ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 137 เหนือมหาสมุทร
สิบวันต่อมา ซูเซียงเสวี่ยนำกองทัพบุกไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิอสูร และได้เข้าสู่ราชพิธีขึ้นครองราชย์ภายในเมืองหลวงตามกำหนดการ
ภายใต้การบีบบังคับของใครสักคนหนึ่ง องค์ชายอสูรทั้งหมดจึงได้ส่งตัวแทนไปเข้าร่วมในราชพิธีด้วยตนเอง ซึ่งทุกคนแสดงออกว่ายอมจำนนต่อจักรพรรดินีอสูรองค์ใหม่อย่างซูเซียงเสวี่ย
ในนามของโลกมาร จักรพรรดินีอสูรองค์ใหม่ได้ลงนามในสาส์นสนธิสัญญากับเหล่าเจ้าสำนักของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม และกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน หลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกประมาณสามเดือนเพื่อจัดการกับสถานการณ์ภายในแคว้น ให้การเผชิญหน้าระหว่างจักรวรรดิอสูรกับยี่สิบแปดมณฑลของโลกมารฝ่ายเหนือชัดเจนยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกัน หลังนำชิ้นส่วนของแผนที่มาเรียงต่อกันแล้ว ซูเซียงเสวี่ยได้ส่งคนออกไปค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนของหลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกจนพบได้สำเร็จ!
หลังจากจัดการสามสิ่งสำคัญเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นางจึงประกาศสละราชสมบัติทั้งหมดในเมืองหลวงและส่งมอบบัลลังก์ให้กับชางหวงอวี่ น้องชายต่างมารดา
“ระยะเวลาสามเดือนนับตั้งแต่เจ้าขึ้นครองราชย์ ทั้งสามสิ่งที่ดำเนินการไปล้วนเป็นการทรยศต่อแว่นแคว้น ชื่อเสียงของเจ้าในโลกมารอาจจะแปดเปื้อนไปนานหลายพันปี”
บนเรือที่ล่องอยู่เหนือมหาสมุทร ไป๋ชิวหรานกล่าวกับซูเซียงเสวี่ยด้วยถ้อยคำชวนให้ขบขัน
ทั้งสองกำลังออกเดินทางไปยังที่ตั้งของหลุมศพจักรพรรดิอสูรองค์แรก
“เรื่องนั้นสุดแล้วแต่พวกเขา ข้าไม่แยแสแต่อย่างใด”
ซูเซียงเสวี่ยเผยรอยยิ้มด้วยความรู้สึกเฉยเมย
“ข้าคือหนึ่งในผู้อาวุโสของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร เป็นประมุขสูงสุดของสำนักเหอฮวน ไม่ใช่องค์หญิงแห่งโลกมารฝ่ายเหนือ หรือจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิอสูรเสียหน่อย”
“ช่างถ่อมตนและเรียบง่ายเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนหันไปเอ่ยคำด้วยความจริงใจ
“เซียงเสวี่ย ข้าต้องขอบคุณเจ้าแล้ว”
ใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าสามารถระงับอากัปกิริยาไว้ได้อย่างทันท่วงที และเอ่ยถามกลับ
“ขอบคุณข้าเรื่องใดกัน?”
“ขอบคุณที่ยินยอมเดินทางไปยังโลกมาร และขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำเพื่อข้ามาจวบจนถึงทุกวันนี้”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นลูบจมูกด้วยความเขินอาย ถึงกระนั้นยังกล่าวต่อไปจนจบ
“อืม ดีแล้วที่อย่างน้อยเจ้าก็รับรู้”
ซูเซียงเสวี่ยตอบกลับ
ไป๋ชิวหรานเดินไปข้างหน้าสองก้าว เพื่อขับเคลื่อนทิศทางเรือให้เดินหน้าด้วยพลังวิญญาณ ซูเซียงเสวี่ยเดินตามติดมาจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะยื่นมือไปทางฝ่ามือที่อยู่ข้างลำตัวของชายหนุ่ม เกิดความลังเลในท่าทางอยู่ครู่หนึ่ง จนสุดท้ายเลื่อนมือไปจับปลายแขนเสื้อคลุมของเขาแทน
เรือแล่นโคลงเคลงไปท่ามกลางเกลียวคลื่น ฟันฝ่าคลื่นยักษ์ และเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นระยะทางหลายหมื่น ในที่สุดจื้อเซียนผู้ที่ถูกแขวนไว้ตรงบั้นเอวก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งถามขึ้น
“เอ่อ… ตอนนี้ข้าพูดได้หรือยัง?”
ซูเซียงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นขณะชำเลืองมองจื้อเซียนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่ไป๋ชิวหรานตอบโต้โดยไม่หันมองกลับไป
“ย่อมได้ เจ้าอยากจะพูดสิ่งใดกันล่ะ?”
“โอ้ ข้าพูดได้แล้วสินะ การได้เห็นเจ้าทั้งสองคนตกหลุมรักกัน พลันให้หายใจไม่คล่องเลยจริง ๆ”
จื้อเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นจมูก
“เหตุใดจักรพรรดิอสูรองค์แรกถึงฝังร่างของตนเองบนเกาะกลางทะเลแทนการฝังในโลกมาร ตอนนั้นเขามีกระบวนการคิดอย่างไรกัน? แล้วความหมายของคำทำนายที่สืบทอดต่อกันมาในราชวงศ์ของอสูรเผ่ามารคือสิ่งใด… ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาเสียแล้วสิ!
“หลังจากทนนิ่งเงียบอยู่นาน เจ้ากล่าวเพียงเรื่องไร้สาระเท่านี้เองน่ะหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวด้วยความโกรธเคือง
“ไร้สาระแล้วอย่างไร? ข้าระบายอารมณ์ออกมาไม่ได้เชียวหรือ?”
“หุบปาก!”
จื้อเซียนจำใจเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความหงุดหงิด อีกทั้งบรรยากาศหวานชื่นระหว่างไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยได้ถูกทำลายลงเสียแล้ว ในระหว่างการเดินทาง ซูเซียงเสวี่ยก็ไม่อาจสัมผัสถึงเสน่ห์ของวิวทิวทัศน์ได้อีกเลย
‘ข้าต้องหาข้ออ้างใดสักอย่างเพื่อนำเขาไปปล่อยทิ้งในสักวัน!’
ซูเซียงเสวี่ยลอบครุ่นคิดแผนการอยู่ภายในใจ
จากตำแหน่งที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ หลุมฝังศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรก ตั้งอยู่บนเกาะร้างห่างไกลทางฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทร ห่างไปจากชายฝั่งของโลกมารเพียงไม่กี่แสนจั้ง
แม้จะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทว่าท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ระยะทางดังกล่าวก็นับว่ายังมีความอันตรายไม่น้อย ระหว่างทาง ไป๋ชิวหรานได้สังหารสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังหลายตัว หนึ่งในนั้นมีคุณลักษณะบางประการพ้องตรงกันกับเผ่าพันธุ์มังกร อีกทั้งความแข็งแกร่งยังเทียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นขอบเขตแกนทองคำ… ซึ่งมันก็คือม้าน้ำมังกรนั่นเอง!
สัตว์อสูรทะเลเหล่านี้เป็นเพียงละอองน้ำหยดเล็ก ๆ ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และไร้ขอบเขต แม้เขตแดนขนาดเล็กที่พวกมันครอบครองจะมีระยะทางหลายสิบลี้ แต่ก็ไม่สำคัญจนต้องกล่าวถึง
ทว่าลึกลงไปในท้องทะเล มีสัตว์อสูรทะเลที่มีความดุร้ายทั้งยังทรงพลัง บางตัวสามารถกลืนกินแม้กระทั่งเซียนตัวเป็น ๆ
โชคดีที่ไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเหล่านี้ หลุมฝังศพของจักรพรรดิอสูรองค์แรกนั้นถือว่าอยู่ในเขตทะเลชายฝั่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังเฉกเช่นขั้นผสานร่างเพ่นพ่านอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เรือยังคงแล่นข้ามเหนือมหาสมุทรไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดปลายทางก็ปรากฏให้เห็นในระดับสายตา
สถานที่ตรงหน้าเป็นเกาะขนาดใหญ่ ทั่วทั้งเกาะปกคลุมไปด้วยป่าทึบ บริเวณกลางเกาะ มีภูเขาลูกใหญ่ความสูงประมาณหลายร้อยจั้ง และมีหลุมศพของจักรพรรดิอสูรที่ถูกระบุตำแหน่งไว้บนแผนที่!
หลังจากลงมือสังหารสัตว์อสูรสองตัวบนชายฝั่ง ซึ่งมีท่าทางคล้ายสัตว์ที่ทำหน้าที่อารักขาสถานที่แห่งนี้แล้ว จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงขับเคลื่อนเรือเข้าเทียบฝั่ง ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเกาะพร้อมด้วยซูเซียงเสวี่ย
สภาพอากาศบนเกาะค่อนข้างปลอดโปร่ง ซูเซียงเสวี่ยเอี้ยวบิดเรือนร่างอันสวยงามเพื่อขับไล่ความอ่อนล้า พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก
“น่าเสียดายเหลือเกิน สถานที่อันมีทำเลดีเช่นนี้ กลับถูกเลือกใช้ให้เป็นสถานที่สำหรับฝังพระศพของจักรพรรดิอสูร”
นางกล่าวพรางถอนหายใจ
“เราไม่สามารถก้าวก่ายใด ๆ ได้ ตราบใดที่พวกเขาใช้มันเป็นสถานที่ฝังศพ”
ไป๋ชิวหรานยกนิ้วขึ้น ก่อนกล่าวต่อไป
“หากเจ้าไม่พอใจ เช่นนั้นก็ขุดร่างเขาขึ้นมาจากหลุมฝังศพเสียเลยสิ”
“เกรงว่าคงมากเกินไป”
ซูเซียงเสวี่ยผลักไป๋ชิวหรานเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ
“ไปกันเถอะ อุตส่าห์มาถึงที่แล้ว อย่าได้กล่าวเรื่องไร้สาระอยู่เลย”
…
ประมาณหนึ่งชั่วก้านธูปหลังจากทั้งสองเดินไปยังหลุมฝังศพ เรืออีกลำหนึ่งก็ได้แล่นมาตามทิศทางของทั้งสอง และจอดเทียบท่าที่ชายฝั่งของเกาะเช่นกัน
เรือลำนี้มีขนาดใหญ่กว่าเรือที่ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยใช้สัญจรหลายเท่าทีเดียว ตัวเรือต่อขึ้นจากเหล็กทำให้มีความแข็งแรงยิ่ง นอกจากนี้ยังแกะสลักลวดลายบางอย่างไว้บนเรืออีกด้วย
หลังจากที่เรือเทียบท่า ผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวลงจากเรือตามลำดับ บุคคลทั้งสามนำโดยองค์ชายอสูรทั้งสาม องค์ชายจระเข้ องค์ชายอินทรี และองค์หญิงบุปผา
หลังจากซูเซียงเสวี่ยสละราชสมบัติไป บัลลังก์จักรพรรดิอสูรก็ถูกส่งมอบให้กับชางหวงอวี่ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้พวกเขารำคาญใจยิ่งนัก ทว่าก็ทำได้เพียงยอมรับสภาพว่า ‘ไม่ต้องกล่าวถึงไป๋ชิวหราน เพราะแม้แต่ซูเซียงเสวี่ยก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถกำราบได้อย่างง่ายดาย’
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะลองเสี่ยงติดตามไป๋ชิวหรานมา เพื่อเดิมพันทุกอย่างตามคำทำนายที่จักรพรรดิอสูรองค์แรกทิ้งไว้เป็นปริศนา
“ดูเหมือนว่าเจ้าพวกนั้นจะมาถึงที่แห่งนี้ก่อนเราเสียอีก”
หลังจากจอดเรือเทียบชายฝั่ง พวกเขาก็พบว่าไม่มีผู้ใดเดินเตร่อยู่ที่ริมชายหาดเลย องค์ชายจระเข้กับองค์ชายอินทรีจึงหันไปกล่าวกับองค์หญิงบุปผา
“เจ้าดอกไม้ ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้า”
องค์หญิงบุปผาผู้เงียบขรึมพยักหน้ารับ ฉับพลันฝ่ามือของนางจึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นเถาวัลย์จำนวนมาก และขุดผ่านสิ่งกีดขวางต่าง ๆ จนจมลึกลงไปใต้ผืนดิน
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นถึงจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยที่กำลังเดินทางสำรวจบริเวณเกาะแห่งนี้ได้ หนำซ้ำยังมาถึงหลุมฝังศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกก่อนหน้าพวกเขาไปเพียงหนึ่งก้าว!
“ช่างน่าเสียดายที่เจ้างูดำไม่ได้ติดตามพวกเรามาด้วย”
ขณะจับจ้องไปยังร่างขององค์หญิงบุปผาที่ค่อย ๆ กลืนหายลงไปสู่ผืนพสุธา องค์ชายอินทรีพลันถอนหายใจ
“เขาเป็นผู้มีทักษะชำนาญด้านการหลบหนีผ่านการแทรกตัวลงในผืนดิน อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสเป็นเลิศ หากมาอยู่ที่นี่ เห็นทีพวกเราคงได้ออกแรงกันน้อยลง”
“เจ้าเศษสวะนั่น อย่าได้กล่าวถึงอีกเลย!”
องค์ชายจระเข้แค่นเสียงเย็นชา
“เขาทรยศพวกเรา อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ใช่ผู้นำแห่งโลกมารฝ่ายตะวันตกอีกต่อไป”
องค์ชายอินทรีทำได้เพียงยกมือขึ้นลูบศีรษะด้วยความอับอาย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้กล่าวคำใดออกมา ทันใดนั้น ศีรษะขององค์หญิงบุปผาโผล่พ้นขึ้นมาจากหลุม นางกล่าวกับทุกคนว่า
“ดูเหมือนข้าจะพบตำแหน่งที่ตั้งของสุสานหลวงแล้ว ตามมาเร็วเถิด”