ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 147 ครั้งหนึ่งบนท้องฟ้า
ลำธารค่อย ๆ ไหลเข้าในหุบเขา จนท้ายที่สุดก็ไหลเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขา
จื้อเซียนสั่งให้หลีจิ่นเหยาพายเรือไปต่อ เรือแล่นตรงเข้าไปในถ้ำและไม่นานบริเวณรอบ ๆ พลันมืดลงกลายเป็นสีดำสนิท
หลังจากเดินทางมาได้อีกพักใหญ่ ไป๋ชิวหรานก็ได้ยินเสียงของหลีจิ่นเหยาถามอย่างประหม่า
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงยังคงได้ยินเสียงของข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มค้นพบว่าความมืดรอบตัวก็ดูเหมือนจะมีส่งผลแปลก ๆ บางอย่างออกมา แม้แต่จิตสำนึกยังได้รับผลกระทบและสำรวจได้ยากกว่าปกติ
ไป๋ชิวหรานยังรู้สึกว่า แม้หลีจิ่นเหยาจะนั่งอยู่ตรงข้าม ทว่าเหมือนนางไม่อาจสัมผัสลมหายใจของเขาได้ในตอนนี้
“ได้ยิน”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้านึกว่าถูกแยกกับท่านเสียแล้ว”
เสียงของหลีจิ่นเหยาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด
“ข้าพยายามจะใช้วิชาให้เกิดแสงสว่างแล้ว ทว่าไม่สามารถใช้วิชาเหล่านั้นได้ในความมืดนี้… นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก”
ไป๋ชิวหรานลองดูเช่นกัน ก่อนจะพบว่ามันเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนไปใช้ผนึกอัคคีที่ไม่มีวันดับ มันพุ่งออกมาและปรากฏแสงสว่างในความมืด แต่ให้ความสว่างได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อเห็นแสงสลัวส่องประกายในความมืดกับชายผมขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า หลีจิ่นเหยาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกและพายเรือต่อ
ในความมืดมิดไม่สามารถมองเห็นรอบด้านได้อย่างชัดเจนนัก มีเพียงเสียงพายเรือและเสียงน้ำดังกระเพื่อมเบา ๆ เท่านั้น ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าถ้ำค่อย ๆ กว้างขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นสายลมพัดผ่านหน้าของไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาไปอย่างแผ่วเบา
“ดูเหมือนทางออกจะอยู่ตรงนั้น”
หลีจิ่นเหยาเร่งฝีพายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เรือเริ่มแล่นเร็วขึ้น ความมืดค่อย ๆ หวนคืนกลับหายไป ก่อนจะพบว่ามีแสงสว่างรำไรเล็ดลอดออกมาเบื้องหน้า และพวกเขาจึงหันไปมองยังทิศทางของแสง
ทว่าเมื่อมองไปกลับก็ต้องกลั้นหายใจไปชั่วขณะ!
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแห่งจักรวาลอันงดงาม ดวงดาวนับไม่ถ้วนกำลังส่องแสงระยิบระยับแพรวพราวยามค่ำคืน
และเรือที่พวกเขากำลังนั่งอยู่นั้น ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่ลอยอยู่บนดาราจักรที่เต็มไปด้วยดวงดาว ส่วนหุบเขาและลำธารก่อนหน้านี้ได้อันตธานหายไปเมื่อใดไม่มีใครทราบ…
ดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ ๆ ความร้อนที่มาจากดวงดาว รวมทั้งพื้นผิวอันมหึมาของมัน ทำให้พวกเขาตกตะลึงเล็กน้อย
มันเป็นของจริง
ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาคิดเหมือนกัน
“มันเป็นอย่างไรกันแน่? เป็นสุสานเผ่าเทพงั้นหรือ?”
จื้อเซียนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เราพายเรือมาจากลำธารเล็ก ๆ เหตุใดถึงมาโผล่บนจักรวาลได้?”
หลีจิ่นเหยาเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ข้าไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่เลยนะ?”
“เพราะท้องฟ้าและพลังแห่งความมืดก่อนหน้านี้เป็นพลังของเผ่าเทพ”
จื้อเซียนตอบกลับ
“เทพเป็นร่างจุติของสรรพสิ่งและกฎของธรรมชาติ ลัทธิเต๋าก็เป็นธรรมชาติ แม้แต่ทักษะในการจัดการพื้นที่ที่เทพใช้ก็ด้วย สัญชาตญาณก่อนที่พวกเขาจะตายยังซับซ้อนกว่าอาคมในราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ของข้ามาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพื้นที่ที่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ”
“น่าทึ่งมาก”
หลีจิ่นเหยามองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“จื้อเซียน ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้คืออะไรอย่างนั้นหรือ?”
“มันเป็นท้องฟ้าดั้งเดิม”
ขณะที่จื้อเซียนพูด หลีจิ่นเหยาก็ขยับไม้พายและแล่นเรือไปตรงทางช้างเผือกใกล้ ๆ
“เทพในอดีตส่วนใหญ่เกิดและอาศัยอยู่ที่นี่ เป็นร่างของกฎธรรมชาติกับดวงดาว พวกเขาครองโลกแทนที่สวรรค์ แต่หลังจากที่เผ่ามนุษย์กับอสูรเผ่ามารรวมตัวกันเพื่อเอาชนะ ท้องฟ้านี้จึงลดระดับความสูงลงมาจากเดิมและฝังลงไปกับพื้นดินผ่านความผันผวนของพื้นที่หลายพันปี… ดังนั้นนี่จึงเป็นสุสานของเผ่าเทพของจริง”
ดวงดาวเคลื่อนผ่านพวกเขาไปช้า ๆ จื้อเซียนกล่าวขึ้นว่า
“ในอดีต ดวงดาวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิต จิตสำนึกกับพลังงานได้ถูกควบแน่น พวกมันเคยเป็นเทพแห่งดวงดาวในเหล่าทวยเทพ แต่ตอนนี้สูญสิ้นไปหมดแล้ว ยามนี้จึงเป็นเพียงก้อนหินที่มีพลังมากมายเท่านั้น”
ทางช้างเผือกค่อย ๆ กว้างขึ้น เรือที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ดูจะพิเศษขึ้นมา หลีจิ่นเหยาลองออกแรงพายเบา ๆ แต่มันกลับทะยานออกไปอย่างรวดเร็วผ่านหมู่ดวงดาวนับล้าน!
“ที่นี่สวยดีนะ…”
เมื่อเห็นดาวตกที่ร่วงหล่น หัวใจของหลีจิ่นเหยาเริ่มงอกงามเหมือนดั่งดอกไม้ที่ได้รับการดูแลรดน้ำ นางมองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ แต่พบว่าชายหนุ่มกำลังจับกะโหลกของจื้อเซียนด้วยใบหน้าที่ฉายแววจริงจัง ก่อนจะหันหน้าไปมองรอบ ๆ เพื่อสำรวจท้องฟ้า…
ด้วยการกระทำดังกล่าว ทำให้ชายหนุ่มเหมือนออกมาตามล่าหัวขโมยที่แย่งข้าวเจ้าไข่น้อยกิน!
‘เฮ้อ เวลานี้ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้าสำนักซูจริง ๆ’
หลีจิ่นเหยาอดไม่ได้ที่จะกล่าวในใจ
“จักรวาลกำลังจะสิ้นสุด”
จื้อเซียนเอ่ยเตือนขึ้นมา
ทั้งสองมองไปในทิศทางของเรือที่กำลังแล่น ทางช้างเผือกที่ลอยอยู่ในจักรวาลมาบรรจบกันตรงนั้น ในบริเวณที่บรรจบกันของทางช้างเผือกมีแท่นแกะสลักจากหยกขาวอยู่บนบันไดหยกที่เชื่อมต่อกับท้องฟ้า มันทอดยาวไปถึงส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“มีศาลาสวรรค์แห่งเผ่าเทพที่เหล่าเทพเคยอาศัยอยู่”
จื้อเซียนมองดูครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“ไปกันเถอะ เราขึ้นไปที่นั่นได้แล้ว”
หลีจิ่นเหยาค่อย ๆ เอนเรือไปที่แบนชิดขอบของแท่นหยก จากนั้นไป๋ชิวหรานก็โยนเชือกป่าน*[1] และผูกเรือไว้กับเสาหยกสีขาวบนแท่นหยก
บันไดหยกดูแปลกตานัก ทว่าทั้งสองค่อย ๆ ก้าวขึ้นไป แต่ทันใดนั้นก็พบว่าแต่ละก้าวทะยานไปด้วยความเร็วสูง ทว่าความจริงแล้วกำลังก้าวเดินตามจังหวะปกติ แต่อธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เส้นทางมีการเปลี่ยนแปลงตามกฎธรรมชาติ ที่ทวยเทพยุคก่อนได้ทิ้งไว้เพื่อความสะดวกสบาย”
จื้อเซียนกล่าว
“สาวน้อย เจ้าควรจะคลายพลังป้องกันได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
หลีจิ่นเหยาตกใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถาม
“ไม่มีไอความแค้นนั่นแล้วสินะ”
“ที่นี่ไม่มีไอความแค้น มันเป็นเพียงสุสานของเผ่าเทพ”
จื้อเซียนกล่าวเบา ๆ
ขณะที่ทั้งสองก้าวขึ้นไป ศาลาอันงดงามค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มีคานแกะสลักและวิหารที่ถูกออกแบบอย่างวิจิตรศิลป์ วิหารบางแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เมื่อมองดูสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาก็พอจะจินตนาการออกว่ามันเคยสวยงามเพียงใด
ในที่สุด บันไดหยกที่ทอดยาวก็สิ้นสุดลงและประตูหยกสีขาวขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
…
[1] เชือกปอป่าน หรือเชือกกระสอบ (วัสดุตัวเดียวกับกระสอบข้าว) มีลักษณะสีน้ำตาลเข้ม เป็นเชือกที่ผลิตจากปอธรรมชาติ 100% สามารถใช้งานได้เหมือนเชือกกับใยยักษ์ คือผูกของ ใช้ดึงและลากของ