ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 148 พลังปราณหนึ่งในสิบ
“นี่คือประตูสวรรค์บานเก่า”
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูหยก ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยามองขึ้นไปยังประตูที่มีความสูงหลายพันจั้ง ขณะเดียวกันจื้อเซียนก็เอ่ยอธิบาย
“ในสมัยโบราณ ภูเขาคุนหลุนและถงเทียนเจี้ยนมู่ล้วนเชื่อมโยงกับประตูนี้ เคยมีเทพเจ้าที่ทรงพลังปกป้องอยู่ ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านประตูสวรรค์จากจักรพรรดิสวรรค์จะถูกสังหาร หรือถูกขับไล่ทันที แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีสิ่งใดซับซ้อนอีกแล้ว”
“ใครคือจักรพรรดิสวรรค์ในอดีต?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ ข้าเพียงรับข้อมูลทางอ้อมเท่านั้น และต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีอยู่… เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“ถ้าเจ้าอยากทราบว่าใครคือจักรพรรดิสวรรค์ เช่นนั้นต้องพาข้าไปหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง”
“ตกลง” ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะศีรษะพรางเอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าจะไปหาเบาะแสจากที่ใดได้บ้าง”
จื้อเซียนบอกให้ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นและหันหลังกลับ
“ทิศตะวันออกเฉียงใต้ จุดสูงสุดคือหอตำราของเหล่าทวยเทพ”
ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาพาจื้อเซียนเดินไปตามทิศทางของหอตำรา ระหว่างทาง พวกเขาพบว่าพื้นที่นี้ได้รับความเสียหายหลายแห่ง และยังคงมีขี้เถ้าสีขาวตกอยู่ตามธารน้ำ แม้แต่ปราสาทบางหลังยังถูกพลิกคว่ำและลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าในจักรวาล
เห็นได้ชัดว่าสงครามที่เกิดขึ้นน่าสลดหดหู่ใจเพียงใด
ภายในปราสาทสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล ไป๋ชิวหรานและทั้งสองได้เดินมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเข้าสู่ใจกลางของปราสาทสวรรค์ เดิมทีพวกเขาคิดว่าอาจจะพบกับอันตรายบางอย่างที่นี่ แต่ความจริงได้บอกพวกเขาว่าที่แห่งนี้เป็นเพียงสุสานร้าง
รอบด้านมีกำแพงแตกและซากปรักหักพัง มีเพียงพื้นที่จัตุรัสที่อยู่ใจกลางปราสาทสวรรค์และระฆังทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่แขวนอยู่เท่านั้นที่ยังคงรักษารูปร่างที่สมบูรณ์ไว้ได้
ไม่ใช่ทุกคนในหลุมฝังศพที่จะลุกขึ้นมาเหมือนบรรพบุรุษจักรพรรดิอสูรองค์แรก
หลังจากเดินไปกว่าครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็ปีนขึ้นบันไดหยกที่เชื่อมปราสาทสวรรค์ต่าง ๆ และปีนขึ้นไปที่ด้านหน้าของปราสาทสวรรค์ทางตะวันออกเฉียงใต้
ตามที่จื้อเซียนบอก สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่เหล่าทวยเทพเคยเก็บองค์ความรู้ของพวกเขาเอาไว้ จะเห็นได้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นหอคอยสูงตระหง่านที่มีชายคาแกะสลักด้วยหยกและทอง ช่างเป็นประติมากรรมที่วิจิตร
แต่ตอนนี้มันพังลงมาแล้ว อีกทั้งยังมียักษ์ตัวสูงเกือบพันจั้งหมอบอยู่บนหอคอย ร่างโอนเอนชนเข้ากับหอคอยจนพังทลายลงมาครึ่งหนึ่ง!
ศพของยักษ์สูญเสียพลังปราณแก่นแท้ไปแล้ว ร่างกายเหี่ยวเฉาและมีรอยแตกระแหงไปทั่ว รูปลักษณ์ดั้งเดิมไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ส่วนชุดเกราะบนตัวก็ไม่แวววาวส่งเสริมพลังความแข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ยามนี้ได้กลายเป็นหินแข็งทื่อและเต็มไปด้วยรอยแตก
“นั่นคือเทพงั้นหรือ?”
หลีจิ่นเหยายืนอยู่ด้านข้างของขายักษ์ตนนั้น นางมองขึ้นไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เทพองค์นี้เคยดูแลแม่น้ำทางทิศเหนือตลอดช่วงชีวิต และยังเป็นนักรบที่อยู่ใต้บัลลังก์ของจักรพรรดิแห่งแดนเหนือผู้ยิ่งใหญ่”
จื้อเซียนอธิบายให้ทั้งสองฟัง
“ก่อนที่จะสิ้นชีพ เขาถูกแทงทะลุหัวใจด้วยอาวุธเวทของเซียน… ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเซียนผู้นั้นจะไม่เท่ากับเทพองค์นี้ แต่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากัน”
“เป็นไปได้ที่หมึกของแผนที่เซียนจะสาดซัดสังหารเทพเจ้าเหล่านี้”
ไป๋ชิวหรานลูบคางแล้วพูดต่อ
“ไปกันต่อเถอะ จื้อเซียน สิ่งที่พวกเรากำลังมองหาอยู่ที่ใด?”
“มีรอยแตกด้านข้างปราสาทนั่น เจ้าเห็นหรือไม่?”
จื้อเซียนมองไปอีกทาง
“ไปตรงนั้นก่อน อาจจะมีสิ่งที่เจ้าตามหาอยู่”
ตามคำแนะนำของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานและหลีจิ่นเหยาจึงได้เดินเข้าไปในปราสาทผ่านรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ด้านล่าง จื้อเซียนกล่าวต่อ
“ขยับร่างนี้ออกไปก่อน”
ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาเงยหน้าขึ้น ข้าง ๆ นั้นมีร่างของเทพผู้ล่วงลับ ศพขนาดใหญ่นั่งบดบังปราสาทเบื้องหน้าไปเกือบครึ่งหนึ่ง
“นี่จะเป็นการรบกวนพวกเขาหรือไม่”
ไป๋ชิวหรานลังเล
“อย่างเช่นอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาอะไรทำนองนั้น”
“ยังอยากจะหาเบาะแสในการบรรลุพลังไปสู่ขั้นสร้างรากฐานอยู่หรือไม่?”
จื้อเซียนถามกลับ
ไป๋ชิวหรานยกขาขึ้นเตะไปที่เทพองค์นั้นจนเกิดเสียงดังสนั่น และกล่าวออกมา
“แน่นอน!”
“ดี”
จื้อเซียนเอ่ยต่อ
“เห็นช่องว่างวงกลมข้าง ๆ นั่นหรือไม่? มันมีศูนย์กลางพลังงานของอาคารนี้เชื่อมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั่วทั้งท้องฟ้า… อีกทั้งยังมีเทพแห่งดวงดาวทั้งท้องฟ้าคอยดูแล แต่ตอนนี้… ท่านไป๋ เจ้าลองดูได้ว่าร่างสวรรค์ริษยานั้นแข็งแกร่งกว่าเทพดาราหรือไม่”
“สิ่งนี้ไม่เลือกปฏิบัติกับขั้นการบรรลุพลังปราณของผู้อื่นใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความสงสัย
“ไม่ ทั้งพลังวิญญาณที่แท้จริง ปราณโลหิต ปราณแห่งความตาย พลังวิญญาณ มันกินทุกอย่างไม่เลือก”
จื้อเซียนตอบกลับ
“เจ้ายืนห่างออกไปอีกนิด”
หลีจิ่นเหยาก้าวออกไปเล็กน้อย จากนั้นไป๋ชิวหรานก็เดินไปอยู่บนช่องว่างวงกลมและกดฝ่ามือลง เขาปล่อยพลังปราณในตัวเข้าไปทันที พลังงานที่ราวกับสายน้ำเชี่ยวก็ไหลเข้าสู่ช่องว่างวงกลมนั้นโดยเร็ว
ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณออกมาไม่หยุด สิ่งนี้กระตุ้นขั้นพลังของเขาให้ทำงานทันที แต่เนื่องจากใกล้จะบรรลุระดับพลังในขั้นเดิม ไป๋ชิวหรานจึงไม่กล้าใช้พลังเกินกว่าหนึ่งในสิบส่วน
เมื่อพลังงานมหาศาลถูกปล่อยออกไป แสงสีทองจากสวรรค์ก็เริ่มปรากฏขึ้นบนพื้นหยกก่อนจะกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง
ฉากเบื้องหน้าของหลีจิ่นเหยาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แสงสีทองทำให้อาคารและปราสาทที่พังทลายก่อนหน้านี้เรืองแสงด้วยพลังที่ไป๋ชิวหรานถ่ายทอดออกไป
หลังจากนั้น ท้องฟ้าเริ่มสั่นสะเทือน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว อุกกาบาต ดาวเคราะห์ และดวงดาวในพื้นที่จักรวาลด้านล่างก็ค่อย ๆ กลับสู่วงโคจรเดิมภายใต้พลังที่มองไม่เห็น!
…
พลังของไป๋ชิวหรานค่อย ๆ ครอบงำจักรวาลทั้งหมด มันดึงทุกสิ่งบนท้องฟ้าที่วุ่นวายและไม่เป็นระเบียบกลับมาอย่างช้า ๆ
ท้องฟ้าได้รับการฟื้นฟูโดยการรวบรวมพลังทั้งหมดของเทพดาราผู้ที่ปกครองท้องฟ้าในอดีตเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ผสานเข้ากับพลังของไป๋ชิวหรานอย่างดี เวลานี้ชายหนุ่มเริ่มอ่อนแรงลง แต่ใบหน้ายังสงบนิ่งและพยายามปรับเปลี่ยนพลังไปอย่างช้า ๆ
การเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม หลังจากที่ดวงดาวดวงสุดท้ายกลับมายังจุดเดิม จื้อเซียนก็หยุดไป๋ชิวหราน
“เอาล่ะ หยุดตรงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็ยกมือขึ้น และพลังปราณได้ไหลกลับเข้าไปในทะเลปราณอย่างช้า ๆ เพียงไม่นาน ทะเลปราณก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
จื้อเซียนและหลีจิ่นเหยาตั้งใจมองดู
หลังจากหยุดปล่อยพลังปราณ แสงสีทองใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มก็เริ่มรวมตัวกันกลางอากาศ มันควบแน่นเป็นอักขระโบราณนับไม่ถ้วน และสร้างเป็นกลุ่มก้อนอักขระโบราณที่หนาแน่น!