโจมตี ส่วนเจ้าขยะทั้งสี่นั่นล้วนไม่ใช่ศัตรูของจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนเซียนที่ว่าสักนิด”
“เช่นนั้นบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเล่า?”
องค์ชายพยัคฆ์บิน ผู้ถูกไป๋ชิวหรานจับร่างตอกเสาเข็มลงดินกับมือ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่คลายความตระหนก
“เจ้าคิดว่าเซียนระดับสามัญคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสำหรับเขาหรอกใช่ไหม?”
“แน่นอน”
องค์ชายหมีขาวคลี่ภาพเขียนโบราณออก กวาดสายตาสำรวจอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเจือความหวาดกลัวที่ยังค้างคาอยู่
“นับตั้งแต่สงครามที่เกิดขึ้น ณ หุบเขาเหยียนชานจวบจนตอนนี้… ก็ผ่านมาห้าวันเต็มแล้ว ภายในห้วงมิติของภาพนี้ เหล่าจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนกำลังเข้าล้อมรอบบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ทำให้ชายหนุ่มต้องต่อสู้กับพวกเขาอย่างต่อเนื่องจวบจนตอนนี้ ข้าไม่อาจนับได้ว่ามีจิตรกรรมน้ำหมึกเซียนถูกเขาสังหารไปเท่าไหร่… แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าเจ้าหนุ่มนั่นใกล้จะสิ้นเรี่ยวแรงและกำลังจะตาย”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นั้นแข็งแกร่งมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิอสูรองค์ใหม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับองค์ชายหมีขาว เขาไม่ได้มีส่วนร่วมใด ๆ ในยุทธการสงครามที่หุบเขาเหยียนชานแม้แต่น้อย ทว่าเผยสีหน้าชื่นชมยินดี
“บุคคลที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าอยากพบเจอเขาเสียจริง”
“องค์จักรพรรดิชางหวงอวี่ทรงกล้าหาญประหนึ่งลูกวัวแรกเกิดที่ไม่เกรงกลัวเสือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น องค์ชายหมีขาวจึงแค่นเสียงเย้ยหยัน
“หากก่อนหน้านี้องค์จักรพรรดิทรงอยู่กลางสนามรบ กระหม่อมเกรงว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์คงจะบดขยี้ท่านภายในพริบตาเดียว”
“ใครว่าล่ะ?”
ชางหวงอวี่กวาดสายตามองโดยรอบพลางยักไหล่
“ดูจากรูปลักษณ์ขององค์ชายอสูรเช่นพวกเจ้าแล้ว ล้วนแต่พ่ายแพ้ให้กับเขา แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีทาง”
“ฟังพระดำรัสขององค์ชายชางหวงอวี่แล้ว หมายความว่าท่านมีความสามารถมากกว่าชายชราเช่นพวกเราอย่างนั้นสินะ?”
องค์ชายพยัคฆ์บินตอบโต้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย การที่มีชีวิตรอดแล้วมานั่งอยู่ตรงหน้าข้าเช่นนี้ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ”
ชางหวงอวี่แสยะยิ้ม พลังปราณอสูรแก่นแท้ภายในร่างค่อย ๆ หลั่งไหลออกมา พร้อมกับพลังปราณรูปมังกรทองสีเขียวเลือนรางที่โผล่ออกมาจากร่างกายทุกส่วน!
“ฮึ่ม! ถึงแม้ข้าจะบาดเจ็บสาหัส ทว่าพลังยังเหลือพอที่จะสังหารเด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งขึ้นครองราชย์!”
องค์ชายพยัคฆ์บินเผยสีหน้าบึ้งตึง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น
ระดับขั้นพลังของอสูรทั่วไปในอสูรเผ่ามาร เกือบจะเทียบเท่ากับระดับการฝึกตนในขั้นปฐมวิญญาณของเผ่ามนุษย์ แม้ว่าชางหวงอวี่ผู้สืบทอดสายเลือดของราชวงศ์ทั้งยังมีสถานะกลายพันธุ์ ทำให้สามารถใช้พลังการต่อสู้ได้สูงกว่าระดับทั่วไป แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าองค์ชายอสูรที่บรรลุขั้นผสานร่างแล้ว ขั้นพลังของเขายังนับว่ายังอ่อนแอนัก
“เอาเถิด”
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนก็โพล่งขึ้นขัดจังหวะไว้เสียก่อน
“ทุกคนถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงพร้อมด้วยกองทัพขนาดใหญ่คอยอยู่ภายนอก ประหนึ่งเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ เราต้องลากสังขารที่อ่อนล้าเป็นทุนเดิมออกไปต่อสู้ แล้วปล่อยให้องค์จักรพรรดินั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ภายหลังอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน องค์ชายพยัคฆ์บินและชางหวงอวี่จึงสงบคำลง
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนกระแอมไอออกมาสองครั้ง ก่อนจะประกาศด้วยเสียงดังกร้าว
“บัดนี้ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝั่งของเราต้องร่วมมือกันเพื่อตั้งรับการจู่โจมขององค์หญิง องค์ชายอสรพิษดำ องค์ชายและองค์หญิงอสูรทั้งสี่ถูกคุมขัง รวมไปถึงกองทัพของโลกมารฝ่ายตะวันตกคงจะตามนางมาที่นี่อย่างแน่นอน เรายังกระทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากอดทนรอจนกว่าความแข็งแกร่งของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะหมดสิ้นลง ถึงวันนั้น ค่อยหารือเจรจากับองค์หญิง”
“ท่านอัครมหาเสนาบดีกล่าวถูกต้อง”
องค์ชายจิ้งจอกขาวเดินเข้ามาจากประตูท้องพระโรง พร้อมกล่าวแสดงความเห็นด้วย
เขาเดินเข้ามาก่อนจะทรุดกายลงนั่ง องค์ชายหมีขาวที่นั่งอยู่ถัดไปสังเกตเห็นร่องรอยความซีดเซียวอย่างผิดธรรมชาติบนใบหน้าอีกฝ่าย ทำให้อดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้
“องค์ชายจิ้งจอกขาว เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
“อืม เล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นอะไรมาก”
องค์ชายจิ้งจอกขาวฝืนเผยรอยยิ้มขมขื่น
“สตรีเพศช่างน่าขยาดกลัวเสียจริง เป็นครั้งแรกที่เห็นสตรีที่มีพลังอำนาจนั่นบ้าคลั่งเพียงใด…”
“ตอนนี้องค์หญิงเป็นอย่างไร?”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนถามกลับ
“นางถูกข้าโจมตีจนต้องล่าถอย ตอนนี้กลับไปจัดระเบียบกองทัพใหม่แล้ว”
องค์ชายจิ้งจอกขาวกล่าวตอบ
“องค์จักรพรรดิ ความแข็งแกร่งขององค์หญิงนั้นมหาศาลนัก ทว่าในแง่ของการจัดกองกำลังเดินทัพ ดูเหมือนว่ายังมีบางสิ่งที่บกพร่อง…”
“ท้ายที่สุดแล้วคงไม่ปรารถนาที่จะอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ นางเพียงผูกดวงใจติดอยู่กับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์เท่านั้น… นั่นเป็นเรื่องที่พอจะคาดเดาได้”
องค์ชายมังกรเผยอยิ้มก่อนกล่าวต่อ
“หากกล่าวถึงการจัดกระบวนทัพกับการสู้รบ สิ่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับองค์จักรพรรดิอสูรและอัครมหาเสนาบดีแล้ว ตอนนี้เราสามารถฉวยโอกาสจากข้อบกพร่อง พยายามสุดความสามารถเพื่อลดจำนวนกองกำลังภายใต้การบังคับบัญชาของนางลงให้ได้มากที่สุด ท่านคิดเห็นเช่นไร? อัครมหาเสนาบดีอวิ๋น”
“อืม คงต้องดำเนินการเช่นนั้น”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนโค้งกายน้อมรับพร้อมกล่าวออก
“ในเมื่อปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงแล้ว ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง เกี่ยวกับแผนที่ของสุสานของจักรพรรดิอสูรเผ่ามารองค์แรก”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ ด้วยสติปัญญาของเขาแล้ว ย่อมนำสมบัติดังกล่าวติดตัวไว้อยู่เสมอ หลังจากที่บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงหมดสิ้นเรี่ยวแรง ถุงเก็บสมบัตินั่นจะตกเป็นของเราด้วย”
องค์ชายหมีขาวระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“อัครมหาเสนาบดีอวิ๋น เราควรผูกมิตรต่อกันไว้ จนกว่าสุสานจักรพรรดิไท่จู่จะถูกเปิดออก”
“ย่อมได้”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนพยักหน้ารับ ขณะสังเกตสีหน้าท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นมิตรบนใบหน้าขององค์ชายอสูรตรงหน้า ทว่าในใจกลับรู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงลอบส่งกระแสจิตศักดิ์สิทธิ์ไปยังชางหวงอวี่ที่นั่งอยู่ถัดจากตน
“องค์จักรพรรดิ ทรงจดจำสิ่งที่กระหม่อมกล่าวไว้ให้แม่นยำ อย่าได้ลังเลที่จะนำจี้หยกที่กระหม่อมมอบให้พระองค์ออกมา เพื่อแสดงการยอมแพ้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง!”
…
สีหน้าของซูเซียงเสวี่ยดูเย็นชานัก นางย้อนกลับมายังสถานที่จัดกระบวนทัพในโลกมารฝ่ายตะวันตกด้วยอารมณ์โกรธแค้น
เมื่อทหารองครักษ์ของโลกมารฝ่ายตะวันตกเหลือบเห็นเข้า พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง จึงทำเพียงก้มหน้างุด รอให้องค์หญิงซึ่งบัดนี้กลายเป็นผู้นำที่แท้จริงเดินผ่านกลับเข้าไปที่กระโจมที่พักส่วนตัว
ทันทีที่นางนั่งลง มีเสียงดังออกมาจากด้านนอกกระโจม
“เข้ามา”
ด้านนอกกระโจม อสูรตนหนึ่งที่มีหัวเป็นจระเข้เดินเข้ามา พร้อมกับก้มลงต่ำ
“ท่านผู้บังคับบัญชาต้องการออกคำสั่งใด?”
“กระจายคำสั่งของข้าออกไป ยามเช้าวันรุ่งขึ้น กองทัพทั้งหมดจงกินอาหารกันให้อิ่มหนำสำราญ หลังจากนั้นเพียงครึ่งชั่วยาม จะต้องจัดกระบวนทัพให้พร้อมเข้าโจมตีเมืองฝ่ายศัตรู”
“ท่านผู้บังคับบัญชา…”
อสูรจระเข้เกิดความลังเล
“หลังจากที่สู้ศึกมาหลายวัน ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเหล่าพี่น้องเราต่าง…”
“จะให้ข้าหยุดพักรบงั้นหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยหรี่ตามองพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ต้องการให้บอกกล่าวตามตรงหรือไม่ ว่าแม่ทัพฝ่ายศัตรูต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส กองกำลังก็ร่อยหรอลงไปทุกขณะ นี่จึงถือเป็นโอกาสเดียวของเรา เข้าใจหรือไม่?”
อสูรจระเข้รีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก้มหัวลงต่ำ โดยไม่กล้ากล่าวคำใดอีก
“หากเข้าใจก็จงออกไปกระจายคำสั่งซะ”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเบา ๆ อีกครั้ง
“ขอรับ”
อสูรจระเข้ก้มหัวลง ก้าวเดินถอยหลังออกจากกระโจมไป ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง หูอันบอบบางของซูเซียงเสวี่ยก็ได้ยินเสียงถ่มน้ำลาย ตามด้วยเสียงสาปแช่งของอสูรจระเข้จากด้านนอก
“นังตัวแสบ!”
ทว่านางไม่คิดหยิบยกมาใส่ใจ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นแนบแก้มเท้าคางไว้พร้อมเหยียดยิ้ม