ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 133 ขั้นการฝึกฝนตนของข้าสูงเพียงนั้นหรือ
เปลวไฟในคบเพลิงริบหรี่ แสงไฟที่สว่างเรืองรองขึ้นกลบความมืดโดยรอบ ทำให้เกิดแสงสลัวรางเพียงเล็กน้อย
ภายในคุกใต้ดิน อสูรพยัคฆ์แขนเดียวท่าทางเหมือนเป็นแม่ทัพ สั่งให้อสูรใต้บังคับบัญชาหลายตนแบกร่างไป๋ชิวหรานที่ ‘ยังมีสติ’ เข้าไปยังห้องขังที่อยู่ลึกลงไปในชั้นใต้ดิน
ขณะที่อสูรหลายตนกำลังช่วยกันยกร่างไป๋ชิวหรานขึ้น และใช้กุญแจมือในคุกใต้ดินเพื่อผูกมัดเขา อสูรพยัคฆ์แขนเดียวก็ได้หยุดพวกมันไว้ทันที
“มัดเขาให้ห้อยกลับหัว”
ว่าแล้วอสูรพยัคฆ์ก็เดินเข้าไปใกล้เตาไฟ เอื้อมมือไปหยิบเอาเหล็กหัวแร้งสีแดงฉานออกมา
“แต่นี่เป็น…”
อสูรหลายตนชำเลืองมองสบตากันและกัน ฉับพลันกลับเกิดความลังเล
“ท่านแม่ทัพ นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลย… องค์ชายอสูรมิได้สั่งให้เราลงทัณฑ์เขา”
“แต่องค์ชายอสูรไม่เคยออกคำสั่งห้ามให้พวกเราทำอะไรกับเขา”
อสูรพยัคฆ์แขนเดียวมองดูเหล็กร้อนแดงฉานในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เขายกแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวขึ้นพร้อมกล่าวว่า
“เจ้าเห็นนี่หรือไม่? เพียงเพราะปราณกระบี่ของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ทำให้ข้าเกือบถึงแก่ชีวิต ตอนนี้เขาตกอยู่ในกำมือแล้ว ขอให้ได้ประทับตราทาสไว้บนร่างของเขาทีเถอะ!”
“แต่นี่…”
“หลีกไปให้พ้น! หากพวกเจ้าไม่กล้า ก็อย่าได้ขวางทางให้รกหูรกตา!”
เมื่อเห็นว่าอสูรเหล่านั้นยังคงลังเลใจ เขาจึงระเบิดโทสะพวกเขาออกไปด้วยความใจร้อน
หลังจากปิดประตูห้องขังไว้อย่างแน่นหนาแล้ว อสูรพยัคฆ์ใส่กุญแจมือไป๋ชิวหรานโดยจัดท่าให้ห้อยศีรษะคว่ำลง ด้วยแขนที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวด้วยความยากลำบาก ขณะมองไปยังชายหนุ่มที่หันแผ่นหลังให้ ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง เขาเดินผละออกมาถึงเตาไฟ ก่อนจะหยิบเอาเหล็กหัวแร้งขึ้นมาอีกครั้ง
“มันคือสิ่งใดหรือ?”
ใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขาเอ่ยถาม
“หืม เจ้าไม่รู้จักหรอกหรือ? นี่คือสิ่งที่โลกมารฝ่ายเหนือของเราจะประทับไว้บนร่างของทาสจากสงคราม เมื่อผู้ใดก็ตามถูกทำเครื่องหมายด้วยเหล็กหัวแร้งนี้แล้ว ตราบใดที่อยู่ในเขตแดนฝ่ายเหนือ ก็เท่ากับแสดงสถานะของเขาอยู่ในฐานะทาส ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรหรือสถานการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เครื่องหมายแห่งความอัปยศอดสูนี้ไม่สามารถลบออกได้!”
อสูรพยัคฆ์บอกเล่าเรื่องราวอย่างอารมณ์ดีจับเหล็กหัวแร้งชูขึ้นขณะกล่าวโอ้อวด แต่แล้วสัญชาตญาณกลับตอบสนองถึงบางสิ่ง หัวใจพลันเย็นเฉียบลง
เมื่อหันศีรษะกลับไปอีกทาง พบว่าชายหนุ่มเรือนผมขาวที่ฟื้นคืนสติขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบ หลุดจากพันธนาการที่อีกฝ่ายมัดไว้ ทั้งยังก้าวมายืนอยู่ข้างกายเขาพร้อมแสยะรอยยิ้ม
“ป้องกัน…”
ยังไม่ทันที่อสูรพยัคฆ์จะตะโกนออกคำสั่ง ไป๋ชิวหรานรีบชี้นิ้วออกไป ทำให้ปราณที่ส่งผ่านปลายนิ้วทิ่มแทงเข้าที่เส้นเสียงของเขาโดยตรง จนอสูรพยัคฆ์สำลักประหนึ่งถูกบีบคอ ไม่อาจเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้อีก!
ไป๋ชิวหรานใช้เท้าข้างหนึ่งเตะอีกฝ่ายให้ล้มลงกับพื้น ก่อนจะยกเหล็กหัวแร้งที่ถูกเผาอยู่ในเตาไฟขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าจะชื่นชอบตราประทับนี้ไม่น้อยทีเดียว เช่นนั้นข้าจะสร้างตราประทับลงบนร่างของเจ้าเอง… มาดูกันว่าข้าจะสามารถเผาลงไปสิบเจ็ดหรือสิบแปดจุดกันแน่”
จากนั้น ภายในห้องขังของคุกใต้ดินที่มืดมิดและเย็นยะเยือก พลันเกิดเสียงจี่ของวัตถุบางอย่างที่ถูกย่างจนร้อนฉ่า
เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ไป๋ชิวหรานก็เดินออกมาจากคุกใต้ดินด้วยสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลายเสียเต็มประดา เขาใช้หลังมือดันประตูให้ปิดลง ก่อนจะลงกลอนขังแม่ทัพอสูรพยัคฆ์แขนเดียวที่กำลังนอนสิ้นสภาพอยู่บนพื้น โดยที่แผ่นหลังและบั้นท้ายไหม้เกรียม…
จื้อเซียนที่ถูกแขวนอยู่ตรงบั้นเอวของไป๋ชิวหรานอดพร่ำบ่นไม่ได้
“ก่อนหน้านี้ใครกันที่บอกกับองค์ชายอสูรในโลกมารฝ่ายตะวันตกว่า เผ่ามนุษย์มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนขัดเกลาจิตใจตนเอง ไม่โจมตีผู้อื่นโดยง่าย?”
“ข้าเอง”
ไป๋ชิวหรานยอมรับอย่างไร้ยางอาย
“แต่ตอนนั้นข้าหมายถึงผู้มีระดับขั้นการฝึกตนสูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างหาก… ขั้นการฝึกตนของข้าสูงเพียงนั้นหรือไง?
จื้อเซียนถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออก เพราะลักษณะพิเศษของไป๋ชิวหรานนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าระดับขั้นการฝึกตนของเขาสูงเพียงใด
“ไปกันเถอะ กระแสจิตของข้าสัมผัสได้ว่าองค์ชายหมีขาวกับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ต่างครอบครองชิ้นส่วนของแผนที่ที่เหลือไว้ ซึ่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ตราบใดที่ชิ้นส่วนของแผนที่ปรากฏอยู่ในขอบเขตการมองเห็นของเจ้า หมายความว่าสามารถมองเห็นมันได้ใช่หรือไม่?”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ใช่ ข้าระบุได้ทันทีว่าเป็นวัตถุจริงหรือเท็จ”
“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ”
หลังย่างกรายออกจากคุกใต้ดิน อสูรทั้งหมดที่พบเห็นไป๋ชิวหรานก็ถูกเขากระแทกจนหมดสติไปตลอดทางก่อนที่จะได้ส่งเสียงเสียอีก ไป๋ชิวหรานเดินไปจนสุดทางแทบจะทั่วทั้งเมือง จากนั้นก็มาถึงภายในพระราชวังของโลกมารฝ่ายเหนือ และหยุดอยู่หน้าห้องขององค์ชายหมีขาว
เป็นจริงดังที่กล่าวก่อนหน้านี้ องค์ชายหมีขาวตนนี้กำลังเชื้อเชิญองค์ชายอสูรตนอื่น ๆ ให้เข้ามาดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญกัน ทว่าองค์ชายวานรและองค์ชายมังกร รวมถึงอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนกลับไม่อยู่
ขนบธรรมเนียมของโลกมารฝ่ายเหนือค่อนข้างป่าเถื่อนทีเดียว องค์ชายหมีขาวและองค์ชายพยัคฆ์บินร่ำสุราจนเมามายแล้ว พวกเขาต่างสวมกอดอสูรสาวรูปร่างหน้าตาสละสลวยที่สวมใส่เพียงเสื้อคลุมขนสัตว์และนุ่งผ้าที่มีความสั้นเพียงหนึ่งคืบ ทั้งยังหัวเราะร่าทั้งที่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ที่นั่งซึ่งควรเป็นขององค์ชายจิ้งจอกขาวว่างเปล่า ทว่าได้ตระเตรียมอาหารและสุรารสเลิศไว้สำหรับเขาแล้ว ในขณะที่องค์ชายกระทิงขุยซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งมีร่างกายอ่อนแรง เพิกเฉยต่อบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าสองสามคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง สายตาเหม่อมองดูอาหารเลิศรสบนโต๊ะด้วยความสับสนมึนงง
ไป๋ชิวหรานยืนรั้งรออยู่นอกประตูพลางครุ่นคิดอยู่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นแตะบานประตู
พลังวิญญาณที่แท้จริงภายในร่างกายของเขากำลังพลุ่งพล่านและหลั่งไหลออกมาอย่างช้า ๆ กลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่ไม่อาจดับให้มอดลงกำลังควบแน่นอยู่ในฝ่ามือ
ไป๋ชิวหรานเรียกใช้ผนึกเปลวไฟที่อุณหภูมิสูงทวีขึ้นเพื่อหลอมละลายบานประตู จากนั้นจึงบีบเปลวไฟไร้เทียมทานไม่รู้ดับให้ควบแน่นกลายเป็นลูกปัดไฟขนาดเล็กหลายลูก ทั้งหมดเจาะผ่านช่องว่างที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ลูกปัดไฟที่ควบแน่นด้วยพลังฝ่ามือทะลุผ่านช่องว่างเข้าไป เกิดเป็นเสียงคมชัดกังวาน ‘ปัง ปัง ปัง’
…
ด้านนอกเมือง การต่อสู้ยังคงโหมกระหน่ำ
แม้ว่ากองกำลังที่ยังอยู่เคียงข้างซูเซียงเสวี่ยจะเหลืออยู่เพียงยี่สิบนาย ทว่ายังเป็นการยากที่องค์ชายจิ้งจอกขาวจะโค่นนางลงได้
อสูรกว่ายี่สิบตนที่ยังยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าความสามารถจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงในสนามรบ ด้วยพลังการควบคุมของซูเซียงเสวี่ย ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกัน พวกมันก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายประหนึ่งเชือดไก่และสุนัขเท่านั้น!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ฟาดฟันกันไปตลอดทางตั้งแต่ฟ้าสางจนกระทั่งท้องฟ้าสว่างแจ่มใส ซูเซียงเสวี่ยไม่พ่ายแพ้ให้กับผู้ใดทั้งสิ้น ในทางกลับกัน กองทัพจักรวรรดิอสูรและกองทัพของโลกมารฝ่ายเหนือกลับพ่ายแพ้จนศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การต่อสู้อันดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ทั้งคนและม้าทางฝั่งของซูเซียงเสวี่ยเริ่มมีอาการเหนื่อยล้ารวมทั้งตัวนางเอง เมื่อเห็นสิ่งนี้ องค์ชายจิ้งจอกขาวจึงเอ่ยโน้มน้าวทันที
“องค์หญิง หยุดการต่อสู้เสียเถิด ความพ่ายแพ้ของท่านถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนนี้คนที่เหลืออยู่มีเพียงไม่ถึงยี่สิบนาย พวกเขาล้วนเป็นนักรบที่ภักดีและแข็งแกร่งยิ่ง การปล่อยให้มาตายตกในที่แห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายทรัพยากรคนให้เสียเปล่า ทว่ายังน่าเสียดายไม่น้อย”
ซูเซียงเสวี่ยยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
“ฟังจากความนัยที่องค์ชายจิ้งจอกขาวต้องการสื่อแล้ว เจ้าคิดว่าความพ่ายแพ้ของข้าได้รับการตัดสินชัดเจนแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?”
องค์ชายจิ้งจอกขาวหันมองโดยรอบพร้อมกล่าวต่อไป
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงถูกปราบลงแล้ว องค์หญิงจะยังพึ่งพาชัยชนะจากผู้ใดอีก? อย่ากล่าวหาว่าคำพูดของข้าไม่สู้ดีนักเลย แต่การจัดกระบวนทัพเพื่อสู้รบในฐานะที่ท่านเป็นผู้บัญชาการกองทัพในไม่กี่วันที่ผ่านมาช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่ายังอ่อนหัดนัก”
“ไม่ผิดหรอก เพราะข้ามิได้มีความทะเยอทะยานที่จะอยู่ในที่แห่งนี้ เพียงแต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้เพื่ออำนาจและตำแหน่ง เมื่อเทียบกับการจัดกระบวนเดินทัพกับการต่อสู้ ข้าย่อมชำนาญด้านทักษะอื่นมากกว่า เช่น บรรเลงพิณ เล่นหมากรุก ประดิษฐ์อักษร วาดภาพ เย็บปักถักร้อย หรือทำอาหาร ทว่าขณะนี้ทางฝั่งโลกมารฝ่ายตะวันตกไร้ซึ่งองค์ชายอสูรอันเป็นผู้นำ ข้าจึงจำเป็นต้องรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพชั่วคราว… แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของข้าอยู่ดี”
ซูเซียงเสวี่ยยังคงเผยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ว่าแต่เจ้าเถิด องค์ชายจิ้งจอกขาว เจ้าคิดว่าตนเองกำราบไป๋ชิวหรานสำเร็จแล้วจริงหรือ?”
องค์ชายจิ้งจอกขาวมีท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“องค์หญิงหมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าเจ้ายังไม่รู้จักไป๋ชิวหรานดีพออย่างไรล่ะ”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวพลางเชิดคางขึ้น
“ดูนั่นสิ”
องค์ชายจิ้งจอกขาวรีบหันหน้ากลับไปทันที พบว่าในเมืองด้านหลัง ตำแหน่งที่ตั้งของพระราชวังถูกแรงระเบิดมหาศาลทำลายล้าง ควันหนาทึบรวมถึงเปลวไฟโหมพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจนกลายเป็นสีแดงฉาน เคล้าไปกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอันอื้ออึง!