ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 142 ความลับของจักรพรรดิอสูรองค์แรก
“ความลับใหญ่หลวงที่ว่าคืออะไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน สิ่งที่ทั้งสองวิตกกังวลเป็นไม่ได้เกี่ยวกับทักษะการฝึกตนที่จักรพรรดิอสูรองค์แรกเคยฝึกฝนเลย
“จักรพรรดิอสูรองค์แรกอาจไม่ใช่บรรพบุรุษคนแรกของอสูรเผ่ามาร”
จื้อเซียนกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ราชวงศ์ของมังกรเก้าเศียร มิได้มีสายเลือดอันสูงส่งเสมือนเผ่าพันธุ์จากต่างโลกเช่นเหล่าทวยเทพ”
จื้อเซียนอธิบายทุกสิ่งอย่างที่ถูกจารึกไว้บนแผ่นศิลา ในที่สุดไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยก็เข้าใจ…
เช่นเดียวกับที่มีบรรพบุรุษคอยคิดค้นกลวิธีการฝึกตนขึ้นในช่วงเริ่มแรกที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ถือกำเนิด ก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในอสูรเผ่ามารเองก็มีวิธีการฝึกตนในแบบฉบับของตัวเอง และถูกส่งต่อไปยังทายาทของอสูรเผ่ามารในรุ่นถัดไป
ยุคสมัยปัจจุบัน ราชวงศ์ของโลกมารเป็นราชวงศ์ของมังกรเก้าเศียร ผู้คนในโลกมารจึงเชื่อกันว่าบรรพบุรุษของอสูรเผ่ามารผู้นี้ เป็นจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่สามารถรวบรวมอสูรเผ่ามารทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียว สำหรับโลกมาร แม้คนของอสูรเผ่ามารที่มีฐานะด้อยกว่าจะไม่พอใจต่อราชวงศ์เป็นจำนวนมาก ทว่ายังคงเคารพบูชาจักรพรรดิอสูรองค์แรก ทำให้สถานะของจักรพรรดิอสูรองค์แรกเทียบเท่ากับเทพเจ้าแห่งอสูรเผ่ามาร!
แต่ตอนนี้ จากคำจารึกบนแผ่นหิน ปรากฏว่ายังมีคนอื่นที่คิดค้นเคล็ดวิชาการฝึกตนให้กับอสูรเผ่ามาร อีกทั้งจักรพรรดิอสูรองค์แรกยังไม่ใช่อสูรตนแรกที่สามารถกลายร่างเป็นสัตว์อสูรได้ ก่อนหน้าเขายังมีสัตว์อสูรอีกตัวหนึ่ง นั่นก็คือบรรพบุรุษของอสูรเผ่ามารที่แท้จริง!
“ในช่วงเริ่มแรกมันไม่ใช่มังกรเก้าเศียรแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงแมลงมีพิษ ชนิดเดียวกับที่ผู้คนนำไปกลั่นเป็นไสยศาสตร์พิษ*[1]”
จื้อเซียนกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงในช่วงสมัยของเผ่าเทพ แม้แต่ในยุคปัจจุบัน มันก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่จัดแบ่งแยกประเภทได้”
“แล้วมันกลายร่างเป็นมังกรเก้าเศียรได้อย่างไรกัน?”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความประหม่าเล็กน้อย นางไม่อยากเชื่อเลยว่าแท้จริงแล้วตนเองจะเป็นทายาทที่สืบเชื้อสายมาจากแมลงมีพิษ
“ด้วยเคล็ดวิชาการฝึกตนทั้งสองที่ถูกบันทึกไว้ข้างต้น”
จื้อเซียนโคลงศีรษะ ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับแผ่นหิน
“เคล็ดวิชาที่สองเรียกว่า ‘ประตูมังกรทะยาน’ ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ผู้ฝึกฝนพัฒนาระดับสายเลือดของตนเองได้ ทุกครั้งที่บรรลุผ่านไปสู่อีกระดับหนึ่งจะได้รับการเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงเผ่าพันธุ์ แม้ว่าหลังจากการสืบสายพันธุ์ที่ยาวนานจนไม่อาจนับลำดับขั้น เผ่าพันธุ์ที่พวกเราเป็นอยู่ในขณะนี้ แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในยุคสมัยของเผ่าเทพเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็มีบางสิ่งที่สืบทอดต่อมาผ่านทางสายเลือดจากรุ่นสู่รุ่น คงไว้ภายในปัจจัยพื้นฐานของร่างกาย การฝึกตนด้วยเคล็ดวิชานี้ทำให้ผู้คนค้นพบสัญชาตญาณที่ซ่อนอยู่ และพัฒนาไปในทิศทางเดียวกันกับแหล่งกำเนิดบรรพบุรุษ จักรพรรดิอสูรองค์แรกจึงฝึกฝนจนร่างกายกลายเป็นมังกรเก้าเศียรด้วยเคล็ดวิชานี้ มีอำนาจยิ่งใหญ่จนสามารถกลืนกินเผ่าพันธุ์ต่างโลกเช่นเผ่าเทพได้”
“ที่แท้ก็มีความเป็นมาเช่นนี้”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
ซูเซียงเสวี่ยสัมผัสข้อศอกของชายหนุ่มแผ่วเบาพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“บรรดาลูกหลานในอนาคตของข้า คงไม่เติบโตขึ้นแล้วกลายเป็นสัตว์ขาปล้อง หรือแมลงมีพิษสักประเภทหรอกใช่หรือไม่?”
“เจ้ากังวลไปไยกัน?”
ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะนาง
“มนุษย์จะมีวิวัฒนาการเป็นแมลงมีพิษได้อย่างไร?”
“โอ้ จริงด้วย”
ซูเซียงเสวี่ยลดมือลง ทว่านางยังคงมีท่าทีไม่สบายใจเล็กน้อย
เก้าในสิบส่วนของบรรดาสตรีเพศล้วนหวาดกลัวแมลงเป็นทุนเดิม แม้แต่ผู้ที่เป็นถึงประมุขแห่งสำนักเหอฮวนเช่นนางยังรู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งเมื่อรู้ว่าสายพันธุ์บรรพบุรุษของตนสืบทอดมาจากแมลงมีพิษเหล่านั้น… ยิ่งรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่
“ที่จริงแล้วเจ้าไม่ต้องกังวลใด ๆ เลย”
ครั้นเห็นนางมีท่าทีเช่นนั้น จื้อเซียนจึงกล่าวปลอบประโลม
“หลังจากฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวจนบรรลุได้สำเร็จ นับตั้งแต่จักรพรรดิอสูรองค์แรกกลายร่างเป็นมังกรโดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าสายเลือดจะเกิดกลายพันธุ์เช่นไรในวันข้างหน้า มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเผ่าพันธุ์มังกรเท่านั้น แม้แต่น้องชายของเจ้ายังไม่เคยกลายร่างเป็นหนอนสามหัว หากยังไม่เชื่อแล้วล่ะก็ พวกเจ้าทั้งสองลองกลับไปให้กำเนิดบุตรสักคนดีหรือไม่?”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล…”
ดวงตาของซูเซียงเสวี่ยพลันเลื่อนไปจับจ้องใบหน้าของไป๋ชิวหราน พบว่าท่าทางของชายหนุ่มตกประหม่าเล็กน้อย
“อะแฮ่ม!”
ไป๋ชิวหรานแสร้งกระแอมไอครั้งหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาโดยทันที เขาเอ่ยถามว่า
“ในเมื่อมีเคล็ดวิชาที่ทำให้ผู้คนในอสูรเผ่ามารกลายร่างเป็นมังกร แล้วเหตุใดถึงไม่แพร่กระจายองค์ความรู้ออกไปเล่า?”
“เจ้าช่างเปลี่ยนเรื่องได้รวดเร็วเสียจริง… เห็นคำแนะนำของข้าเป็นสิ่งเหลวไหลหรืออย่างไรกัน?”
จื้อเซียนเอ่ยตอบ
“หากทุกคนในโลกมารสามารถกลายร่างเป็นมังกรได้ แล้วการกลายร่างเป็นมังกรจะถือเป็นความสามารถอันศักดิ์สิทธิ์เฉพาะราชวงศ์ได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ใช้เป็นสิ่งที่บ่งบอกฐานะทางชนชั้นได้”
“แค่ก… แค่ก… อืม สิ่งที่เขากล่าวมาก็มีเหตุผล”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก นับว่ายังโชคดีที่จื้อเซียนและซูเซียงเสวี่ยไม่คิดกล่าวถึงหัวข้อการสนทนาก่อนหน้านี้เรื่องให้กำเนิดบุตรอีก…
ซูเซียงเสวี่ยใช้มือลูบไล้ไปตามตำราเคล็ดวิชาทั้งสองที่จารึกอยู่บนแผ่นหิน รวมถึงความลับของจักรพรรดิอสูรองค์แรกที่ถูกบันทึกไว้ ไป๋ชิวหรานจึงอุ้มหัวกะโหลกของจื้อเซียนเดินสำรวจไปรอบสุสาน แล้วเอ่ยถามว่า
“มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่? แล้วเบาะแสเกี่ยวกับร่างสวรรค์ริษยาของข้าที่จะบรรลุไปสู่ขั้นสร้างรากฐานเล่า?”
“ขอข้าดูให้ทั่ว ๆ หน่อย… โอ้ เหมือนมีบางสิ่งอยู่บนกำแพงนั่น”
ไป๋ชิวหรานยกหัวกะโหลกไปยังทิศทางดังกล่าวให้ทำการตรวจสอบ
“เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ของเผ่ามนุษย์และอสูรเผ่ามารที่มีชัยชนะเหนือเผ่าเทพ ทั้งยังมีถ้อยคำที่จารึกไว้ประมาณหนึ่งบรรทัด มีความว่า… ‘ฟ้าเก่าถล่มทลาย ฟ้าใหม่เจิดจำรัส อสูรเผ่ามารถูกสังหาร ชะตากรรมของสวรรค์และโลกเปลี่ยนแปรไป’ หมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
ทันทีที่จื้อเซียนกล่าวจบ พลันเกิดรอยร้าวขึ้นบนกำแพงหินตรงหน้า พร้อมกับแสงสว่างสีทองที่ฉายพุ่งออกมาจากรอยแตก กำแพงหินพังทลายเป็นเศษหินร่วงหล่นลงมา ด้านหลังกำแพงหินยังมีกำแพงหินอีกชั้นหนึ่งที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุประเภทเดียวกันกับแผ่นหิน แสงสว่างสีทองยังคงฉายออกมา ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นแผนที่ขนาดใหญ่
“นี่คือแผนที่ทั้งหมดของโลกมารอย่างนั้นหรือ?”
อุบัติการณ์ดังกล่าวทำให้ซูเซียงเสวี่ยตื่นตระหนกยิ่ง นางขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิวหราน จับจ้องไปยังแสงสีทองบนกำแพงหิน
“เปล่า มันคือแผนที่ของโลกทั้งใบ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ดูสิ นี่คือเขตของโลกมาร ส่วนตรงนี้คือมหาสมุทร มีเกาะอยู่กลางมหาสมุทรที่ควรจะเป็นที่ตั้งของมหาวิหารฝูซาง… แม่น้ำที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกไกลสุดนั่นคือหุบเขาสลายวิญญาณ และไกลออกไปทางตะวันตกริมฝั่งหุบเขาสลายวิญญาณ… ณ ดินแดนรกร้าง มีผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ยังสำรวจไปไม่ถึง”
บนแผนที่ที่ก่อตัวขึ้นโดยแสงสว่างสีทอง ทางทิศตะวันตกของหุบเขาสลายวิญญาณคือเขตเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ผนวกเป็นเขตติดต่อกับดินแดนรกร้างในทิศตะวันออก กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือหุบเขาสลายวิญญาณตัดผ่านระหว่างกึ่งกลางของโลก โลกทั้งใบแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่งอย่างชัดเจน
“เดี๋ยวก่อน ชื่อสถานที่เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว”
จื้อเซียนโพล่งขึ้น
หลังจากที่แสงสว่างสีทองร่างแผนที่เสร็จสิ้นครบแล้ว รัศมีของแสงที่เหลือก็รวมตัวกัน เกิดเป็นถ้อยคำที่แปลความหมายอันยากจะทำความเข้าใจขึ้นบนทุกสถานที่บนแผนที่ ตรงส่วนลึกของดินแดนรกร้าง… จุดสีทองนั้นทำเครื่องหมายไว้เพียงอย่างเดียว
“ขอข้าดูหน่อย เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินผนวกรวมเข้ากับดินแดนรกร้างในทิศตะวันออกเป็นหนึ่งเดียว นามที่เรียกขานคือโลกมนุษย์ ส่วนอีกฟากฝั่งเรียกว่าโลกมาร เกาะที่อยู่กลางมหาสมุทรคือมหาวิหารฝูซาง หุบเขาสลายวิญญาณ แต่เดิมไม่ได้มีนามว่าสลายวิญญาณ แต่เรียกว่าธาราสวรรค์… ส่วนจุดเครื่องหมายสีทองนั่นถูกเรียกขานว่า สุสานเหล่าทวยเทพ สถานที่ที่เผ่าเทพองค์สุดท้ายสิ้นชีพในสนามรบ แผ่นฟ้าเดิมถล่มทลายลง เทพหลายองค์ถูกฝังกลบอยู่ที่นั่น เจ้าต้องค้นหาเบาะแสของร่างสวรรค์ริษยาเก้าในสิบส่วนจากที่แห่งนั้น”
[1] ไสยศาสตร์พิษ คือ ภาษาที่คนเข้าใจกันทั่วไปคือการทำกู่ กระบวนการคือนำสัตว์พิษชนิดต่าง ๆ (เช่น ตะขาบ งู แมงป่อง) ใส่ลงในภาชนะ แล้วปิดผนึก ปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นบริโภคกันเอง ตัวสุดท้ายที่รอดมาเพียงหนึ่งเดียวเชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด มักนำมาใช้ในกิจกรรมทางไสยศาสตร์