ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 155 ยุคสมัยเผ่าเทพ
“อืม…”
ไป๋ชิวหรานชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนโพล่งถามขึ้น
“เจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเป็นช่วงเวลาใดของยุคเผ่าเทพ?”
“ให้ข้าดูรอบ ๆ หน่อย…”
จื้อเซียนมองดูดินแดนกว้างใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวต่อไป
“น่าจะเป็นช่วงเวลาใกล้กาลสิ้นสุดของยุคสมัยเผ่าเทพ ยุคที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีปกครอง… อย่ากังวลไปเลย แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย อย่างน้อยก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดซึ่งอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
“เจ้านี่ช่างมองโลกในแง่ดีเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“หมายความว่าตอนนี้คือช่วงท้ายของยุคสมัยของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี เขายังมีชีวิตอยู่และยังปกครองโลกอยู่ใช่หรือไม่?”
จื้อเซียนเหลือบมองอีกครั้งก่อนเอ่ยตอบ
“อืม ดูเหมือนว่าจักรพรรดิสวรรค์องค์สุดท้ายจะยังมีชีวิตอยู่”
“เช่นนั้นหมายความว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่ก่อกบฏน่ะซี”
ไป๋ชิวหรานกำหมัดแน่น พร้อมกล่าวออก
“ในเมื่อสวรรค์ริษยาคนแรกยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นการที่ข้ามเวลามายังยุคสมัยนี้ ข้าจะสามารถตามหาสวรรค์ริษยาคนแรก… และหากตามหาจนพบ จะรบกวนขอให้เขาสั่งสอนข้าถึงวิธีบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้สินะ?”
“หืม? ฟังดูเข้าทีไม่น้อย”
จื้อเซียนตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ
“ที่จริงแล้ว เป็นวิธีการดีที่สุดในเมื่อไม่สามารถล่วงรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสวรรค์ริษยาในยุคแรกได้ ข้าเองก็อยากรู้นักว่าผู้ใดกันคือคนแรกที่ครอบครองร่างกายสวรรค์ริษยา”
“ดี จากนั้นแผนการต่อไปก็จะได้รับคำตอบกันเสียที”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นสูงเพื่อชี้ขึ้นไปบนฟากฟ้า
“เราต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ไว้ ตามหาสวรรค์ริษยาคนแรก”
“การตั้งเป้าหมายเป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านไป๋…”
จื้อเซียนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความลังเล ก่อนเสนอแนะ
“ข้าคิดว่าสิ่งแรกที่เจ้าควรทำในตอนนี้ คือเสาะหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาสวมใส่ให้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคนี้จะไร้วิทยาการ ทว่าคงไม่ใช้ชีวิตโดยที่ร่างกายเปลือยเปล่าเป็นแน่”
…
ไป๋ชิวหรานไม่คาดคิดมาก่อน ว่าตนเองจะลงเอยด้วยการเปลือยร่างทั้งท่อนบนและท่อนล่างในการสำรวจสุสานเหล่าทวยเทพ!
โดยปกติแล้วเสื้อผ้าของเขาสามารถป้องกันปราณวิญญาณได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นจากเนื้อผ้าธรรมดาทั่วไป เริ่มด้อยกว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเสียแล้ว ต่อให้เสริมปราณวิญญาณเข้าไป แต่ก็ยังไม่สามารถทานทนต่อการทำลายล้างของพายุแห่งความว่างเปล่าได้
เสื้อผ้าราคาถูกที่พอสวมใส่อย่างเรียบง่ายอาจซื้อได้จากร้านค้าที่อยู่ด้านล่างของภูเขา เรื่องเงินย่อมไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ปัญหาคือความอับอายขายหน้ากว่าจะไปถึงสถานที่แห่งนั้น เพราะไป๋ชิวหรานไม่ได้นำเสื้อผ้าสำรองติดมาในถุงเก็บสมบัติด้วย
เดิมทีชายหนุ่มอยากจะนำมันติดมาด้วย เพราะไม่สามารถใช้เวททั่วไปของผู้ฝึกตนสำหรับกำจัดฝุ่นและคราบสกปรก ทว่าเป็นหลีจิ่นเหยาที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรื่องความสะอาดเสื้อผ้าของเขาแทน
ทว่าตอนนี้ไป๋ชิวหรานอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเป็นที่ยิ่ง ภายใต้การแนะนำของจื้อเซียน เขาจำเป็นต้องวิ่งเข้าไปในป่าเพื่อล่าสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะประหลาดสองตัวด้วยมือเปล่าราวคนเถื่อน ตัวหนึ่งคล้ายเสือดาว อีกตัวคล้ายหมี ก่อนจะลอกขนของพวกมันออกเพื่อนำมานุ่งแทน การตัดเย็บถูกทำขึ้นอย่างเรียบง่ายเพียงให้ช่วยปิดบังความอัปยศของตนเองได้ชั่วคราว
หากซูเซียงเสวี่ยอยู่ที่นี่สักคน คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดเย็บเสื้อคลุมขนสัตว์เช่นนี้ขึ้นด้วยทักษะพื้นฐานของสำนักเหอฮวน หรือเป็นแม่นางหลีก็ดี นางคงไม่รังเกียจที่จะเย็บเสื้อผ้าให้บรรพชนกระบี่ของนางไว้นุ่งห่ม… แต่ถ้าเป็นรั่วเวย แม่นางผู้นี้ถือกำเนิดขึ้นในราชวงศ์ นางจะทำงานฝีมืออันละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้หรือไม่?
เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามนับตั้งแต่เขาถูกส่งมายังยุคเผ่าเทพ ทว่าไป๋ชิวหรานเริ่มหวนคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เคยคุ้นขึ้นในใจ
“การที่เจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ช่างน่าขันเสียจริง หากข้ายังมีมือและเท้าล่ะก็… ต้องหาแผ่นหินมาจารึกรูปลักษณ์น่าขายหน้าของเจ้าเป็นแน่”
หัวกะโหลกจื้อเซียนถูกร้อยไว้ในสายคาดเส้นใหม่ ซึ่งจัดทำขึ้นโดยไป๋ชิวหรานด้วยเอ็นสัตว์ ก่อนจะแขวนไว้บริเวณบั้นเอว ขณะที่มันโยกเยกไปมาก็ไม่วายกล่าวติดตลก
“ข้าสังเกตว่าเจ้าช่างดูเฉลียวฉลาดยิ่งนักยามที่ขัดเกลายุทธภัณฑ์ แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องทำงานง่าย ๆ ด้วยสองมือเช่นนี้ กลับกลายเป็นคนหยาบกระด้างเสียอย่างนั้น”
“ข้าไม่เคยฝึกฝนการทำงานโดยปราศจากเวทมาก่อน นอกจากนี้ ตัวข้าไม่ใช่นักปราชญ์ ย่อมมีสิ่งที่ไม่ถนัดเป็นธรรมดา…”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“นับจากนี้ เจ้าควรพาข้าไปล่าสัตว์อสูรสักสองตัวที่สามารถใช้อวัยวะบางส่วนของมันเพื่อสร้างเป็นอาวุธ และปรับแต่งเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่”
ทั้งสองเดินหน้าเข้าไปในป่า ในยุคสมัยนี้ต่างไม่มีผู้ใดที่รู้ทาง ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงสุ่มเลือกทิศทางโดยการขว้างกิ่งไม้ส่งเดช…
หลังเดินต่อไปได้สักระยะหนึ่ง ไป๋ชิวหรานพลันได้กลิ่นแปลกประหลาด
“นี่มัน…”
ไป๋ชิวหรานสูดจมูกเพื่อดมกลิ่นอีกครั้ง ก่อนกล่าวออกด้วยความประหลาดใจ
“สุราหมักผลไม้?”
ในยุคสมัยนี้ แม้ว่าผู้ที่สามารถกลั่นสุราได้จะไม่ใช่คนของเผ่ามนุษย์ แต่อย่างน้อยย่อมต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาสูงส่งระดับหนึ่ง
หากได้ติดต่อสื่อสารกับพวกเขา ไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนอาจจะได้รับข้อมูลบางอย่าง แม้ว่าภูมิปัญญาของจื้อเซียนจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทว่ามันก็ไม่มีอำนาจเหนือทุกอย่าง ความรู้พื้นฐานบางอย่างยังคงต้องได้รับทราบผ่านการสื่อสาร
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ไป๋ชิวหรานไม่นึกหวาดกลัวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ายเกิดไม่พอใจขึ้นมา… อาจจะต้องพูดคุยกันด้วยกำปั้น
ขณะสืบเท้าเดินตามกลิ่นนี้ไป ชายหนุ่มก็เดินผ่านแนวป่าอย่างรวดเร็ว โจมตีสัตว์อสูรที่จ้องจะกินเขาไว้เบื้องหลัง ก่อนที่จะมาถึงบริเวณหน้าผา ข้างกันกับหน้าผาที่ยื่นออกมา มีพืชพรรณหนึ่งซึ่งเจริญเติบโตเต็มอายุขัย ต้นไม้ดังกล่าวไม่มีทั้งดอกหรือใบเช่นต้นไม้ทั่วไป ทว่ามีกระเปาะเป็นทรงคล้ายเหยือก ส่งกลิ่นหอมกำจายออกมา
“อะไรกัน เป็นเพียงต้นไม้เท่านั้นเองหรือ…”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจออกด้วยความผิดหวัง
“ต้นไม้อะไรกัน? ให้ข้าดูหน่อย!”
จื้อเซียนผู้อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกสิ่งอย่างโคลงหัวกะโหลกอย่างร้อนรน พร้อมตะโกนเรียก
ไป๋ชิวหรานอุ้มมันให้ลงไปเผชิญหน้ากับต้นไม้ จื้อเซียนสำรวจดูอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วอธิบายว่า
“โอ้ ต้นไม้นี้มีชื่อเรียกว่าต้นมธุรส ใบที่เป็นกระเปาะคล้ายถุงของลำต้นจะดูดซับปราณวิญญาณ แล้วผลิตสุราหมักอมตะที่อุดมไปด้วยพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นรสชาติหรือสี มันคือสุราหมักผลไม้ที่ดีที่สุด ครั้นดื่มเข้าไปแล้วแม้แต่มนุษย์ปุถุชนยังสามารถมีอายุขัยที่ยืนยาวได้ ในสวนของจักรพรรดิสวรรค์ได้เพาะปลูกมันไว้เป็นจำนวนมาก”
“ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สุราที่มนุษย์กลั่นขึ้น ต่อให้เลิศรสเพียงใดก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้า ข้าไม่ใช่หวงฝู่เฟิงเสียหน่อย”
ชายหนุ่มยังคงทอดถอนใจ
“แต่อย่างน้อยเจ้าสามารถดื่มสุราหมักชั้นดีที่จักรพรรดิแห่งเผ่าเทพใช้ดื่ม เพื่อดับความกระหายได้”
จื้อเซียนกล่าว
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเข้าไปใกล้ต้นมธุรสก่อนจะเปิดกระเปาะที่ห้อยอยู่บนลำต้นออก
กลิ่นหอมรุนแรงพุ่งกระทบจมูก ภายในกระเปาะดังกล่าวมีน้ำหวานที่ใสราวกับก้อนผลึกกลอกกลิ้งไปมาเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของไป๋ชิวหราน ได้กลิ่นแม้เพียงนิดก็ทำให้รู้สึกลิ้นพองเสียแล้ว
เมื่อเห็นสุราหมักชั้นดีที่ว่า อารมณ์ที่ไร้ซึ่งความสุขของไป๋ชิวหรานในตอนแรกเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อกระดกสุราชั้นดีภายในกระเปาะนั้น
เครื่องดื่มเลิศรสที่ไม่สัมผัสถูกปลายลิ้นของเขามาเป็นเวลานาน กระตุ้นทุกอณูบนลิ้นให้ตอบสนอง สุรารสหวานนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมที่อัดแน่น ทว่าเมื่อดื่มแล้วกลับไม่รู้สึกถึงรสฝาดหรือแห้งผากในลำคอแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ทันทีที่สุราหมักไหลผ่านลงคอ กลับทำให้รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่แผ่ซ่าน ก่อนที่ภายในร่างกายจะรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น พลิกลิ้นไปมา และอดไม่ได้ที่จะออกความเห็น
“สุราหมักชั้นดี!”
เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ และเริ่มรวบรวมกระเปาะทั้งหมดเพื่อนำสุราหมักซึ่งอยู่ภายในกระเปาะมาดื่ม
หลังเสร็จสิ้นธุระดังกล่าวแล้ว ทั้งสองจึงออกเดินทางตามถนนที่ทอดยาวต่อไป เดินตรงไปข้างหน้าโดยยึดเพียงเส้นทางเดียวต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม
ครั้นทั้งสองเดินทางมาถึงบริเวณริมแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ไป๋ชิวหรานพลันยกมือขึ้นปิดบังหน้าท้องของตนเองพร้อมร้องออกมาว่า
“ประเดี๋ยวก่อน มีบางอย่างเกิดขึ้น!”