ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 143 คำขอที่สอง
ซูเซียงเสวี่ยไม่ฟังคำอธิบายของไป๋ชิวหราน และก็คัดลอกแผนที่บนกำแพงทันที
เนื่องจากเป็นแผนที่ที่มีความซับซ้อน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซูเซียงเสวี่ยผู้เชี่ยวชาญในการดีดพิณและเล่นหมากรุก อีกทั้งการประดิษฐ์ตัวอักษร การวาดภาพ… จึงทำให้นางคัดลอกแผนที่ตรงหน้าได้อย่างพิถีพิถัน
ไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ย และจื้อเซียนเข้าไปตรวจสอบวังใต้ดินอีกครั้ง นอกจากสุสานใต้ดินของจักรพรรดิอสูรองค์แรกก็ไม่พบสิ่งใดที่น่าสนใจอีก
นอกจากนั้นยังพบเพียงศีรษะไร้ร่างของจระเข้ขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าจะเป็นขององค์ชายจระเข้ ในบรรดาองค์ชายอสูรทั้งสี่คงเหลือรอดแค่องค์ชายอสรพิษดำเท่านั้น ทั้งสามกำลังหลักของโลกมารตอนนี้กำลังย่ำแย่… เขาคงจะออกไปใช้ชีวิตอย่างสงบ
หลังจากเดินวนไปมา ไป๋ชิวหรานก็กลับไปยังสุสานที่เก็บแผ่นจารึกไว้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเขย่าศิลาที่บันทึกเคล็ดวิชาฝึกตนของจักรพรรดิอสูรองค์แรกออกมา
“เราจะปล่อยให้มันอยู่ที่นี่ไม่ได้”
ไป๋ชิวหรานเดินไปที่แผ่นศิลาอีกครั้งและเอื้อมมือไปสัมผัส เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางฝ่ามือลง
“ลืมเรื่องจิตรกรรมฝาผนังนี้ไปเสียเถอะ แม้พวกอสูรจะได้เห็นมัน ทว่าคงไร้อำนาจที่จะสำรวจดินแดนแห่งความตายเป็นแน่”
จื้อเซียนแนะนำ
“น่าเสียดายที่ต้องทำลายประวัติศาสตร์เหล่านี้ทิ้ง”
“นั่นสิ”
ไป๋ชิวหรานบอกให้ซูเซียงเสวี่ยรวบรวมเคล็ดวิชาทั้งสองกลับไปเพื่อแปลสารที่โลกมนุษย์ จากนั้นรอจนดูดพลังงานของศพจักรพรรดิอสูรองค์แรกเสร็จ ชายหนุ่มจึงเก็บอาวุธเวทและพาซูเซียงเสวี่ยออกจากสุสานเพื่อกลับไปยังโลกมนุษย์
เนื่องจากการต่อสู้อันดุเดือดก่อนหน้านี้ เรือที่พวกเขานั่งมากับเรือขององค์ชายอสูรถูกทำลายจนหมดสิ้น อย่าว่าแต่เรือที่ทำจากไม้ แม้แต่เกาะเล็ก ๆ ก็ยังถูกจักรพรรดิองค์ชายองค์แรกยกให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ทำให้ไป๋ชิวหรานต้องกลับพร้อมซูเซียงเสวี่ยที่มีอาวุธพิเศษที่สามารถเหาะเหินกลางอากาศได้กลับไปยังชายฝั่ง
เจ้าสำนักเหอฮวนหยิบเสื้อคลุมขนนกสีขาวออกมาอย่างมีความสุข และจงใจสลับปรับเปลี่ยนที่นั่ง… ซึ่งไป๋ชิวหรานนั่งอยู่ด้านหลังราวกับควบขี่ม้า ทำให้ชายหนุ่มต้องกอดเอวของซูเซียงเสวี่ยเพื่อไม่ให้ตกลงไประหว่างทาง
ขณะเดินทาง นางยังจงใจขี่อ้อมให้ไกลขึ้น แต่เดิมสุสานจักรพรรดิอสูรองค์แรกอยู่ทางตอนใต้ของทะเล หากจะกลับไปยังชายฝั่งของโลกมาร เช่นนั้นก็ต้องบินไปยังจุดเหนือสุด!
ภายใต้คำใบ้โดยเจตนาหรือไม่เจตนาของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานจึงไม่ได้กล่าวว่าสิ่งใด แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดซูเซียงเสวี่ยถึงอารมณ์ดีเพียงนี้
เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดปกติในโลกมารอีก ไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยจึงกลับไปยังโลกมนุษย์ ชายหนุ่มคิดจะกลับไปยังสำนักกระบี่ชิงหมิงก่อน เพื่อดูว่าศิษย์ของตนก้าวหน้าเพียงใดแล้ว
แต่ซูเซียงเสวี่ยกลับขอให้ไป๋ชิวหรานอยู่ที่สำนักเหอฮวนต่ออีกหน่อย โดยอ้างว่าอยากให้จื้อเซียนช่วยแปลข้อความเกี่ยวกับเคล็ดวิชาทั้งสอง
ในช่วงเวลานี้ จื้อเซียนก็ได้แปลเคล็ดวิชาทั้งสองที่นำกลับมาให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว และซูเซียงเสวี่ยยังมอบสารที่คัดลอกให้ไป๋ชิวหราน เพื่อให้เขานำไปเก็บไว้ในหอตำราของสำนักกระบี่ชิงหมิง
วันต่อมา ไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนก็มาช่วยซูเซียงเสวี่ยฝึกฝนเคล็ดวิชา โดยพวกเขาผสมผสานการฝึกวิชาประตูมังกรทะยาน และการจุติภายนอกร่างกายเพื่อเปลี่ยนวิธีการฝึกฝนที่เหมาะสมกับนาง
ซูเซียงเสวี่ยไม่อยากละทิ้งตัวตนในฐานะมนุษย์ แต่หลังจากฝึกฝนวิชาประตูมังกรทะยาน และเคล็ดวิชามังกรทรราชแล้ว ร่างกายของนางก็ไม่สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นอสูรได้ ดังนั้นไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนจึงช่วยนางสร้างร่างอวตาร จากนั้นก็โอนโลหิตของอสูรไปในร่างกายนั้น
ร่างกายนี้จะเป็นร่างอสูรบริสุทธิ์ ซูเซียงเสวี่ยจะใช้เพื่อฝึกฝนพลังมังกรและเคล็ดวิชามังกรที่บรรพบุรุษจักรพรรดิองค์แรกมอบให้ ส่วนอีกร่างหนึ่งยังคงฝึกฝนศิลปะเงาอสูร
แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากในการควบคุมสองร่างด้วยจิตวิญญาณเดียว แต่จื้อเซียนได้อธิบายวิธีลึกลับดั้งเดิมที่องค์ชายแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ฝึกฝน ด้วยความช่วยเหลือจากไป๋ชิวหรานอีกทาง… ทำให้แก้ไขปัญหานี้สำเร็จ
วิญญาณดั้งเดิมของซูเซียงเสวี่ยยังคงอยู่ในร่างกาย แต่สามารถแบ่งออกมาส่วนหนึ่งเพื่อใช้ควบคุมร่างแยกได้
ด้วยวิธีนี้ ซูเซียงเสวี่ยเจ้าสำนักเหอฮวนจึงมีอยู่สองร่าง ความก้าวหน้าของนางได้พัฒนาขึ้นเป็นสองเท่า!
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงได้พักผ่อนอยู่ที่นี่อีกสามวัน ถังรั่วเวยเองก็ปิดประตูการฝึกฝนและมาหาชายหนุ่มที่สำนักเหอฮวน
“อาจารย์”
ศิษย์ที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานานมายืนตรงหน้าพร้อมเอียงศีรษะถาม
“ท่านจะกลับไปสำนักกระบี่ชิงหมิงเมื่อไหร่?”
“โอ้ รั่วเวย เจ้าก็มาที่นี่ด้วย”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองด้วยความบูดบึ้ง
“บ้าเอ๊ย เจ้าทะลวงขั้นขอบเขตแกนทองคำได้จริง ๆ…”
“นี่คือใบหน้าของอาจารย์ที่เห็นลูกศิษย์บรรลุขั้นพลังได้หรืออย่างไร?”
ถังรั่วเวยกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไม่ได้มาเพราะอยากรบกวนท่านกับเจ้าสำนักซูหรอก แต่เจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกลัวว่าท่านจะโดนเจ้าสำนักซูลักพาตัวไปยังสำนักเหอฮวนและกลายเป็นทาสพวกนาง ข้าจะบอกอะไรสักอย่าง ท่านจะอยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ควรโผล่หน้ากลับไปสำนักสักหน่อยเพื่อไม่ให้คนอื่นเป็นห่วง”
“นั่นสินะ… ตกลง ข้าจะกลับไปทำความสะอาดสักหน่อย”
ไป๋ชิวหรานลุกขึ้นพร้อมกล่าว
“ไปกันเถอะ”
“อาจารย์”
ถังรั่วเวยหยุดและเตือนเขา
“ท่านจะไม่บอกลาเจ้าสำนักซูหน่อยหรือ?”
“นางน่าจะยุ่งอยู่ตอนนี้…”
“มันจะเป็นเรื่องที่ดีหากท่านไปพบนางด้วยตัวเอง เชื่อข้าสิ”
ด้วยแรงผลักดันจากถังรั่วเวย ไป๋ชิวหรานจึงได้พบกับซูเซียงเสวี่ยที่กำลังทำหน้าที่ในฐานะเจ้าสำนักเหอฮวน
ก่อนหน้านี้นางโยนงานทั้งหมดของสำนักให้ลูกศิษย์และคิดจะไปเดินเล่นกับไป๋ชิวหราน แต่สักพักโหยวเหมยเฉียวพลันคืนงานทั้งหมดที่อยู่ในกลับมือให้อาจารย์
เมื่อไป๋ชิวหรานมาพบ ซูเซียงเสวี่ยกำลังถอนหายใจว่าศิษย์กตัญญูช่วยเหลืองานอะไรไม่ได้เลย
“อะไรนะ? ท่านจะกลับแล้วหรือ?”
หลังจากได้ยินว่าไป๋ชิวหรานจะกลับ ใบหน้าของสตรีจึงเผยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่นางก็เข้าใจและไม่ได้กล่าวว่าสิ่งใด
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ข้าคงจะปิดประตูบ่มเพาะพลังเคล็ดวิชามังกรอีกนาน… หากท่านมีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อโหยวเหมยเฉียวได้ตลอดเวลา”
“อืม ขอบใจมาก”
“ทำไมต้องขอบใจ… ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
ซูเซียงเสวี่ยหยุดไป๋ชิวหรานที่กำลังจะจากไป และลุกขึ้นยืน
นางเดินเข้าไปแนบชิดหลังชายหนุ่มพร้อมเอ่ยถาม
“ท่านจำได้หรือไม่ที่ข้าขอให้รับข้อเสนอสามอย่าง?”
“แน่นอนว่าข้าจำได้”
ไป๋ชิวหรานได้กลิ่นน้ำอบโชยมาจากตัวนาง เขาถอยไปหนึ่งก้าวและถามกลับ
“อะไร? เจ้าคิดจะขอตอนนี้หรือ?”
“ใช่”
ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้าและยื่นมือออกมา
“กอดข้า”
ไป๋ชิวหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ ยื่นมือออกมาโอบเอวของซูเซียงเสวี่ย
กลิ่นน้ำอบของนางทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายยิ่งนัก ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตสามพันปีที่ได้ใกล้ชิดกับสตรีเช่นนี้
ขณะที่ไป๋ชิวหรานกำลังถอนหายใจอย่างอดทนอดกลั้น ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็โชยพัดเข้ามาใกล้ ริมฝีปากของซูเซียงเสวี่ยประทับลงบนปากของชายหนุ่มแผ่วเบา…
ร่างของเฒ่าพรหมจรรย์แข็งทื่อ ซูเซียงเสวี่ยยกแขนโอบรอบคอไป๋ชิวหรานอย่างอ่อนโยน
เจ้าสำนักเหอฮวนค่อย ๆ ถอยออกไปเผยยิ้มให้เล็กน้อยและกล่าวอย่างนุ่มนวล
“ท่านไปได้แล้ว”
…