ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 149 สวรรค์ริษยารุ่นแรก
กลุ่มก้อนอักขระโบราณเปลี่ยนแปลงอยู่กลางอากาศ มันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นแบบจำลองที่น่าอัศจรรย์
“นั่นคืออะไร?”
หลีจิ่นเหยาผู้มีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่ง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เป็นโครงสร้างของโลกงั้นหรือ?”
แบบจำลองของอักขระโบราณที่ควบแน่นอยู่กลางอากาศเคลื่อนตัวเหนือศีรษะทีละตัว มันก่อตัวเป็นภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโครงสร้างของโลก
“คาดเดาได้ดี มันคือโครงสร้างของโลกในอดีต”
จื้อเซียนกล่าว
“ดูสิ ข้างบนนั้นมีแต่สวรรค์และโลก แต่ไม่มีที่สำหรับการเกิดใหม่อย่างปรโลก มันเป็นแบบจำลองของจักรวาลในยุคเผ่าเทพ”
ทั้งสองมองดูสิ่งที่จื้อเซียนบอก และพบว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ด้านใต้
“เช่นนั้นในสมัยโบราณก็ไม่มีภูตจับวิญญาณ และไม่มีสมุดแห่งชีวิตและความตายใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“บ้าเอ๊ย ข้าว่าอยู่แล้วเจ้าพวกภูตด้านล่างนั่นกำลังวางแผนทำเรื่องแย่ ๆ อยู่ คงมีเหตุผลบางที่จะจับข้าไปในปรโลก เจ้าพวกขี้ขลาด… บัดซบที่สุด!”
“อันที่จริงเจ้าก็เข้าใจดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
จื้อเซียนพูด
“หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ แล้วเบาะแสที่ข้าต้องการจะหาล่ะ?”
ไป๋ชิวหรานถามอย่างรีบร้อน
“อย่าใจร้อน เนื่องจากเจ้าเปิดใช้งานพลังงานของที่นี่ทั้งหมดแล้ว ทำให้สารทั้งหมดในหอตำรานี้เปิดใช้งาน และมันไม่หนีหายไปไหนแน่นอน พวกเรามาตามหาพวกมันทีละตัวกันเถอะ”
จื้อเซียนตอบกลับ
“จดบันทึกรูปแบบบนกำแพงนี้ก่อน หลังจากศึกษาแล้ว เจ้าอาจจะคิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ได้ด้วยพลังของตัวเอง”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองรอบด้าน ขณะเดียวกันหลีจิ่นเหยาเริ่มจดบันทึกอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานมองมา นางจึงเผยยิ้มพร้อมกล่าว
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงนั่งพักเสียหน่อย ข้าจะแบ่งให้เองหลังจากทำเสร็จ”
“สตรีคนนี้ช่างเอาใจใส่เก่งเหมือนเด็กสาว”
จื้อเซียนกล่าวอย่างแปลกประหลาด
“ท่านไป๋ เจ้าควรบันทึกด้วยตัวเอง มันมีความซับซ้อนมาก หลังจากบันทึกแล้วค่อยนำมาวิเคราะห์ทีหลัง”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานก็หยิบศิลาบันทึกภาพออกมาและร่วมบันทึกกับหลีจิ่นเหยา พวกเขาจดบันทึกโครงสร้างของอักขระโบราณ จากนั้นจึงนำมารวมกันจนเสร็จสมบูรณ์
หลังจากผ่านไปหลายชั่วยาม การบันทึกทั้งหมดก็เสร็จสิ้น จื้อเซียนปล่อยให้พวกเขาขึ้นไปยังชั้นต่อไปของหอตำรา แต่เนื่องจากเส้นทางเดินของชั้นเก็บตำราเหล่านั้นพังทลายไปแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงต้องนั่งกระบี่ของหลีจิ่นเหยาเพื่อบินขึ้นไป
“อันที่จริงโครงสร้างของเผ่าเทพนั้นมีความพิเศษและมีความแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนตนเหมือนเรา อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องเก็บองค์ความรู้ไว้มาก และรูปแบบอักขระโบราณด้านล่างนั่นก็บันทึกความรู้ของพวกเขาไว้หมดแล้ว”
จื้อเซียนอธิบาย
“ดังนั้นต่อจากนี้ไปคงจะเป็นประวัติศาสตร์ของเผ่าเทพแล้ว”
หลังจากที่เจ้าหัวกะโหลกพูดจบ แสงสีทองมากมายก็ได้แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่าของชั้นสอง และก่อตัวเป็นภาพวาดกลางอากาศ แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ของเหล่าทวยเทพถูกบันทึกไว้ในนั้น
“ดูเหมือนว่าตั้งแต่ยุคเผ่าเทพจนถึงยุคของบรรพบุรุษจักรพรรดิองค์แรกองค์แรก… เหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่ใช้รูปภาพเพื่อบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สินะ”
ขณะมองไปยังภาพวาดที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ไป๋ชิวหรานบ่นพึมพำออกมา
เนื่องจากมันใช้พลังงานในการกำหนดรูปร่าง รูปแบบของภาพวาดเหล่านั้นจึงชัดเจน และไม่จำเป็นต้องให้จื้อเซียนบอกอะไร ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาก็สามารถเห็นลักษณะที่ปรากฏของภาพวาดได้อย่างชัดเจน
ภาพวาดนั้นแสดงถึงเทพองค์แรกที่ปรากฏขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก ทว่าดูแตกต่างไปจากเทพที่หลีจิ่นเหยากับชายหนุ่มรู้จักอย่างสิ้นเชิง… ไม่มีมือ ไม่มีเท้า ใบหน้าไร้ซึ่งอวัยวะ ดูเหมือนลูกบอลดินเหนียวที่เปลี่ยนรูปร่างอยู่เสมอ
“นี่คือความโกลาหลของโลกนี้ สิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดระหว่างสวรรค์กับโลก… เป็นผลผลิตที่ไม่ตระหนักหยั่งรู้ของสวรรค์”
จื้อเซียนอธิบาย
“จักรพรรดิสวรรค์องค์แรกที่ได้รับความเคารพจากเหล่าทวยเทพ แต่เขาไม่มีประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือแขนขา ไม่มีความปรารถนาใด และคงจะตายในไม่ช้า”
หลีจิ่นเหยาและไป๋ชิวหรานบินขึ้นไปยังชั้นสาม
ในภาพวาดของชั้นที่สาม สวรรค์กับโลกถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง มีเทพเจ้าสององค์บนท้องฟ้าและพื้นดิน เทพเจ้าบนท้องฟ้านั้นรูปร่างสูงกว่าเล็กน้อยและมีลักษณะเป็นผู้ชาย ในขณะที่เทพเจ้าบนพื้นดินตัวเล็กกว่าเล็กน้อยและมีลักษณะเป็นผู้หญิง
“พระบิดาแห่งสวรรค์และพระมารดาแห่งโลก จักรพรรดิสวรรค์รุ่นที่สองและสาม”
จื้อเซียนมองดูครู่หนึ่งแล้วอธิบายว่า
“หลังจากเทพเจ้าทั้งสองรวมตัวกันแล้ว พระบิดาแห่งสวรรค์ก็สิ้นเรี่ยวแรงจนสิ้นชีวิต ร่างของเขากลายเป็นท้องนภา และพระมารดาแห่งโลกได้ให้กำเนิดทุกสิ่ง ต่อมานางได้ถูกเทพสวรรค์องค์ใหม่โค่นล้มและกลายเป็นพื้นปฐพี”
“จักรพรรดิสวรรค์รุ่นที่สองตายเหมือนวัวในทุ่งหญ้าอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเบา ๆ
“ฮ่า ๆ เป็นเรื่องจริงที่น่าขันเสียจริง”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่ต้องกังวล เมื่อพระบิดาแห่งสวรรค์และพระมารดาแห่งโลกตายลง เช่นนั้นแสดงว่าพวกเขายังตายได้เหมือนเรา”
หลีจิ่นเหยากระซิบข้าง ๆ ชายหนุ่ม
ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าคำพูดของสตรีคนนี้ช่างคล้ายกับซูเซียงเสวี่ย
พวกเขาเดินต่อไป แต่ทันใดนั้นก็มีความผิดปกติเกิดขึ้นตรงส่วนกลาง พลังงานรวมตัวกันก่อนจะกระจายไปในอากาศ และดูเหมือนว่าเส้นทางจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
เช่นนั้นทางเลือกสุดท้าย จึงทำให้พวกเขาต้องเดินไปยังชั้นกลางและชั้นบนของหอตำราที่สูงเกือบพันจั้ง และพบว่ามีภาพวาดปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในภาพนั้น ยุคเผ่าเทพดูเหมือนจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว บนท้องฟ้ามีเทพผู้แข็งแกร่งที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์นั่งอยู่ด้านบน ส่วนด้านล่างเป็นเหล่าเทพเจ้าที่รวมตัวกันแน่นขนัด รูปร่างกำหนดถึงระดับของสถานะของพวกเขา บนโลก ท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ สัตว์ทุกชนิดปรากฏขึ้น อีกทั้งยังมีสัตว์ร้ายที่ไม่เคยเห็นมากมายในรูปนั้น บนที่ราบมีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้นด้วย!
“ผู้ที่อยู่บนสุดนั้นคือจักรพรรดิสวรรค์องค์สุดท้าย จักรพรรดิตะวันออกไท่อี้ เทพแห่งความเกียจคร้าน”
จื้อเซียนอธิบาย
“ผู้คนตัวเล็ก ๆ บนพื้นดินเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา”
เมื่อขึ้นไปอีกหนึ่งชั้น มีภาพวาดที่บันทึกอยู่ ปรากฏเหล่าทวยเทพบนท้องฟ้ายังคงสถิตอยู่บนท้องฟ้าอย่างสงบ แต่มีเส้นบางอย่างอยู่เหนือศีรษะของกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ บนพื้นดิน
“นั่นคือประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้จากมุมมองของเหล่าทวยเทพ เส้นเหล่านั้นหมายความว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์บนพื้นดินเริ่มต่อต้านไม่เชื่อฟัง”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“ข้าเกรงว่าคงเป็นยุคนี้ที่จักรพรรดิเซียนได้คิดค้นการบ่มเพาะพลังขึ้น”
หลีจิ่นเหยากระตุ้นกระบี่บินให้ขึ้นไปต่อจนมาถึงชั้นสุดท้าย
แต่คราวนี้ประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในภาพกลับหัวกลับหางโดยสิ้นเชิง ยักษ์ที่คล้ายกับจักรพรรดิสวรรค์ยืนขึ้นจากพื้น เขาถือกระบี่คมกริบแทงขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้เหล่าเทพเจ้าต่างพากันหลบหลีกด้วยความตื่นตระหนก
ไป๋ชิวหรานเผยความสงสัย
“นั่นคืออะไร?”
“เป็นร่างสวรรค์ริษยารุ่นแรก”
จื้อเซียนตอบกลับ
“เจ้าเห็นรอบตัวเขาหรือไม่? สิ่งแหลม ๆ ที่อยู่รอบตัวคือกระบี่บิน… เขาแตกต่างไปจากเจ้าอย่างสิ้นเชิงเพราะมีขั้นพลังที่สูงกว่า”
“ในที่สุดก็พบ…”
ไป๋ชิวหรานไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นในใจได้อีก
“จื้อเซียนช่วยดูหน่อย ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับร่างสวรรค์ริษยาคนนั้น”
…