ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 159 ลู่อู๋
บทที่ 159 ลู่อู๋
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋ชิวหรานที่กำลังนอนสบายอุราอยู่ในเปลญวนกลับถูกใครบางคนปลุกให้ตื่นขึ้น
ชายหนุ่มพลันลืมตาโพลง ก้มลงมองไปด้านล่างและพบว่าเจียงหลานกำลังเตะโคนต้นไม้ที่เขาผูกเปลญวนจนสั่นคลอน
ชายหนุ่มนอนอยู่บนยอดไม้หนาทึบที่โยงใยเข้าหากันสามต้น แต่กลับถูกเด็กสาวร่างเล็ก ๆ ที่สวมใส่รองเท้าแตะที่ทำขึ้นจากฟางเตะไม่ยั้งแรง
“ตื่นได้แล้ว”
เมื่อเห็นศีรษะของไป๋ชิวหรานยื่นออกมาพ้นจากยอดไม้ เจียงหลานจึงกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ลงมากินข้าว”
“อืม”
ไป๋ชิวหรานเหยียดร่างกายยืดยาวขับไล่ความเมื่อยล้า จากนั้นก็กระโดดลงจากเปลญวนที่ผูกอยู่เหนือพื้นดินประมาณสองถึงสามจั้งลงสู่พื้น
“นี่สำหรับเจ้า ใส่เสีย”
เจียงหลานยื่นรองเท้าแตะฟางยัดใส่มือของไป๋ชิวหราน ก่อนจะเดินเข้าไปในกระท่อมโดยไม่กล่าวคำใดอีก
ไป๋ชิวหรานรับรองเท้าแตะฟางมาถือไว้ด้วยความตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันเท้าเปล่าของตัวเองเข้าไปในรองเท้าแตะฟางพร้อมเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
รองเท้าแตะฟางคู่นี้มีขนาดพอดีกับฝ่าเท้าของเขา แม้ว่าเนื้อวัสดุจะค่อนข้างหยาบ ทว่าฝีมือการถักสานกลับดีมาก ทำให้สวมใส่สบายยิ่ง
ดูเหมือนว่าเจียงหลานจะไม่ใช่คนที่เพิกเฉยต่อทุกสิ่งอย่างดังเช่นอากัปกิริยาที่แสดงออก แต่กลับเป็นเด็กสาวที่เอาใจใส่ผู้อื่นไม่น้อย
ขณะเดินไปยังประตูกระท่อม ไป๋ชิวหรานก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์บางอย่างลอยโชยมา เขาเห็นเจียงหลานวางหม้อดินเผาที่ถูกความร้อนไหม้เกรียมไว้บนโต๊ะทรงเตี้ยภายในกระท่อม แล้วใช้ทัพพีไม้ตักน้ำซุปในหม้อลงในชามไม้ทั้งสอง
หลังเสร็จสิ้นงานตรงหน้าแล้ว นางจึงนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก ๆ ข้างโต๊ะ ก่อนชี้ไปที่ฝั่งตรงข้ามของนาง
“นั่งสิ”
นางหยิบชามไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ พร้อมเอ่ยคำสั้น ๆ
“กินเถอะ”
ชายหนุ่มเดินอ้อมไปนั่งม้านั่งอีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะหยิบชามไม้ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเจียงหลานเริ่มกินอาหารในชาม เขาจึงกินอาหารตรงหน้าบ้าง
บนโต๊ะอาหารไม่มีช้อนหรือส้อมแต่อย่างใด มีเพียงไม้เรียวยาวที่ถูกหักออกเป็นสองท่อนคล้ายกับตะเกียบ ไป๋ชิวหรานยกชามขึ้นซดน้ำซุป เครื่องปรุงภายในซุปนี้มีแต่เกลือที่บดหยาบ ๆ และสมุนไพรสักชนิดที่ให้กลิ่นหอมกำจาย ส่งให้รสชาติน้ำซุปมีความกลมกล่อมกว่าที่คาดคิดไว้
อย่างน้อยก็ยังมีตะเกียบให้ใช้
ไป๋ชิวหรานปลอบใจตัวเอง จากนั้นจึงเลียนแบบการกระทำของเจียงหลานเพื่อรับประทานอาหารมื้อเช้าที่ค่อนข้าง ‘หนักท้อง’ ชามนี้
ยุคสมัยนี้สตรีไม่มีสถานะเหมือนกับคนรุ่นหลังที่ต้องรักษาภาพลักษณ์อันสุภาพเรียบร้อย การอยู่รอดต่างหากที่นับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิต อาหารการกินของเจียงหลานจึงค่อนไปทางบุรุษเสียมากกว่า
แม้แต่ไป๋ชิวหรานที่เป็นชายแท้ ๆ ยังกลืนกินอาหารได้ช้ากว่านางเสียอีก!
บางทีอาจเป็นเพราะนางมีฐานะเป็นเทพเจ้า เจียงหลานจึงมีความอยากอาหารมากกว่าไป๋ชิวหรานที่กินน้ำซุปเพียงชามเดียว เพราะซุปในหม้อที่เหลือล้วนถูกนางบริโภคจนหมดเกลี้ยง หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เจียงหลานก็เด็ดเอาใบหญ้าบางชนิดออกมา ใช้มันเช็ดคราบน้ำมันออกจากริมฝีปาก แล้วรวบรวมภาชนะและตะเกียบใส่ลงในหม้อดิน ก่อนจะนำไปล้างทำความสะอาดที่แม่น้ำใกล้ ๆ
ไป๋ชิวหรานยังรอคอยอย่างสงบอยู่ในตัวบ้าน เมื่อเจียงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นและกลับมาพร้อมกับเครื่องครัวที่สะอาดเอี่ยม เจียงหลานจึงเอ่ยถามคำถามแรกของวันกับเขา
“เจ้าเหาะได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานตระหนักได้ทันทีว่าดวงจิตทั้งสามพลันกระโดดโลดเต้นโดยแรง ทว่าเขาวางใจว่าเด็กสาวร่างเล็กผู้นี้คงไม่มีเจตนาร้าย ดังนั้นจึงตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตน
“ข้าเหาะไม่ได้”
อันที่จริงแล้ว นับตั้งแต่หลุดเข้ามาในยุคสมัยนี้ในครั้งแรก ระหว่างทางก่อนที่จะมาพบกับเจียงหลาน ไป๋ชิวหรานผู้ที่สามารถครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายได้แล้ว เคยทดลองใช้กระบี่เพื่อทุ่นแรงในการเดินทาง กลับกลายเป็นว่าแม้จะมีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ในตัว แต่กระบี่อันธรรมดาสามัญกลับทนทานความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้!
เมื่อพลังแห่งขั้นวิญญาณแท้จริงหลั่งไหลเข้าสู่กระบี่ นับประสาอะไรกับมนุษย์ปุถุชนก็ยังแบกรับไว้ไม่ไหว แม้ว่าชายหนุ่มจะผ่อนคลายการโคจรพลังเล็กน้อยแล้วก็ตาม ทว่าใบกระบี่ก็ยังถูกย่อยสลายจนกลายเป็นอนุภาคพื้นฐานบางส่วน
จากการคาดเดาของจื้อเซียน เกรงว่าแม้แต่ในยุคสมัยของเซียนปฐพี ก็ไม่สามารถเฟ้นหากระบี่ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรองรับขั้นวิญญาณแท้จริงของไป๋ชิวหรานได้
หลังเพียรพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริง แม้ในคฤหาสน์ม่วงจะมีปริมาณน้อยนิดก็ตาม แต่ถึงกระนั้นไป๋ชิวหรานก็ยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างอิสระ นั่นนับเป็นข่าวร้ายอีกเรื่องหนึ่งสำหรับชายหนุ่ม
“จริงหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะเหาะไม่ได้”
บางทีการที่ไม่เหาะเหินเดินอากาศได้อาจไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดนักสำหรับเผ่าเทพ เจียงหลานจึงดูไม่ค่อยฉงนสนเท่ห์กับคำตอบของไป๋ชิวหรานนัก และนางก็กล่าวต่อว่า
“เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าเหาะขึ้นไป… แต่ควรเตรียมใจไว้ให้ดี เพราะข้าไม่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากเหล่าเทพบนสวรรค์ ดังนั้นอย่ากล่าวโทษหากเป็นต้นเหตุให้เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ย่อมได้ ข้าจะไม่กล่าวโทษเจ้าอย่างแน่นอน”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ
“เข้ามาใกล้ ๆ สิ”
ไป๋ชิวหรานขยับกายไปทางเจียงหลานเพียงเล็กน้อย และหยุดยืนห่างจากนางประมาณครึ่งจั้ง
เจียงหลานหันมองไปทางชายหนุ่ม ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าแขนเขาไว้ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างอดไม่ได้
“ขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นเทพประสาอะไรกัน? ถึงไม่เคยเรียนรู้หนทางการขึ้นสู่สวรรค์”
ไป๋ชิวหรานถูกคว้าแขนไว้มั่น ก่อนจะเดินโซเซแล้วเอนกายไปอยู่เคียงข้างเจียงหลาน จากนั้นเมฆหมอกพลันลอยขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของเด็กสาวร่างเล็ก ก่อนที่นางจะยกเท้าทั้งสองขึ้นเพื่อเหาะทะยานสู่ท้องฟ้า
เจียงหลานพาเขาลัดเลาะผ่านกลุ่มเมฆเหนือทางช้างเผือก ไปจนสุดขอบฟ้าที่มาบรรจบกันตรงทางช้างเผือกที่ไป๋ชิวหรานคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคย จนมาถึงแท่นหยกที่เป็นเสมือนทางขึ้นริมชายฝั่งตรงทางช้างเผือก สถานที่ที่แท่นหยกตั้งอยู่ ด้านบนมีบันไดหยกที่นำไปสู่ปราสาทสวรรค์โดยตรง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับสรวงสวรรค์ในตอนนี้ที่พังทลายลง หลังจากกาลเวลาผ่านไปหลายพันปีโดยไม่ทราบสาเหตุ สถานที่ที่อยู่เหนือโลกแห่งนี้กลับมีความเจริญรุ่งโรจน์มากกว่าหลายเท่า!
เรือลำเล็กนับไม่ถ้วนเคลื่อนเข้ามาจากทุกทิศทาง โดยมีเทพเจ้าหลายองค์ที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันยืนอยู่บนนั้นอย่างมั่นคง พวกเขาล้วนล่องนาวาขึ้นไปยังสวรรค์สู่บันไดหยกเพื่อเข้าเฝ้าสักการะประมุขสูงสุดแห่งยุคนี้ สถานที่แห่งนี้มีเพียงเหล่าเทพเจ้าที่สามารถดำรงอยู่อย่างหฤหรรษ์
เมื่อมาถึงที่นี่ ไป๋ชิวหรานก็ตระหนักได้โดยสัญชาตญาณ ว่าสถานะของเจียงหลานนั้นเลวร้ายเพียงใด เหล่าเทพเจ้าหลายองค์ที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสงบราบเรียบ พลันแปรเปลี่ยนโฉมหน้าต่างออกไปเมื่อพบเห็นเจียงหลาน อีกทั้งยังพยายามหลีกเลี่ยงหรือออกห่างเจียงหลานกับไป๋ชิวหรานโดยเร็ว บางคนถึงกับหันหัวเรือกลับจากบริเวณทางช้างเผือกไปยังทางที่พวกเขาจากมาทันที
แม้เผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เจียงหลานกลับไร้ท่าทีแยแส นางพาไป๋ชิวหรานเหาะเหินขึ้นบันไดหยกไปสู่ประตูของปราสาทสวรรค์
ปราสาทสวรรค์เบื้องหน้ารุ่งเรืองยิ่งนัก แตกต่างจากซากปรักหักพังที่ไป๋ชิวหรานเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะปราสาทสวรรค์ไม่ได้เป็นเพียงกำแพงที่ทรุดโทรมอีกต่อไป ทว่าเป็นเทือกเขาสูงตระหง่าน บริเวณยอดเขาราบเรียบ มีการจัดสร้างเมืองที่อลังการละลานตา ภายในพบว่ามีเทพเจ้าหลายองค์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
ตรงจัตุรัสด้านนอกปราสาทสวรรค์ เทพเจ้าองค์หนึ่งที่มีร่างกายใหญ่โตประหนึ่งขุนเขา ใบหน้าเป็นมนุษย์ ส่วนร่างกายเป็นเสือ กำลังหมอบราบอยู่ที่นั่น รับหน้าที่ปกป้องดูแลปราสาทสวรรค์
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า นี่เป็นสิ่งที่ตรงกันกับจื้อเซียนเคยกล่าวไว้ ประตูสวรรค์แห่งนี้เคยมีเทพเจ้าปกปักรักษาอยู่
เมื่อเห็นเจียงหลานเดินใกล้เข้ามา เทพเจ้ายักษ์จึงเงยหน้าขึ้น พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ทว่าก้องกัมปนาทราวเสียงฟ้าร้อง!
“เทพโรคระบาด เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่ได้? วันนี้ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งเรียกหาเจ้าเสียหน่อย”
“เทพลู่อู๋”
เจียงหลานก้าวไปข้างหน้า เงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่าย ก่อนแจ้งความประสงค์
“ข้านำเทพเจ้าองค์ใหม่มาถวายแด่ฝ่าบาท”
นางก้าวขยับไปด้านข้าง เพื่อให้ลู่อู๋เห็นไป๋ชิวหรานที่อยู่ข้างหลังนาง
“โอ้?”
หลังสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่พักหนึ่ง ลู่อู๋จึงเอ่ยถามด้วยเสียงอู้อี้
“เขามีพลังสูงส่งเยี่ยงเทพเจ้าอย่างแท้จริง พ่อหนุ่มน้อย เจ้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ใดหรือ?”
ไป๋ชิวหรานก้มศีรษะลงพร้อมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยกมือขึ้นแตะกล้ามแขนของตนเอง
“เรื่องนั้น… ข้าคิดว่าตัวข้ามีพละกำลังมหาศาลทีเดียว นับเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่?”