ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 145 แดนรกร้าง
หลีจิ่นเหยารีบยอมรับคำขอของไป๋ชิวหรานทันที
ก่อนหน้านี้ถังรั่วเวยเห็นซูเซียงเสวี่ยกับไป๋ชิวหรานใกล้ชิดกัน นางจึงแอบเขียนสาส์นแจ้งข่าวว่าชายหนุ่มกำลังจะออกไปอีกครั้ง ทำให้หลีจิ่นเหยารีบวิ่งมาที่สำนักกระบี่ชิงหมิงทันที และอยากไปกับเขาด้วย!
การที่ซูเซียงเสวี่ยรุกชายหนุ่มอย่างหนักนั้น ไม่เพียงแต่จะครอบงำไป๋ชิวหราน ทว่ายังทำให้หลีจิ่นเหยารู้สึกถึงวิกฤตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานไม่ยอมให้นางตามเขาไปโดยไม่สนใจไยดีไม่ได้ เพราะในแดนรกร้างมีแต่อันตรายที่คาดไม่ถึง อีกทั้งครั้งนี้ก็กำลังจะไปสุสานของเผ่าเทพ!
จักรพรรดิอสูรองค์แรกที่ตายไปแล้วยังสามารถฟื้นคืนชีพมาได้ ไป๋ชิวหรานจึงไม่เชื่อว่าเผ่าเทพจะไม่มีวิธีที่คล้ายกัน
และไป๋ชิวหรานคงไม่อาจใช้พลังแค่หนึ่งในสิบส่วนได้อีกต่อไป จักรพรรดิอสูรองค์แรกบังคับให้เขาต้องใช้พลังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้สึกว่าทุกอย่างคงจะทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก!
เมื่อพิจารณาดูแล้ว จื้อเซียนยังแนะนำให้บรรลุขั้นพลังเสียก่อนที่จะเข้าไปสำรวจครั้งนี้ แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดจริงจังอะไร นอกจากจะเจอกับสถานการณ์ที่จวนตัวจริง ๆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าเทพ ไป๋ชิวหรานก็ไม่ได้มีความมั่นใจอีก สาเหตุหนึ่งก็เพราะว่ามีหลีจิ่นเหยาไปด้วย ชายหนุ่มต้องแน่ใจว่าหลีจิ่นเหยาจะมีวิธีหนีกลับมายังโลกมนุษย์ได้หากตกอยู่ในแดนรกร้างเพียงคนเดียว…
ชายหนุ่มบอกเล่าปัญหานี้ให้จื้อเซียนฟัง
“มันจะไปยากอะไร? มานี่สาวน้อย ข้าจะสอนกระบวนท่าบิดเบือนมิติให้เอง!
“ช้าก่อน!”
ชายหนุ่มร้องตะโกน
“เหตุใดเจ้าไม่บอกข้าว่ามีวิชาแบบนี้ด้วย?”
จื้อเซียนตอบกลับอย่างยโสเล็กน้อย
“เกณฑ์ความยากของวิชานี้อยู่ตั้งแต่ขั้นแยกวิญญาณขึ้นไป ข้าบอกแล้วเจ้าจะฝึกได้อย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานพูดไม่ออก…
กระบวนท่าบิดเบือนมิติถูกแยกไปอีกมากมาย และเกณฑ์ความยากก็ขึ้นอยู่กับขั้นพลัง ซึ่งนับว่าเป็นวิชาที่ฝึกยากวิชาหนึ่ง
หลีจิ่นเหยาเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ ผู้ฝึกตนธรรมดาอาจใช้เวลาหลายปีในการสำเร็จวิชานี้ แต่นางคงจะทำได้ภายในครึ่งเดือน ในที่สุด หลีจิ่นเหยาก็บรรลุวิชาเดินทางผ่านมิติตามที่จื้อเซียนสอน
ภายใต้คำแนะนำของจื้อเซียน หลีจิ่นเหยาก็สามารถเดินทางไปกลับจากยอดเขาชีซิงได้ทันที จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงขอให้นางเดินทางกลับไปยังสำนักอสูรสวรรค์เพื่อบอกจี้หลิงอวิ๋นและหวงฝู่เฟิงเกี่ยวกับแผนการเดินทางครั้งนี้
ไม่ผิดจากที่คาดไว้ จี้หลิงอวิ๋นย่อมปฏิเสธแผนการนี้อย่างสุดชีวิต ยังไม่รวมกับที่ไป๋ชิวหรานเป็นอาจารย์ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อคนที่นางเกลียดที่สุดอีกกระทง นางย่อมไม่ยอมให้หลีจิ่นเหยาเอาตัวเข้าไปเสี่ยงติดตามชายหนุ่มแน่นอน
แต่ทว่าหวงฝู่เฟิงกลับเห็นด้วย เขาคิดว่าเมื่อมีไป๋ชิวหรานอยู่ข้าง ๆ การฝึกฝนของหลีจิ่นเหยาย่อมเป็นไปได้ด้วยดี
หากเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองจริง แม้แต่ไป๋ชิวหรานที่ไปด้วยยังรับมือไม่ได้ เช่นนั้นในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินก็คงไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับสิ่งที่อยู่ในแดนรกร้างได้อีกในอนาคต
ในแง่ของความเป็นผู้อาวุโส หวงฝู่เฟิงที่เป็นอาจารย์ของจี้หลิงอวิ๋นจึงสั่งให้หลีจิ่นเหยาติดตามไป๋ชิวหรานไปได้
หลังจากได้รับการยินยอมจากทั้งสองแล้ว ไป๋ชิวหรานก็พาหลีจิ่นเหยาเดินทางข้ามแผ่นดินเข้าไปในแดนรกร้าง เมื่อมาถึง ทั้งสองชะลอตัวลงและตรวจสอบอย่างระมัดระวัง แดนรกร้างแห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดมากมาย
หลังจากสังเกตมาได้สักพัก ไป๋ชิวหรานจึงพบว่าพรสวรรค์ของหลีจิ่นเหยานั้นยอดเยี่ยม ในตอนแรกนางลังเลเล็กน้อยที่จะจัดการสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งเหล่านี้
แต่ในไม่ช้า ทักษะการต่อสู้ของนางก็พุ่งพรวด ผู้ฝึกตนธรรมดาที่เพิ่งบรรลุขั้นพลังมักจะไม่คุ้นชินกับพลังที่มี กลับกันกับหลีจิ่นเหยา เพราะนางควบคุมมันได้อย่างเชี่ยวชาญในเวลาอันสั้น!
มีดฟันมังกรคู่ในมือก็เช่นกัน หลังจากทดลองใช้ได้ไม่นาน นางก็สามารถดึงประสิทธิภาพของอาวุธออกมาได้เกือบสิบส่วน แม้แต่ปรมาจารย์ด้านการใช้มีดมาพบเข้า เขาจะต้องร้องอ้อนวอนให้นางคำนับเขาเป็นอาจารย์แน่
ผ่านไปสี่ถึงห้าวัน นางก็กวัดแกว่งมีดฟันมังกรราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จิตวิญญาณอาวุธที่เพิ่งเกิดใหม่ก็ยอมรับนางเป็นเจ้านายอย่างไม่ต่อต้าน
ในระหว่างพักผ่อน หลีจิ่นเหยาก็เริ่มทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างที่กล่าวอ้างไว้ ซึ่งทักษะการทำอาหารของนางก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องโอ้อวดเกินจริง หลังจากที่ไป๋ชิวหรานได้ลิ้มลอง ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่ามันเป็นอาหารชั้นยอดที่หากินได้ยากในโลกนี้ และทุกคืนหลีจิ่นเหยาจะคอยจัดเตรียมไว้เสมอ
หลังจากผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกว่าตนปฏิบัติกับสตรีคนนี้เหมือนทาสเกินไป…
ไปชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาเดิน ๆ หยุด ๆ ตลอดทาง ทำให้ใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนกว่าจะมาถึงแม่น้ำสลายวิญญาณ
ระหว่างทางที่ผ่านมา พวกเขาก็สังเกตได้ว่าสัตว์ทุกชนิดดูแปลกขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงที่นี่ ไป๋ชิวหรานก็พบเข้ากับสัตว์ที่มีสามหัว โดยหัวหนึ่งเป็นสุนัข อีกหัวเป็นเป็ด และอีกหัวเป็นหมีขาว พวกมันกำลังล่าสัตว์ตัวอื่นอยู่อย่างสนุกสนาน
“แม่น้ำแห่งนี้เริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆ”
ไป๋ชิวหรานที่อยู่บนกระบี่บินของหลีจิ่นเหยากล่าวพร้อมถอนหายใจ
เป็นครั้งแรกที่หลีจิ่นเหยาเห็นพวกสัตว์ประหลาดรุมทึ้งกินอาหารกันอย่างหิวโหย นางหันศีรษะไปมองแม่น้ำสลายวิญญาณที่เต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานของเหล่าสัตว์ประหลาด
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ดูเหมือนสัตว์พวกนี้จะกินและเติบโตไปเรื่อย ๆ ท่านคิดว่ามันจะกลายเป็นตัวอะไรในที่สุด?”
“ข้าไม่รู้ ขอบเขตความรู้เรื่องแดนรกร้างแห่งนี้ยังมีน้อยนัก”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“จื้อเซียนพอจะทราบหรือเปล่า?”
“น่าเสียดายที่ยุคของข้าไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้ ตอนนั้นพวกเราแค่พยายามปกป้องตัวเองจากอสูรเผ่ามารเท่านั้น”
จื้อเซียนกระตุกผ้าคาดเอวของไป๋ชิวหราน
“หลังจากเดินทางมาสักพัก ข้าก็ได้เรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจมากมายผ่านภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของข้า… อย่างอากาศในแดนรกร้างนี้ที่เต็มไปด้วยสารพิษอันก่อเกิดจากเหล่าทวยเทพ มันคือ ‘กลิ่นไอความแค้นที่หลงเหลืออยู่’ และสัตว์ป่าเหล่านี้ก็เกี่ยวข้องกับความแค้นนี้ด้วย”
“ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้วสิ”
ไป๋ชิวหรานยิ้ม
หลีจิ่นเหยาควบคุมกระบี่บินไปอีกทางหนึ่งของแม่น้ำสลายวิญญาณ จากนั้นทั้งสองก็หยุดและลงมาเดินเท้าแทน
บรรดาสัตว์ประหลาดในแดนตะวันตกของแม่น้ำสลายวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่หลีจิ่นเหยาจะปะทะตรง ๆ ได้อีกต่อไป ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงเป็นฝ่ายลงมือแทน
ตามแผนที่ในกระเป๋าเก็บของของไป๋ชิวหราน เขากำลังพาหลีจิ่นเหยาไปยังสุสานของเหล่าทวยเทพ ที่มาของความแค้นที่หลงเหลืออยู่อาจจะเป็นของเผ่าเทพในตอนนั้นตามที่จื้อเซียนบอก เมื่อทั้งสองเดินลึกลงไป ความแค้นในดินแดนนี้ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้หลีจิ่นเหยาต้องโคจรพลังป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกกัดเซาะ
ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็สามารถพาหลีจิ่นเหยามาถึงปากทางเข้าสุสานของเผ่าเทพเสียที แต่ทั้งสองพลันต้องหยุดชะงักลง…
…เพราะเบื้องหน้ามีอสุรกายตัวใหญ่หลายตัวกำลังเดินวนไปมา
…