ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 151 เหตุใดจึงไม่อาจบรรลุผ่านได้
“นั่นอย่างไรเล่า ข้าถึงได้ให้แม่นางหลีหลบหนีออกไปก่อน”
ไป๋ชิวหรานพร่ำบ่น
“นอกจากกระบวนท่าบิดเบือนมิติแล้ว ยังมียุทธภัณฑ์ใดที่สามารถควบคุมกาลเวลาในโลกนี้ได้อีกหรือไม่?”
“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคาถามาก่อน แต่สิ่งนั้นสามารถจัดการได้ อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของจักรพรรดิสวรรค์”
จื้อเซียนเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว
“แต่เวลาคับขันเช่นนี้ยังไม่ควรคิดสิ่งเหล่านั้น ทว่าเจ้าต้องจัดการกับเจ้ายักษ์ตนนั้นก่อน… มันกำลังมาแล้ว!”
เหนือท้องฟ้า รอยไหม้เกรียมบนพื้นผิวระฆังของจักรพรรดิตะวันออกในมือเทพเจ้ายักษ์ค่อย ๆ ลอกออกเพราะพลังงานที่ดูดซึมเข้าไป ฉับพลันเปล่งแสงสีทองเข้มก็สว่างเจิดจ้า ระดับเสียงอันทรงอานุภาพของมันทะยานขึ้นจนเทียบเคียงกับความสูงของเทพเจ้ายักษ์
จากนั้นเทพเจ้ายักษ์ที่อยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ก็เขย่าระฆังทองในมือเบา ๆ
เกร๊ง!
เสียงนั้นฟังดูคล้ายเสียงระฆังในเมืองโบราณของเซียนปฐพี ทว่าพลังของระฆังจักรพรรดิตะวันออกนี้เหนือกว่าระฆังทลายวิญญาณมาก คลื่นเสียงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าสะท้อนผ่านไปทางรอยแยกเหนืออวกาศอันมิดมืด ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มปรากฏขึ้นให้เห็น พวกมันกระจัดกระจายอยู่โดยทั่ว พร้อมด้วยพายุพลังอันไร้ที่สิ้นสุดจากห้วงแห่งความว่างเปล่าภายนอก ผสมปนกับเศษขยะในอวกาศที่พัดกวาดไปทางไป๋ชิวหราน
เมื่อถูกกระแสพายุแห่งความว่างเปล่าพัดผ่าน เสื้อผ้าของชายหนุ่มจึงถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
“โอ๊ย!”
เส้นผมของเขาปลิวสยายไปตามแรงลม
“โชคดีที่แม่นางหลีไม่อยู่ที่นี่”
“หากนางไม่ยินยอมหลบหนีออกไปตั้งแต่แรก เห็นทีคงหนีออกไปไม่ได้อีก”
จื้อเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“รู้สึกอย่างไรบ้าง? ด้วยการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ตอนนี้พื้นที่เหนือท้องฟ้าแห่งนี้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ นับไม่ถ้วนแล้ว”
“ข้ารู้สึกเย็นบริเวณช่วงล่างเล็กน้อย… ส่วนที่เหลือยังปกติดี”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็ลดมือลงปกปิดส่วนสงวนของตนเอง ก่อนกล่าวต่อไป
“กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว มีเวทแขนงใดบ้างที่สามารถผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ได้… ข้าคงรู้สึกอึดอัดใจนักหากไม่สามารถซ่อนเร้นความน่าละอายได้”
“แต่นี่…”
ช่างเถอะ ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้ว“
ไป๋ชิวหรานโบกมือพร้อมกล่าวต่อไป
“มันจำเป็นต้องใช้ขั้นวิญญาณแท้จริงด้วยใช่หรือไม่?”
จื้อเซียนนิ่งเงียบไม่ตอบกลับ แต่เมื่อสังเกตจากท่าทีของเขาแล้ว คำตอบน่าจะเป็นเช่นที่ชายหนุ่มคาดเดา
“โอ้สวรรค์ อุตส่าห์เดินทางมาถึงที่นี่ ทว่าสุดท้ายก็ยังเจอแต่เรื่องย่ำแย่”
ไป๋ชิวหรานบิดแขนขับไล่ความเมื่อยล้า เงยหน้ามองดูเทพเจ้ายักษ์แห่งทางช้างเผือกที่อยู่บนท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า
“อย่าได้ทะนงตนนักเลยที่เจ้าได้รับพลังงานจากข้าเพียงหนึ่งจากสิบส่วน วันนี้จะแสดงให้เห็น ว่าความแข็งแกร่งระหว่างพลังแค่หนึ่งในสิบเช่นเจ้าและพลังหนึ่งในสิบของข้า มีความแตกต่างกันอย่างไร!”
“ยังคิดจะประลองพลังอีกหรือ?”
จื้อเซียนเสนอแนะ
“ลืมเรื่องนั้นไปเสียเถอะ ท่านไป๋ เรื่องใหญ่ในตอนนี้คือระดับขั้นการฝึกตน เจ้ายังไม่สามารถบรรลุขั้นกลั่นลมปราณระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบหกสู่ระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบเจ็ดด้วยซ้ำ และไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะฝึกฝนจนบรรลุในตอนนี้… ตรงกันข้าม เทพเจ้ายักษ์ตนนั้นมีระฆังจักรพรรดิตะวันออกอยู่ในมือ เราต้องระวังให้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อมาช้านาน และไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่ามันสามารถทำอะไรกับยุทธภัณฑ์นั้นได้บ้าง ข้าแนะนำให้เจ้ารีบตัดสินใจ”
“ก็ได้”
ไป๋ชิวหรานหยิบกระบี่ออกมาจากถุงเก็บสมบัติ และถ่ายเทพลังปราณกระบี่เข้าไป ทันใดนั้นแสงเย็นเยียบวาววับพลันสะท้อนอยู่บนใบกระบี่
“วันนี้จะให้เทพเจ้าเหล่านั้นได้เห็นกระบวนท่ากระบี่อันไร้เทียมทานแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้า”
ชายหนุ่มออกแรงกระทืบเท้าเบา ๆ ลงบนแท่นหินที่หลีจิ่นเหยาใช้พลังเรียกมันมาให้เขา ทำให้แท่นหินดังกล่าวทรุดตัวลง ขณะรวบรวมกลุ่มควันให้พวยพุ่งขึ้นสูงเสมอปลายจมูกของเทพเจ้ายักษ์ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะดำดิ่งสู่ท้องฟ้า สูดลมหายใจลึก พร้อมหลอมรวมกระบี่ยาวในมือเข้ากับแสงกระบี่วาววับ
แสงกระบี่สะท้อนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ไป๋ชิวหรานปล่อยปราณกระบี่โดยใช้พลังงานเพียงหนึ่งในสิบอย่างไม่ลดละ กวาดล้างซากปรักหักพังที่เหลืออยู่เป็นแห่งสุดท้ายของปราสาทสวรรค์ของจักรพรรดิสวรรค์ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เทพเจ้ายักษ์ได้ถูกแสงกระบี่เดียวกันนี้เจาะผ่านเนื้อหนังเข้าไป กระทั่งร่างกายถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
แม้ว่ามันจะมีพลังที่เหนือกว่าไป๋ชิวหรานถึงหนึ่งในสิบ แต่เห็นได้ชัดว่าการใช้พลังยังด้อยกว่าไป๋ชิวหราน
เทพเจ้ายักษ์แห่งทางช้างเผือกไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องออกแรงเขย่าระฆังจักรพรรดิตะวันออกอีกครั้งด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทำให้ระฆังทองฉีกท้องฟ้าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลมพายุแห่งความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดขยายวงกว้างจนเต็มพื้นที่ทั้งหมด ทว่าไป๋ชิวหรานยังปราศจากความกลัว แสงกระบี่พุ่งฉีกลมพายุแห่งความว่างเปล่าออกจากกัน บนท้องฟ้าและพื้นดินปรากฏชิ้นส่วนของดอกบัวที่ผลิบาน บริเวณใจกลางของดอกบัว พายุมรสุมของปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพลันทะยานออกไป!
บนท้องฟ้าและพื้นดิน ร่างยักษ์ของเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกถูกล้อมรอบไว้ด้วยแสงกระบี่ที่แผ่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า
ปราณกระบี่อันไร้เทียมทานเข้าฉีกแขนและขาของเทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือก บริเวณลำคอเกินครึ่งส่วนฉีกขาดเป็นแผลฉกรรจ์ ถึงกระนั้นอาการบาดเจ็บแม้จะสาหัส ทว่ายังไม่อาจทำให้เทพเจ้ายักษ์ทางช้างเผือกถึงแก่ความตาย
เมื่อมองเห็นท่าทางที่กล้าหาญและไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งของไป๋ชิวหราน มันจึงตระหนักว่าตนไม่อาจอยู่ยงคงกระพันต่อไปเป็นแน่ จึงแปรเปลี่ยนแขนข้างหนึ่งที่หักให้เป็นแหล่งพลัง สูบฉีดพลังงานทั้งหมดเข้าไปในระฆังจักรพรรดิตะวันออก
แกร๊ง!
เสียงกังวานดังลั่นครั้งนี้ดังยิ่งกว่าเสียงระฆังครั้งไหน ๆ ราวกับต้องการประกาศว่าโลกจงหยุดนิ่งเสียเดี๋ยวนี้!
คล้ายกับเวลาหยุดเดิน ไป๋ชิวหรานพบว่าจักรวาลได้กลายเป็นสีเทาอึมครึม เศษขยะในอวกาศที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า พายุพลังงานที่แผ่ออกมาจากความว่างเปล่า ปราณกระบี่ของเขา ร่างกายเทพเจ้ายักษ์ขาดกระเด็นเมื่อลำแสงกระบี่ฉีกผ่าน หรือแม้แต่ร่างกายทุกส่วนของชายหนุ่มยังหยุดนิ่งค้างไปอย่างฉับพลัน
แต่ห้วงความคิดของไป๋ชิวหรานยังไม่หยุดชะงักตาม ลางสังหรณ์อันแม่นยำเริ่มทำงาน เมื่อใดก็ตามที่คิดที่จะจัดการกับร่างกายของตนเอง จะมีเจตจำนงอันแข็งแกร่งคอยเข้าขัดขวาง ราวกับจะบังคับให้คงสภาพเช่นเดิม เพื่อรักษาช่วงเวลาแห่งความเงียบงันนี้ไว้
นี่คือ… การบิดเบือนมิติงั้นหรือ?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในจิตสำนึกของไป๋ชิวหราน เขาพยายามกะพริบตาอย่างยากลำบาก พยายามเหลือบมองจื้อเซียนที่ถูกอุ้มไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และพบว่าจื้อเซียนหยุดนิ่งไปแล้วเช่นกัน หัวกะโหลกค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ประกายดวงไฟสีเขียวทั้งสามพุ่งออกมาจากเบ้าตากลวง แต่แล้วก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศไม่ต่างกัน
จื้อเซียนต่างจากไป๋ชิวหราน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถรักษาดวงจิตของตนไว้ได้ในพื้นที่และห้วงเวลานี้
ราวกับพลังนั้นเรียกใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีความแข็งแกร่ง
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ ไป๋ชิวหรานจึงบังคับพลังวิญญาณที่แท้จริงขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย และพยายามดิ้นรนเพื่อให้เป็นอิสระ
พื้นที่ทั้งหมดพลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย จักรวาลสีเทาอึมครึมดูเหมือนจะแตกสลายไปในทันที ทว่าครู่ต่อมากลับเกิดแรงกดดันตอบสนองที่รุนแรงขึ้น กดทับร่างไป๋ชิวหรานให้หยุดนิ่งอยู่กับที่!
แรงกดดันนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่กดทับร่างกายของไป๋ชิวหราน ทว่ายังกดดันลึกลงไปถึงทุกอณูของร่างกาย รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่ประกอบรวมขึ้นเป็นร่างกาย จิตสำนึก จิตวิญญาณ ทั้งยังลามไปถึงพลังวิญญาณแท้จริงอันไร้ที่สิ้นสุดที่อยู่ภายในคฤหาสน์ม่วงของเขาอีกด้วย
ไป๋ชิวหรานรู้สึกราวกับว่าตนถูกโยนลงไปในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยดินโคลน มีแรงกดทับที่เหนียวแน่นอีกทั้งยังน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่สามารถอธิบายได้ พลังนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่บรรพบุรุษจักรพรรดิอสูรองค์แรกใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ควบคุมทั้งโลกให้กดขี่ข่มเหงเขาเสียอีก!
สีหน้าของชายหนุ่มตึงเครียดขึ้นทันที ด้วยแรงกดดันนี้ หากเขาเพียรต่อสู้อย่างหนัก อาจจะสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้ ทว่าพลังวิญญาณที่แท้จริงที่จำเป็นต้องใช้… จะเกินขีดจำกัดสูงสุดของพลังที่เขาสามารถเรียกใช้ได้ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น แรงกดดันยังมีอิทธิพลมากพอจะกดทับคฤหาสน์ม่วงภายในกายของเขา!
เหมือนกับคนหนึ่งพยายามดิ้นรน แต่อีกคนหนึ่งคอยใช้กำปั้นทุบหน้าท้องส่วนล่างของเขาอย่างต่อเนื่อง
หรือข้าควรบรรลุผ่านไปยังอีกระดับขั้นดี?
ไป๋ชิวหรานเกิดความลังเลใจ ขณะที่ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลสีเทาอึมครึมหยุดนิ่ง ทันใดนั้นหมัดยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าพลันพุ่งลงมาจากเบื้องบน กระแทกร่างของเขาให้ดิ่งลงสู่ความเวิ้งว้างเหนือท้องฟ้า ลอยผ่านทางช้างเผือกที่อยู่ใจกลางจักรวาล ก่อนจะตกลงไปในห้วงแห่งความมืดมิดอันลึกล้ำ…