ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 134 แลกชีวิต
ภายในท้องพระโรงของพระราชวังหลวง ที่ซึ่งเหมาะกับการแสดงมโหรสพและเต้นรำทำเพลง กลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้ว!
ภายใต้เปลวเพลิงไม่รู้ดับของผนึกอัคคี แม้แต่ศิลาที่ก่อสร้างขึ้นเป็นท้องพระโรงของพระราชวังหลวงยังอ่อนตัวลงและหลอมละลายเป็นรูปทรงพิสดารบนพื้น ร่างไร้วิญญาณสภาพไหม้เกรียมหลายศพนอนตัวคดงอติดอยู่ในซากปรักหักพัง ภายใต้แรงระเบิดอุณหภูมิสูงที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาแสดงอากัปกิริยาเช่นก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ… เพียงออกแรงสัมผัสแผ่วเบาเท่านั้น ร่างจะแหลกกลายเป็นขี้เถ้าชั้นดีและสลายไป
ในบรรดาศพไหม้เกรียมเหล่านี้ มีร่างขององค์ชายอสูรสองตน ได้แก่ องค์ชายพยัคฆ์บินกับองค์ชายกระทิงขุย หลังจากบรรลุเป้าหมายแล้วไป๋ชิวหรานก็ไร้ความจำเป็นที่จะไว้ชีวิตพวกเขา แต่ต่อให้ยังมีความเมตตา ทว่าองค์ชายอสูรทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสจนไม่อาจรักษา แน่นอนว่าไม่มีทางหนีให้รอดพ้นจากความโชคร้ายนี้ได้
ทว่าด้วยเจตนาของไป๋ชิวหราน องค์ชายหมีขาวจึงยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ลูกปัดไฟระเบิดออก ระลอกคลื่นพลังทำลายล้างสูงได้กระแทกเข้าใส่ร่างของเขา อุณหภูมิสูงลิบทำให้ตามร่างกายส่วนใหญ่เกิดแผลไหม้อย่างรุนแรง สำหรับผู้ที่เป็นองค์ชายอสูร นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่ไม่สามารถรักษาได้
ขณะเหยียบย่ำลงบนเศษขี้เถ้าบนพื้น ชายหนุ่มก้าวข้ามซากปรักหักพัง แล้วคว้าคอขององค์ชายหมีขาวเอาไว้และยกร่างเขาขึ้น
“ชิ้นส่วนแผนที่ของจักรพรรดิอสูรองค์แรกอยู่ที่ใด?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เอื้อก!”
องค์ชายหมีขาวกระอักโลหิตกองใหญ่ออกมาตรงหน้าไป๋ชิวหราน ทว่าชายหนุ่มเตรียมพร้อมกับการกระทำของอีกฝ่ายแต่แรก จึงเบี่ยงศีรษะไปด้านข้าง
“อืม อันที่จริงแล้วข้าเพียงพูดคุยกับเจ้าให้พอเป็นพิธีเท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานโยนร่างองค์ชายหมีขาวทิ้งลงบนพื้น จากนั้นก็นำหัวกะโหลกจื้อเซียนที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวออกมา เพื่อให้เผชิญหน้ากับองค์ชายหมีขาว
“บนนิ้วโป้งของเขา นั่นคือวงแหวนเวทที่ใช้จัดเก็บสมบัติ”
หลังจากสอดส่ายสายตามองอยู่ครู่หนึ่ง จื้อเซียนก็กล่าวพร้อมด้วยประกายไฟสีเขียวที่โชติช่วงออกมาจากเบ้าตา
“นี่… เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนั้นหรือ?!”
องค์ชายหมีขาวที่ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม ทั้งไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนกลับเพิกเฉยเขา ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าเอาแหวนวงดังกล่าวจากนิ้วมือขององค์ชายหมีขาวที่ตกอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างง่ายดาย เขาลงมือทำลายข้อจำกัดของมัน จากนั้นหยิบชิ้นส่วนแผนที่ด้านในออกมา
หลังจากเก็บชิ้นส่วนแผนที่ไว้เรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิวหรานก็สวมแหวนเก็บสมบัติคืนไว้บนนิ้วหัวแม่มือขององค์ชายหมีขาว พลางตบหน้าอีกฝ่ายครั้งหนึ่งก่อนกล่าวออก
“ฟังนะ ข้าต้องการเพียงชิ้นส่วนแผนที่เท่านั้น และจะไม่ยุ่งกับสิ่งของชิ้นอื่นที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติของผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ผู้มีคุณธรรมควรทำ ลาก่อน เจ้านอนอยู่ที่นี่สักครู่เถิด”
“เหตุใดท่านถึงไม่สังหารข้าเสีย?”
องค์ชายหมีขาวอ้าริมฝีปากพะงาบขณะเอ่ยถาม
“เหตุใดน่ะหรือ?”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยกยิ้ม
“แน่นอนว่าการเก็บชีวิตเจ้าไว้นั่นยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าหมีใหญ่ โลกมารยังอยากให้เจ้าลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางชาติพันธุ์”
…
หลังทิ้งองค์ชายหมีขาวไว้เบื้องหลัง กระแสจิตของไป๋ชิวหรานล่องลอยออกไปจดจ่ออยู่กับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน และไล่ติดตามอีกฝ่ายไปตลอดทาง
ชายหนุ่มไม่กลัวว่าองค์ชายหมีขาวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ที่นอนอยู่บนซากปรักหักพังจะได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายวานรกับองค์ชายมังกร เพราะจากการใช้สัมผัสเทวะตรวจสอบดูแล้ว ผลคือองค์ชายอสูรทั้งสองกับจักรพรรดิอสูรองค์ใหม่ชางหวงอวี่ ไม่ได้อยู่ในเขตเมืองแห่งนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงองค์ชายจิ้งจอกขาวที่ติดพันศึกกับซูเซียงเสวี่ยอยู่นอกเมือง บางทีพวกเขาอาจเชื่อว่าองค์ชายหมีขาวถูกสังหารโดยกบฏที่แฝงตัวอยู่ในฝั่งของตนเองก็เป็นได้
ส่วนอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน บุคคลผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าองค์ชายหมีขาวเสียอีก ขณะนี้เขากำลังหลบหนีไปพร้อมกับชิ้นส่วนแผนที่ที่เหลือ และลักลอบเดินทางออกไปอย่างเงียบเชียบสู่ถิ่นทุรกันดารซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายร้อยลี้!
ไป๋ชิวหรานติดตามเขาไปตลอดทาง ผ่านแนวป่า ขึ้นภูเขา เข้าไปในหุบเขาลึก มุดเข้าไปในถ้ำ ท้ายที่สุดอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนก็กระโดดดำดิ่งลงสู่ทะเลสาบใต้ดินที่อยู่ส่วนลึกสุดของถ้ำ
ไป๋ชิวหรานลอบติดตามอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนไปยังก้นทะเลสาบที่มีความลึกหลายร้อยจั้ง เขาเข้าไปในแหล่งน้ำใต้ดินจากด้านล่างของตัวถ้ำ หลังจากเดินลึกเข้าไปอีกหลายร้อยจั้ง ก็โผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบใต้ดินอีกแห่งหนึ่ง ในที่สุดอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนก็หยุดการหลบหนี
ไป๋ชิวหรานซ่อนเร้นร่างอยู่ใต้ผิวน้ำ ลอบสังเกตการณ์และเฝ้าดูอย่างเงียบเชียบ หลังจากขับปราณอสูรให้ระเหยกลายเป็นไอน้ำออกจากร่างกายแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินตรงไปยังแท่นหินแท่นหนึ่งภายในถ้ำ
บนแท่นหินมีหีบสมบัติตั้งอยู่ อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนเดินมาอยู่ตรงหน้าหีบสมบัติดังกล่าวแล้ว ทว่าไม่คิดจะเปิดออกแต่อย่างใด เพียงหันหลังกลับพร้อมผายมือไปทางทะเลสาบใต้ดิน
“ข้าชื่นชมท่านมานานทีเดียว บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
ไป๋ชิวหรานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังไม่ปรากฏตัวให้อีกฝ่ายเห็น
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมเพื่อรอคอยต่อไปอย่างเงียบเชียบ ไม่นานจึงกระซิบพึมพำเสียงต่ำ
“ไม่ได้ตามมาหรอกหรือ?”
จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับ เปิดหีบสมบัติตรงหน้าออก หยิบชิ้นส่วนแผนที่ที่ยึดมาจากไป๋ชิวหรานออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนบรรจุลงในหีบสมบัติ
“โอ้ ช่างมีลูกเล่นแพรวพราวเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานพลันเคลื่อนไหวร่างกาย ขยับไปยืนอยู่ด้านหลังอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนทันที พร้อมกล่าวต่อไป
“เพียงแสร้งตั้งคำถามลอย ๆ เท่านั้น แต่กลับทำให้หนังศีรษะของข้าถึงกับเสียววาบ”
จู่ ๆ ไป๋ชิวหรานก็เปล่งเสียงออกมา ทำให้อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนตื่นตกใจจนรีบหันขวับกลับมาโดยไม่รู้ตัว พลางใช้มือร่ายเวทสร้างกลุ่มเมฆให้บดบัง แต่ปราการดังกล่าวกลับถูกชายหนุ่มทำลายจนแตกสลายด้วยแรงกระแทกเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะทุบร่างเขาให้ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว
“ที่แท้ท่านก็เสแสร้งไม่ต่างกัน”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนที่ล้มลงกับพื้นกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“ดูเหมือนว่าคำกล่าวของอาจารย์จะถูกต้อง ท่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง จึงไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดภายในโลกมารเพื่อจัดการกับท่านได้”
“ผู้ใดคืออาจารย์ของเจ้ากัน?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เขาคือผู้ที่สั่งสอนเคล็ดวิชาหมัดอสนีให้งั้นหรือ?”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนกลับปิดปากเงียบ
“เอาล่ะ ไม่สำคัญว่าจะตอบคำถามเมื่อครู่หรือไม่ แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นมองไปยังหีบสมบัติ
“ชิ้นส่วนแผนที่ที่อยู่ภายในหีบนั่นเป็นของปลอมใช่หรือไม่?”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนยังคงวางทีท่าเรียบเฉย ไม่แสดงสีหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์ใด
“การรักษาสมาธิไม่เลว… ถึงกระนั้นต่อให้ไม่ยอมรับก็ไร้ประโยชน์ เพราะข้ามีเคล็ดลับการระบุตัวตนเป็นการพิเศษ วางแผนจะเปิดหลุมฝังศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรกของเจ้าในวันนี้”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปบีบคออัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ก่อนจะยกร่างของเขาจนลอยขึ้นจากพื้นดิน
“มหาวิหารฝูซาง ทะเลตะวันออก ใช่หรือไม่?”
รูม่านตาของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนหดลงเล็กน้อย
“ข้ายังเหลือเวลาอีกมาก หากภารกิจสำคัญนี้เสร็จสิ้นลงแล้ว… ออกค้นหามันเองก็ย่อมได้ ไม่มีประโยชน์ถึงแม้เจ้าจะไม่ปริปากบอก เพราะข้าล่วงรู้ทุกสิ่งเสมอ”
ไป๋ชิวหรานยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา ค่อยบีบเข้าหากันให้เป็นกำปั้น ก่อนจะรวบรวมปราณแก่นแท้เพื่อสร้างพลังทำลายล้างขึ้นบนหมัดนั่น
“สำหรับเจ้า การตายตกไปไม่มีสิ่งใดเลยที่เสียหาย ตรงกันข้าม การมีชีวิตอยู่อาจเป็นภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติ เจ้าหนุ่มน้อย ขอชื่นชมในความสามารถยิ่งนัก ทว่าต้องขออภัยด้วยต้องสังหารเจ้าอยู่ดี… ผู้ใดใช้ให้ข้าอยู่ฝั่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์กันเล่า?”
หลังกล่าวเช่นนั้น ไป๋ชิวหรานก็ตั้งท่าเตรียมปล่อยหมัดออกไปเพื่อชกเข้าที่ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ทันใดนั้น เสียงอุทานกลับดังขึ้นจากทิศทางของทะเลสาบใต้ดิน
“หยุดนะ!”
หมัดของไป๋ชิวหรานชะงักค้างลงตรงหน้าอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ทำให้กระแสลมจากหมัดอันน่าสะพรึงกลัวเพียงพัดถากข้างแก้มของเขาไป
แรงกระแทกจากหมัดดังกล่าว พุ่งทะลุกำแพงหินที่อยู่หลังศีรษะของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนเป็นร่องลึกเข้าไป!
ไป๋ชิวหรานโยนร่างอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนลงบนพื้นดินอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองบริเวณทะเลสาบใต้ดิน จึงพบชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไม่สวมหน้ากาก เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีม่วงขลิบทอง กำลังมองมาด้วยสีหน้าที่ฉายชัดว่ารู้สึกสยดสยอง
แน่นอน สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มหยุดการกระทำไม่ใช่เสียงอุทานของชายหนุ่มแปลกหน้า ทว่าเป็นเพราะจี้หยกสีน้ำเงินที่อีกฝ่ายถืออยู่ในมือ
“ใครคนหนึ่งบอกกับข้าว่า จี้หยกชิ้นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านได้”
ชายหนุ่มผู้นั้นพยายามรวบรวมความกล้าหาญทั้งหมดที่มี ขณะอ้าปากกล่าวต่อไป
“และตอนนี้ ข้าจะใช้มันเพื่อแลกกับชีวิตของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋น”