ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 153 การเนรเทศห้วงเวลา
น่าทึ่งไม่น้อย…
ไป๋ชิวหรานเฝ้าถามตนเองอยู่ตลอดว่าทั้งชีวิตได้ทำความดีและสะสมความดีมามากมาย ทั้งยังทำสิ่งหนึ่งหรือสองสิ่ง เช่น การดำรงความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ ทว่าตอนที่ทำเขาไม่คิดว่าเป็นการทำเพื่อสะสมบุญแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
ทว่าเมื่อไป๋ชิวหรานเข้ามาถึงสุสานของเผ่าเทพ เทพเจ้าเหล่านั้นกลับตั้งตนเป็นศัตรูและเคียดแค้นชิงชังเขา ในอดีตผู้ที่ครอบครองร่างกายสวรรค์ริษยาคนแรกทำให้เหล่าทวยเทพมีอันเป็นไป แต่ระฆังของจักรพรรดิตะวันออกยังเลือกที่จะโจมตีชายหนุ่ม ความเด็ดเดี่ยวในอุดมคติเช่นนี้ต้องมีความหมายบางอย่าง
เมื่อสังเกตกลวิธีที่มันใช้เพื่อดูดซับพลังงานอย่างจริงจังในตอนนี้ จึงเห็นได้ชัดว่าทัศนคติของอีกฝ่ายที่มีต่อเขาเดือดดาลยิ่ง ราวกับชายหนุ่มเคยไปเข่นฆ่าต้นตระกูลของมันอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าถึงมันจะเก่งกาจเพียงใดก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น จะมีญาติสนิทมิตรสหายได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานไม่มีเวลาเพียงพอที่จะครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จากคำอธิบายของจื้อเซียน การเคลื่อนไหวที่ระฆังจักรพรรดิตะวันออกกำลังก่อตัว ไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวในห้วงอวกาศ อีกทั้งยังไม่ได้โจมตีไป๋ชิวหรานโดยตรงแต่อย่างใด
ทว่าสิ่งที่มันกำลังก่อรวมขึ้นในตอนนี้ ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่หลวงสำหรับไป๋ชิวหรานมากกว่าครั้งก่อน
การเนรเทศห้วงเวลา
ระฆังขนาดใหญ่ใบนั้นต้องการขับไล่ดวงมรณะเช่นไป๋ชิวหรานไปยังห้วงมิติอื่น ด้วยความสามารถในการควบคุมเวลากับพื้นที่ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ชายหนุ่มที่ไม่สามารถบรรลุผ่านระดับการฝึกตนขั้นมาตรฐานสำหรับเรียกใช้เวทในห้วงอวกาศ อาจจะเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง
แม้เขาจะสามารถแยกห้วงมิติออกจากกันได้ แต่หากไม่รู้หนทางเลยก็ไร้ซึ่งประโยชน์
“หยุดมันไว้!”
จื้อเซียนกระตุ้นเตือน
ไป๋ชิวหรานตบหลังมือไปทางความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหลัง แต่ว่าท้องฟ้าแห่งห้วงอวกาศนี้ก็เกือบจะพังทลายลงด้วยน้ำมือของเทพเจ้ายักษ์อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ความลังเลที่จะแปรเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็นกระดานสะท้อนกลับ จากนั้นพื้นที่ก็ได้ถูกชายหนุ่มทำลายลง ก่อนจะรีบพุ่งตัวไปยังระฆังของจักรพรรดิตะวันออกที่ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า
เคร้ง!
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย ระฆังจักรพรรดิตะวันออกก็เปล่งเสียงกังวานก้องออกมาป้องกันตัว ไป๋ชิวหรานรู้สึกถึงการหยุดนิ่งของพื้นที่โดยรอบ จากนั้นชายหนุ่มก็ไปปรากฏตัวขึ้นในบริเวณก้นบึ้งของห้วงอวกาศ
“เคลื่อนย้ายห้วงมิติอีกแล้ว”
น้ำเสียงของจื้อเซียนราวเจ็บปวดเสียเต็มประดา
“เฮ้… ระฆังใบนั้นฉลาดนัก ดูเหมือนว่าเจ้าจะตกลงไปในหลุมมรณะเข้าเสียแล้ว”
ไป๋ชิวหรานไม่กล่าวตอบคำใด ตอนนี้เขาจำเป็นต้องกระทำบางสิ่งเพื่อแข่งกับเวลา ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอจะกล่าววาจาหยอกล้อกับจื้อเซียน
ไป๋ชิวหรานคว้าหัวกะโหลกของจื้อเซียนไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่เขายังคงกระแทกก้นลึกของห้วงแห่งความว่างเปล่าด้วยหลังมือต่อไป โดยผลักแรงต้านของลมพายุแห่งความว่างเปล่าให้พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เนื่องจากการออกแรงตบหลังมือครั้งก่อนหน้าได้ผลักพายุแห่งความว่างเปล่าที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงออกจนมันสลายไป คราวนี้ความแข็งแกร่งจากฝ่ามือของไป๋ชิวหรานจึงถูกสะท้อนกลับหลังจากเวลาผ่านไปสักระยะ อีกทั้งพลังยังช้ากว่าก่อนหน้ามาก
ครั้นชายหนุ่มเหาะทะยานกลับไปยังระดับความสูงเดิมอีกครั้ง ระฆังทองได้ดูดกลืนร่างกายทั้งหมดของเทพเจ้ายักษ์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าจนมันมีขนาดใหญ่ขึ้น ทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าอันไร้ที่สิ้นสุดพลันถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวระฆัง ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้วงอวกาศ
‘ไม่นะ ข้ามาช้าเกินไปหรือ’
ไป๋ชิวหรานลอบร้องอุทานในใจ
จากนั้นเขาก็ยกนิ้วเรียวขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นสูงเพื่อปลดปล่อยปราณกระบี่ให้หมุนวนเจาะทะลุร่างของระฆังทอง ทว่าในขณะเดียวกัน ระฆังของจักรพรรดิตะวันออกได้เปล่งเสียงก้องกังวานอันทรงพลัง
ด้วยการที่ไป๋ชิวหรานขับเคลื่อนพลัง ทำให้สามารถปลดปล่อยการโจมตีที่อดีตจักรพรรดิสวรรค์ไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้ และเลือกที่จะใช้มันให้ย้อนกลับไปโจมตีตนเองเสียอย่างนั้น
ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น ในมุมมองของไป๋ชิวหรานและจื้อเซียน ต่างเห็นว่าท้องฟ้าทั้งหมดพลันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มีชิ้นส่วนกระจัดกระจายนับไม่ถ้วน
ชิ้นส่วนเหล่านั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ก่อนที่จะควบแน่นเข้าด้วยกันอีกครั้ง พร้อมกับภาพแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง
ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็หยุดนิ่ง เมืองที่เต็มไปด้วยวิหารสูงตระหง่านปรากฏขึ้นต่อหน้าทั้งสอง ธงปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่เหนือกำแพงเมือง ครั้นเห็นภาพนั้น จื้อเซียนก็ส่งเสียงร้องอุทานออกมาทันที
“นะ…นั่นคือหัวเมืองแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์! เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
ทันทีที่กล่าวจบ ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้งราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา จู่ ๆ หัวเมืองแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ฉายภาพย้อนเวลากลับไป จากหัวเมืองที่มีสถาปัตยกรรมอันวิจิตรตระการตา ย้อนกลับไปขณะที่ยังเป็นกองวัสดุก่อสร้าง จากนั้นก็ได้กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ท้ายที่สุดภาพเหล่านั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา!
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งสองยังแปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ บางครั้งเป็นภูเขาและแม่น้ำ บางครั้งเป็นพืชพรรณที่ผลิบานสะพรั่งก่อนจะเหี่ยวแห้งโรยรา
“ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
จื้อเซียนมองภาพตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความขมขื่น
“ท่านไป๋ นั่นไม่ใช่ห้วงมิติที่มีเวลากับสถานที่ที่แตกต่างกัน ระฆังของจักรพรรดิตะวันออกดูเหมือนจะเนรเทศเราสองคนให้ย้อนกลับไปยังอีกยุคสมัยหนึ่งของโลกใบนี้”
“ที่แท้ก็ไม่ใช่การบิดเบือนมิติ”
ไป๋ชิวหรานผ่อนลมหายใจออกด้วยความโล่งอก
“ไม่เลย มันอันตรายยิ่งกว่าการถูกเคลื่อนย้ายไปยังมิติอื่นเสียอีก”
น้ำเสียงของจื้อเซียนฟังดูเคร่งขรึมจริงจังกว่าทุกครั้ง
“เรื่องราวในประวัติศาสตร์ไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลง เรากำลังล่องอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดยาว ทว่าเป็นการย้อนทวนกระแสน้ำ จึงทำให้วิถีแห่งสวรรค์เข้ามาแทรกแซงได้โดยตรง และมันจะเสาะหาวิธีสังหารเราได้อย่างแน่นอน!”
“หืม… แล้วหากวิถีแห่งสวรรค์โจมตีเรา เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยรอบ พร้อมเอ่ยถามขึ้นทันที
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่หากมันอยู่บนแม่น้ำแห่งกาลเวลา… คาดเดาว่าอาจจะรวบรวมพลังของห้วงเวลามาจัดการกับเราได้ ระวังตัวให้ดี นั่นไม่ใช่สิ่งที่มีความสามารถครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่น ระฆังของจักรพรรดิตะวันออกหรอกนะ”
จื้อเซียนกำชับเตือน
“เช่นนั้นดูเหมือนว่ามันกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้แล้ว”
ไป๋ชิวหรานยกยิ้มมุมปากด้วยความขมขื่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า
จื้อเซียนถูกเขายกขึ้นให้หันไปในทางเดียวกัน เบื้องหน้าปรากฏภาพการบิดเบือนที่ไม่สม่ำเสมอและมีความโปร่งใส การบิดเบือนดังกล่าวแยกภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาดรอบกายออกจากกัน เกิดเป็นแถบแสงที่มีความยาวคดเคี้ยวคล้ายแม่น้ำ
ฉับพลันการบิดเบือนอันโปร่งใสนั้น กลับกลายเป็นบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตทว่าไร้รูปร่าง ฉุดดึงคลื่นยักษ์ออกมาจากแถบแสงดังกล่าวแล้วโถมเข้าหาทั้งสอง
เมื่อคลื่นยักษ์ในแม่น้ำที่ทอดยาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ จิตใจของไป๋ชิวหรานพลันเต้นเร็วแรงราวกับกลองที่ถูกตีกระหน่ำ!
คลื่นยักษ์รูปร่างบิดเบี้ยวนั้นไม่เพียงหยุดเวลาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังพยายามบิดเอาร่างกายของเขาให้แยกออกจากกันไปสู่ยุคสมัยต่าง ๆ
ความเจ็บปวดรวดร้าวจนน้ำตาเล็ดเกิดขึ้นกับร่างกายของไป๋ชิวหราน พลังนั้นไม่ต่างจากกระบวนการหยุดเวลาที่เจ้ายักษ์ส่งผ่านมายังระฆังจักรพรรดิตะวันออกก่อนหน้านี้ มันพุ่งเข้ากดขี่ทุกองค์ประกอบพื้นฐานที่ก่อรวมขึ้นเป็นกายหยาบ ทว่าแรงกดดันนี้หนักหนาสาหัสกว่าก่อนหน้าเสียอีก!
ไป๋ชิวหรานระเบิดพลังจนเกือบจะบรรลุผ่านระดับขั้นการฝึกตนไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงใช้ความแข็งแกร่งของตนเองโดยปราศจากพลังงานใด ๆ เพื่อพยายามแยกรอยร้าวออกจากกัน
ชายหนุ่มมองไปยังจื้อเซียน จึงพบว่าหัวกะโหลกถูกแช่แข็งไปตั้งแต่ตอนที่คลื่นยักษ์โถมเข้าใส่ และไม่มีใครทันดึงมันออกมา เป็นไปได้ว่าความคิดของเขาอาจหยุดลงในช่วงเวลานั้นตลอดไป
ขณะที่ไป๋ชิวหรานกำลังจะเรียกใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงออกมาให้มากขึ้น เพื่อดึงหัวกะโหลกจื้อเซียนออกมาจากการถูกแช่แข็ง แต่ทันทีที่เขาเรียกใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกาย ชายหนุ่มกลับสังเกตเห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
“หืม? นั่นคืออะไรกัน? สิ่งเจือปนงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานลืมตาขึ้น พบว่าภายในคฤหาสน์สีม่วงของเขา รวมถึงในห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งพลังวิญญาณที่แท้จริง ท่ามกลางความกดดันด้านเวลา จึงไม่ทันล่วงรู้ว่าเส้นใยแต่ละเส้นปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
เขาใช้สัมผัสเทวะสำรวจองค์ประกอบของสิ่งนี้ ทันใดนั้นสีหน้าและแววตาแห่งความปีติยินดีพลันปรากฏขึ้น!