ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 139 จักรพรรดิอสูรองค์แรก
“เกิดอะไรขึ้น?”
ซูเซียงเสวี่ยที่พยายามยืนหยัดร่างกายให้มั่นคงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เรายังไม่ได้สัมผัสสิ่งใดเลยมิใช่หรือ?”
“กลไกดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา มีบางคนมาถึงที่นี่ก่อนแล้ว”
สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานแทรกซึมเข้าไปในวิหารใต้ดินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขากวาดสายตามองไปโดยรอบ และพบเห็นผู้ที่เป็นต้นเหตุอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุผลบางประการ องค์หญิงบุปผาและองค์ชายอินทรีกำลังวิ่งหลบหนีออกมาจากชั้นล่างของวิหารใต้ดิน พร้อมกับกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งด้วยความตื่นตระหนก ข้างหลังพวกเขา สิ่งมีชีวิตร่างยักษ์ในความมืดกำลังติดตามไล่ล่า!
“หืม? มีคนมาถึงก่อนงั้นหรือ แต่เจ้ากลับใช้สัมผัสเทวะตรวจสอบไม่พบในคราแรกเช่นนั้นหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยนึกประหลาดใจ
“ไม่ใช่เรื่องน่าพิศวงถึงเพียงนั้นเสียหน่อย”
จื้อเซียนโพล่งขึ้นบ้าง
“ก่อนหน้านี้เจ้าทั้งสองต่างเหม่อลอยราวอยู่ในภวังค์ฝัน เกรงว่าต่อให้มีเรืออีกลำแล่นมาประกบอยู่ด้านข้าง ก็อาจจะมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ!”
ใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะที่ไป๋ชิวหรานได้แต่บ่นพึมพำ
“นั่นคือสิ่งใดกัน? มังกรงั้นหรือ?”
ด้วยการตรวจสอบผ่านสัมผัสเทวะ สัตว์อสูรตนนั้นมีขนาดใหญ่อย่างหาใดเปรียบ รูปลักษณ์คล้ายคลึงกับมังกรสีทองเข้ม กำลังเหยียดแขนขาอยู่ในวิหารใต้ดิน วิ่งไล่ตามองค์หญิงบุปผาและคนอื่น ๆ
การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วอย่างยิ่ง ปากที่อ้ากว้าง ทุกสองถึงสามอึดใจจะกลืนกินอสูรตนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังไล่ล่าลงไป ไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นว่าความเร็วขององค์หญิงบุปผากับองค์ชายอินทรีแล้ว พวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์อสูรตนนั้น ทว่าเหตุที่ทั้งสองรอดชีวิตมาได้จนถึงเวลานี้ นั่นเป็นเพราะวิ่งหลบหนีด้วยความเร็วที่มากกว่าอสูรผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้น!
หลังจากละทิ้งเหล่าอสูรผู้ใต้บังคับบัญชาโดยปล่อยให้ถูกจับกินไว้เบื้องหลัง องค์หญิงบุปผากับองค์ชายอินทรีจึงสามารถวิ่งหนีขึ้นไปยังชั้นบนสุดของวิหารใต้ดินได้สำเร็จ คราวนี้ไม่เพียงแต่ไป๋ชิวหรานเท่านั้น ทว่าซูเซียงเสวี่ยยังสังเกตเห็นองค์หญิงบุปผาที่กำลังวิ่งโร่ออกมาจากทางเข้าวิหารใต้ดินพร้อมด้วยองค์ชายอินทรี!
ทันทีที่เห็นสะพาน ใบหน้าของอสูรทั้งสองพลันฉายแววยินดีอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเหยียบลงไปบนสะพานไม่ทันไร มังกรยักษ์โผล่หัวออกมาจากความมืดมิดด้านล่าง อ้าปากพร้อมพุ่งลงมากัดทั้งสองที่อยู่กลางสะพาน ก่อนจะกลืนร่างพวกเขาลงไปในกระเพาะอาหาร
เมื่อมังกรสีทองเข้มกลืนกินองค์ชายและองค์หญิงอสูรทั้งสองแล้ว จึงค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้น ฉับพลันดวงตาเย็นเฉียบและไร้ความปรานีจับจ้องไปที่ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ทันใดนั้น พื้นดินสั่นสะเทือนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับก้อนหินที่ถล่มทลายลงมา มังกรหลายตัวพลันโผล่หัวออกมาจากหุบเหว จับจ้องไปยังบุคคลทั้งสองบนสะพานด้วยสายตาหิวกระหาย ส่วนคอของพวกมันพาดพันอยู่รอบวิหารใต้ดิน บ้างก็เลื้อยป่ายปีนขึ้นมาตามกำแพงหิน ไป๋ชิวหรานนับจำนวนหัวมังกรยักษ์โดยคร่าว และพบว่ามีทั้งหมดเก้าหัว!
แรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ที่เปรียบก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ลมหายใจเข้าออกของซูเซียงเสวี่ยเริ่มสะดุด นางตะลึงงันนิ่งอยู่กับที่ ตามร่างกายมีหยดเหงื่อผุดขึ้นมาโดยทั่ว ครั้นเห็นสิ่งนี้ ไป๋ชิวหรานจึงรีบก้าวออกมายืนขวางหน้าไว้ หวังให้ความกดดันที่เกิดขึ้นกับสตรีบรรเทาลง
“เป็นสัตว์อสูรประเภทใดกัน?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“มันคือมังกรเก้าเศียร นี่แหละร่างที่แท้จริงของจักรพรรดิอสูรองค์แรก”
น้ำเสียงของจื้อเซียนเต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ระวังตัวให้ดี ตาเฒ่าผู้นี้ ใช้เคล็ดวิชาลับในการขัดเกลาร่างของตนเองให้แปรเปลี่ยนเป็นศพที่มีชีวิตก่อนจะสิ้นลมหายใจ โดยให้คงความแข็งแกร่งเฉกเช่นเดียวกันกับเมื่อครั้งยังมีชีวิต อีกอย่าง… ตอนนี้มันหิวโหยมากทีเดียว”
“ความแข็งแกร่งล่ะ… มากเพียงใด?”
“เหลือคณานับ”
จื้อเซียนตอบกลับ
“เจ้าคาดคิดว่าจักรพรรดิเซียนจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันล่ะ?”
ไป๋ชิวหรานไม่กล่าวตอบคำใด เช่นเดียวกับจื้อเซียน ชายหนุ่มพอรับรู้เรื่องราวระดับขั้นเซียนอยู่บ้าง ทว่าเพียงได้ยินชื่อของระดับขั้นดังกล่าว เขาระบุได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ระดับขั้นที่เซียนคนใดจะสามารถฝึกฝนจนบรรลุได้
“ระวัง! มันมาแล้ว!”
สิ้นคำร้องเตือนของจื้อเซียน จักรพรรดิอสูรองค์แรกในร่างมังกรที่โผล่หัวออกมาจากวิหารใต้ดิน ในที่สุดก็ไม่สามารถอดกลั้นต่อความหิวโหยได้ หัวทั้งเก้าต่างอ้าปากกว้างประหนึ่งหุบเหวไร้ก้น พุ่งฉกไปทางไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยอย่างรวดเร็ว!
ไป๋ชิวหรานคว้ามือของซูเซียงเสวี่ยไว้แล้วฉุดรั้งร่างนางให้หลบไปอีกทาง ก่อนจะเงื้อมือขึ้นสูงพร้อมออกแรงตบลงไป ทำให้ปรากฏรอยประทับฝ่ามือขนาดใหญ่
ปัง!
รอยประทับฝ่ามือพุ่งออกไปชนเข้ากับหัวของจักรพรรดิอสูรองค์แรกในร่างมังกร จนกระแทกติดอยู่บนกำแพงหินและเกิดเป็นรอยร้าวขนาดใหญ่ ทันใดนั้นน้ำทะเลได้หลั่งไหลออกมาจากช่องว่างระหว่างรอยแยก!
ในถ้ำจื้อเซียน รอยประทับฝ่ามือขนาดใหญ่สามารถสังหารอสูรยักษ์ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทว่าครานี้เมื่อกระแทกเข้าที่หัวของจักรพรรดิอสูรองค์แรก แรงกระทำดังกล่าวทำให้ได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ยุ่งยากยิ่งนัก!”
ไป๋ชิวหรานอุทานออกมาทันที ถึงแม้ชายหนุ่มจะเรียกใช้พละกำลังเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น หลังจากผ่านไปนับพันปี… นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบางสิ่งที่ถูกตนโจมตีแล้วไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋ชิวหรานจึงตระหนักได้ทันทีว่า ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็ตาม จักรพรรดิอสูรองค์แรกก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขารอดพ้นออกไปจากสุสานแห่งนี้ได้แน่
เห็นได้ชัดว่าอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นกับหัวของมังกรด้านหนึ่ง ทว่าไม่อาจส่งผลกระทบต่อมังกรที่มีทั้งหมดเก้าหัวได้ ไม่นานนักหัวมังกรที่เหลืออยู่ก็พุ่งทะยานไป ทั้งยังส่ายหัวไปมาเพื่อเริ่มแรงโจมตี หวังให้ไป๋ชิวหรานไม่มีโอกาสได้หยุดพักหายใจ!
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปโอบรอบเอวของซูเซียงเสวี่ยและอุ้มร่างนางขึ้น ขณะที่มือกับขาอีกข้างหนึ่งขยับเคลื่อนไปมา ต้านทานการถูกโจมตีจากจักรพรรดิอสูรองค์แรก!
หวดขาฟาด โจมตีกลับ ฉีกขา ชกต่อย ตบฝ่ามือ สับศอก ไป๋ชิวหรานเริ่มต่อสู้กับจักรพรรดิอสูรองค์แรกในสุสานใต้ดินแห่งนี้ ด้วยความเร็วสูงเสมือนการเคลื่อนย้ายมวลสาร
ชายหนุ่มยกขาขึ้นเตะหัวของมังกรเก้าเศียร เพียงพริบตาต่อมาเขาdHปรากฏตัวขึ้นในอีกตำแหน่งหนึ่งตรงกำแพงหินที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ก่อนยกมือขึ้นสูงเพื่อปล่อยกระแสอสนีบาตเพลิง
ถึงกระนั้นความรวดเร็วของมังกรเก้าเศียรก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋ชิวหรานแต่อย่างใด แม้ว่าความเร็วของชายหนุ่มเกือบเทียบเท่ากับการเคลื่อนย้ายมวลสาร แต่มันยังคงไล่ติดตามความเร็วของเขาได้ทันการณ์!
มังกรเก้าเศียรถูกไป๋ชิวหรานพยายามหลอกล่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งมันถูกเขาโจมตีจนกระแทกเข้ากับกำแพงหิน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ภายในชั่วพริบตา กำแพงหินได้ปรากฏรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ราวใยแมงมุมที่ซ้อนกันหลายชั้น ยิ่งนานรอยแตกร้าวก็ยิ่งสลับซับซ้อน
น้ำทะเลไหลทะลักเข้ามาตามรอยแตกแยก กำแพงหินเริ่มสั่นคลอนไม่มั่นคงอีกต่อไป ทั้งยังเด่นนูนออกมาจากด้านนอกขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ควรเป็นเช่นนั้น
“กำแพงหินเริ่มรับแรงต้านทานไม่ไหวแล้ว!”
จื้อเซียนร้องเตือน
“เราต้องป้องกันวิหารใต้ดินไว้! สมบัติล้ำค่าทั้งหมดอยู่ที่นั่น!”
“ข้ารู้!”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับพลางยกมือขึ้น ตบฝ่ามือสร้างรอยประทับสองสามรอยปกคลุมเหนือวิหารใต้ดินไว้ โดยเปลี่ยนให้กลายเป็นปราการลักษณะใสทั้งยังโปร่งแสง ขณะเดียวกัน จักรพรรดิอสูรองค์แรกผู้หิวกระหายเห็นว่าตนไม่สามารถโค่นล้มไป๋ชิวหรานได้เสียที จึงระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น และเริ่มดิ้นรนต่อสู้
จักรพรรดิอสูรองค์แรกพยายามดึงร่างอันใหญ่โตของตัวเองที่ยังติดอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของวิหารใต้ดินออกมาให้จงได้ แรงกระทำดังกล่าวทำให้ช่องว่างใต้โพรงดินแห่งนี้ไม่สามารถรองรับร่างกายของมันได้อีกต่อไป จึงระเบิดออกทันที
ทันใดนั้น บรรยากาศที่เคยมืดมนกลับเห็นท้องฟ้าที่สว่างสดใส เกาะขนาดเล็กรวมถึงภูเขาที่ปกคลุมอยู่เหนือวิหารใต้ดินระเบิดพุ่งขึ้นไปในอากาศโดยฝีมือของจักรพรรดิอสูร ฉับพลันน้ำทะเลก็ไหลทะลักมาจากทุกทิศทุกทาง จนวิหารใต้ดินจมลงสู่น้ำทะเล…
ปราการโปร่งแสงที่ไป๋ชิวหรานสร้างไว้สามารถป้องกันวิหารใต้ดินจากการจมอยู่ใต้น้ำทะเลได้สำเร็จ ขณะที่ตัวเขาอุ้มร่างของซูเซียงเสวี่ยทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ จนอยู่พ้นเหนือระดับน้ำทะเลได้ในที่สุด
เวลานี้ ท้องฟ้าที่เคยสว่างสดใสพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อหันมองไปโดยรอบ ในระดับสายตาของไป๋ชิวหราน ท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรทั้งหมดกลายเป็นมืดครึ้มเพราะกลุ่มเมฆที่ครอบงำอยู่เบื้องบน
สายลมกระโชกแรง คลื่นเริ่มก่อตัวสูงขึ้น อสนีบาตผ่าลงมาจากช่องว่างระหว่างกลุ่มเมฆดำทะมึน กระทบกับผิวน้ำทะเลทำให้เกิดเป็นคลื่นยักษ์!
เกรงว่าการที่เหนือมหาสมุทรของโลกมารแปรปรวนกลายเป็นพายุมรสุมเช่นนี้ แสดงว่ามังกรเก้าเศียรมีความสามารถในการเรียกลมและฝน หรือไม่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเพราะรับรู้การดำรงอยู่ของจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน
หลังจากแปรเปลี่ยนกายหยาบของตนเองให้มีสภาพเป็นประหนึ่งศพมีชีวิต เห็นได้ชัดว่ามังกรเก้าเศียรมีเสถียรภาพในการควบคุมทักษะพลังลดลงเล็กน้อย ทว่านั่นถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
ท่ามกลางกระแสคลื่นยักษ์ที่ปั่นป่วน ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ค้นพบตำแหน่งของจักรพรรดิอสูรองค์แรก มังกรเก้าเศียรสีทองเข้มที่มีร่างกายใหญ่โตไร้ผู้ใดเทียบเคียงเหยียดร่างกายออก หัวมังกรทั้งเก้านั้นเชื่อมต่อกับร่างกายสีทองเข้มที่มีขนาดมหึมาประหนึ่งขุนเขา ด้านหลังมีปีกคู่หนึ่งที่ค่อย ๆ กางออกจนบดบังทั้งแผ่นฟ้าและดวงอาทิตย์!
ในบริเวณใกล้เคียงกับจักรพรรดิอสูร ยังมีแขนขา เศษเนื้อ และเลือดที่หลงเหลืออยู่จากร่างของสัตว์อสูรทะเล สัตว์อสูรทะเลทรงพลังเหล่านี้ที่อยู่ในขั้นปฐมวิญญาณ ล้วนเป็นเพียงอาหารเคลื่อนที่ในสายตาของจักรพรรดิอสูรองค์แรกเท่านั้น…