ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 160 ไป๋ชิวหรานเหินเวหาไม่ได้
บทที่ 160 ไป๋ชิวหรานเหินเวหาไม่ได้
“พละกำลังมหาศาลงั้นหรือ?”
น้ำเสียงของเทพลู่อู๋ฟังดูผิดหวังเล็กน้อย
“หมายความว่าเจ้าไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อื่นแล้วใช่หรือไม่… เช่นนั้น จงตามข้ามา แล้วแสดงให้เห็นหน่อยเถิดว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใดกัน”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองเจียงหลานเล็กน้อย เด็กสาวร่างเล็กได้แต่ตอบคำด้วยท่าทีเย็นชา
“ไปเถอะ เทพลู่อู๋ไม่เพียงมีหน้าที่บริหารจัดการเมืองหลวงใต้สรวงสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นหัวหน้าผู้ดูแลเก้าฝ่ายแห่งสวรรค์อีกด้วย เขาสามารถควบคุมดูแลทุกสิ่งในนามขององค์จักรพรรดิ”
“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ควรเรียกขานคำนำหน้าพระนามอันทรงเกียรติของฝ่าบาท”
ลู่อู๋หยัดกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างไม่เต็มใจนัก ร่างสูงโปร่งไร้เทียมทานของเขา ในตำนานเปรียบได้กับเสือดุร้ายถึงเก้าสิบเก้าตัว ขณะฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นกลับไม่ส่งเสียงใด
เทพเจ้ายักษ์หันหลังกลับก่อนเดินขึ้นไปยังบันไดหยกขาวที่อยู่ถัดจากประตูสวรรค์ หลังจากไป๋ชิวหรานละสายตาจากเจียงหลานแล้ว ชายหนุ่มจึงก้าวเดินติดตามรอยเท้าของลู่อู๋ไปยังสถานที่ใดสักแห่งบนสวรรค์
ตรงหน้าแท่นหินหนึ่งมีรูเว้าแหว่งอยู่ตรงกลาง หินขนาดยักษ์สีดำติดคาอยู่ภายในรูนั้น ลู่อู๋เดินมาถึงแท่นก่อนจะพยักพเยิดคางไปทางหินยักษ์ดังกล่าว
“เอาล่ะ เจ้าลองยกหินนั่นขึ้นซิ”
ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนเดินไปหยุดอยู่ข้างแท่นหินยักษ์ เอื้อมมือออกไปสัมผัสเพื่อตรวจสอบ ทันใดนั้นหินยักษ์พลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย ทว่ากลับไม่รู้สึกว่าหนักแต่อย่างใด
เมื่อลองคิดทบทวนย้อนกลับว่าร่างจำลองของจักรพรรดิสวรรค์มีความสูงแตกต่างจากร่างหลักอย่างน้อยหนึ่งร้อยจั้ง ดังนั้นหินยักษ์ก้อนนี้อาจเป็นเพียงแท่นหินสำหรับออกกำลังข้อนิ้วของเขาเท่านั้น ไป๋ชิวหรานคิดเช่นนั้นแล้วจึงยกหินยักษ์ก้อนนั้นจนลอยขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างง่ายดาย
“หืม? ความแข็งแกร่งของเจ้ามหาศาลจริงดังคำกล่าวอ้าง”
น้ำเสียงของลู่อู๋โอนอ่อนลงหนึ่งส่วน
“หินยักษ์ก้อนนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ภายใน น้ำหนักเทียบได้กับภูเขาสูงตระหง่าน เทพเจ้าทั่วไปไม่สามารถยกขึ้นได้ ทว่าข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าจะจัดการกับมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
ไป๋ชิวหรานตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขายังคงยืนอยู่โดยถือหินยักษ์ด้วยมือเพียงข้างเดียว ไม่รู้ว่าควรวางลงหรือถือไว้ต่อไปดี… ทำให้เกิดความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
ถึงอย่างนั้นลู่อู๋ก็เพิกเฉยต่ออารมณ์และการแสดงออกของชายหนุ่ม ก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ในเมื่อสามารถโยกย้ายภูเขาทั้งลูกได้โดยง่าย เช่นนั้นเรามาลองกันอีกครั้ง อยากรู้นักว่าเจ้าจะขว้างหินยักษ์ก้อนนี้ไปได้ไกลเพียงใด เอาล่ะ เห็นท้องฟ้าด้านนอกนั่นหรือไม่? โยนออกไปซะ”
ชายหนุ่มเหลือบมองดูแนวทางช้างเผือกที่สว่างไสวด้านนอก ทันใดนั้นกลับเกิดความลังเลใจ
“ดวงดาวข้างนอกนั่นล้วนเป็นแหล่งอาศัยของเทพเจ้า หากข้าเผลอโยนหินใส่พวกเขาเล่า?”
“หึ ทางช้างเผือกตรงหน้านั้นกว้างใหญ่เหนือจินตนาการมากนัก เจ้ามองเห็นว่าดวงดาวเหล่านั้นเป็นเพียงจุดแสงขนาดเล็กใกล้ราวสามารถไขว่คว้า ทว่าในความเป็นจริง มันอยู่ห่างจากเจ้าหลายพันลี้”
ลู่อู๋กล่าวกลั้วหัวเราะ
“หากวันนี้โยนออกไปจนกระทบเข้ากับเทพดารา ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงใคร เพราะข้านี่แหละจะตรงขึ้นไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ให้ทรงประทานยศแม่ทัพเทพระดับเก้าแก่เจ้า”
“ท่านเป็นผู้ออกปากเองนะ”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยย้ำอีกครั้ง ก่อนตั้งท่าจะโยนหินยักษ์ในมือ
“ข้ากล่าวแล้วไม่คืนคำ”
ลู่อู๋พยักหน้า
ไป๋ชิวหรานได้ยินเช่นนั้นจึงยกหินยักษ์ไปสุดแขน พร้อมเหวี่ยงขว้างออกไปทันที
ครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกใช้พลังวิญญาณจากภายในคฤหาสน์ม่วงแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้พลังกล้ามเนื้อที่อยู่ภายนอกร่างกายเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น หินยักษ์ก็ยังพุ่งทะยานผ่านอากาศด้วยความเร็วมหาศาล!
คลื่นจากแรงเคลื่อนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา มันแผ่ขยายออกไปสุดทาง แม้แต่ผู้ที่อยู่ใต้ผืนฟ้ายังมองเห็นวงแหวนสีขาวขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศ ตรงกลางวงแหวนสีขาวนั้นมีเส้นวิถีสีขาวโพลน พุ่งตรงข้ามท้องฟ้า เกิดประกายแสงกระจายระยิบระยับบนทางช้างเผือก
หลังจากนั้น ทันทีที่เกิดแรงกระแทกปะทะอย่างดุเดือด เสียงดุด่าว่ากล่าวจากเทพบนดวงดาวพลันดังขึ้นจากทางช้างเผือก
“โอ๊ย! นี่มันอะไรกันเนี่ย?!”
“เอวข้า! บั้นเอวข้าเคล็ดยอกไปหมดแล้ว!”
“อุกกาบาตจากแห่งหนใดกัน? เหตุใดถึงพุ่งเข้ามาไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง?! ข้าต้องไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสวรรค์เพื่อกราบทูลเรื่องนี้!”
“อีกาสามขา ระวัง! มันกำลังพุ่งไปทางเจ้าแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงแห่งความชุลมุนวุ่นวายที่ดังขึ้นจากทางช้างเผือก ลู่อู๋รีบก้าวถอยหลังพร้อมหันกลับไปมองไป๋ชิวหรานด้วยความยินดี พลางกล่าวว่า
“ประเสริฐ ประเสริฐ! เจ้ามากความสามารถอย่างแท้จริง ข้าผู้นี้กล่าวออกไปแล้วย่อมต้องรักษาคำพูด ดังนั้นข้าจะกลับไปถวายรายงานแก่องค์จักรพรรดิสวรรค์!”
“ขอบคุณแล้ว เทพลู่อู๋”
ชายหนุ่มโค้งคำนับให้กับลู่อู๋
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเวลานี้อย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าในยุคสมัยที่โลกถูกปกครองโดยเผ่าเทพ การแสวงหาฐานะปุโรหิตในเผ่าเทพอาจเป็นประโยชน์สำหรับเขา ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสวรรค์ริษยารุ่นแรก!
ส่วนความสัมพันธ์ที่เป็นปรปักษ์ระหว่างเผ่าเทพกับเผ่ามนุษย์ ไม่มีผู้ใดกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถเลื่อนขั้นจากมนุษย์วัยยี่สิบห้าปีธรรมดาสู่การเป็นเทพเจ้าได้
เทพลู่อู๋ยังคงยกย่องไป๋ชิวหรานต่อไปอีกพักใหญ่ ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ จู่ ๆ ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนได้เคลื่อนออกจากแนวโคจรปกติแล้วเหาะตรงมาทางนี้ ระหว่างที่กำลังเคลื่อนที่ พวกมันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนกลายเป็นภาพลวงตา กลายเป็นเทพเจ้าที่มีรูปร่างหน้าตาและความสูงแตกต่างกัน กรูเข้ามาล้อมรอบแท่นหินยักษ์แห่งนี้
“เจ้าสารเลวตนใดกันที่บังอาจขว้างหินมาทางนี้?!”
ขณะเปล่งเสียงตวาดลั่น พวกเขาก้มมองลงไปที่แท่นหิน พบเพียงไป๋ชิวหรานและเทพลู่อู๋ที่ยืนอยู่บนแท่นหิน
“ท่านเทพลู่อู๋?”
ทันทีที่พวกเขาเห็นลู่อู๋ เทพเจ้าประจำดวงดาวเหล่านี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยถาม
“ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุใด? แล้วคนผู้นี้คือ…”
“ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักโดยทั่วกัน นี่คือเทพเจ้าองค์ใหม่”
ลู่อู๋กางกรงเล็บออกพลางหันไปผลักไป๋ชิวหรานเบา ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไปข้างหน้าประมาณสองสามก้าว พร้อมโค้งคำนับเหล่าเทพเจ้าที่อยู่รายรอบ
“สวัสดีท่านเทพทุกองค์ ข้า… ไป๋ชิวหราน”
“พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นไร้เทียมทานยิ่ง”
ลู่อู๋กล่าวอย่างชื่นชม
“เมื่อครู่นี้ก้อนหินยักษ์ถูกขว้างออกไปเพราะข้าเป็นผู้ร้องขอให้เขาทดสอบพลังของตนให้ประจักษ์ หากทำสำเร็จจะถวายรายงานให้เขารับตำแหน่งเป็นแม่ทัพเทพระดับเก้า… ทุกท่านโปรดพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่?”
เหล่าเทพเจ้าต่างหันมองหน้ากันอย่างนึกประหลาดใจไม่น้อย ก่อนที่จะพยักหน้าพร้อมกล่าว
“เหมาะสมยิ่งนัก”
หลังจากนั้น ราวกับว่าหลงลืมความไม่พอใจทั้งมวลก่อนหน้าไปเสียสนิท ทุกคนต่างยกย่องไป๋ชิวหรานกับเทพลู่อู๋ตามลำดับ ยกย่องในความทรงพลังและแนวโน้มความก้าวหน้าในอนาคตของไป๋ชิวหราน ทั้งยังยกย่องวิสัยทัศน์ของลู่อู๋ที่สามารถเฟ้นหาบริวารผู้ทรงพลังสำหรับรับใช้จักรพรรดิสวรรค์
ลู่อู๋รับคำสรรเสริญและรับหน้าเหล่าเทพเจ้าอย่างช่ำชองเป็นเวลานาน หลังจากพูดคุยถามไถ่ต่อไปอีกเพียงสองสามประโยค ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้เทพเจ้าเหล่านี้จากไป
จากนั้นจึงหันหน้ากลับไปถามชื่อแซ่ของไป๋ชิวหรานอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า
“เอาล่ะ ระหว่างนี้เจ้าควรกลับไปเสียก่อน ข้าจะเขียนสาส์นถวายรายงาน อาจต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันกว่าที่พระองค์จะทรงอนุญาต เวลานี้เจ้าทำได้เพียงกลับลงไปยังพื้นดินและอดทนรอ… ต้องขออภัยด้วย”
ลู่อู๋ขอให้ชายหนุ่มกลับไปก่อน เขาก้าวเดินไปบนกลุ่มเมฆก่อนจะเหาะทะยานไปยังปราสาทสวรรค์ที่ตั้งอยู่สูงขึ้นไป ราวกับจะสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้เสร็จสิ้น
ไป๋ชิวหรานปฏิบัติตามคำกำชับของเขา กลับลงมายังบันไดหยกขาว สู่จัตุรัสหยกขาวที่อยู่เบื้องหน้าสรวงสวรรค์ดังเช่นครั้งแรกที่มาถึง
เมื่อกวาดสายตามองบริเวณใกล้เคียงกับประตูสวรรค์จนทั่ว ไป๋ชิวหรานกลับไม่พบเจียงหลานแม้แต่เงา
“กลับไปแล้วงั้นหรือ?”
อารมณ์ไป๋ชิวหรานสลดลงเล็กน้อย แม้ว่าเด็กสาวร่างเล็กจะคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี ทั้งยังอาสาส่งขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อแนะนำให้รู้จักกับลู่อู๋ จนได้รับการยกย่อง รวมถึงได้รับตำแหน่งอันชอบธรรม แต่ว่า…
“ถึงอย่างไรข้าก็เหินเวหาไม่ได้เสียหน่อย…”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจขณะเดินลงไปตามบันไดหยกสู่ทางช้างเผือกที่อยู่เบื้องล่าง แม้ว่าวิถีสวรรค์จะสร้างแรงกระตุ้นให้ร่างกายได้รับขั้นวิญญาณแท้จริง ทว่ามีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น น้อยไปสำหรับการจะเหาะเหินเดินอากาศด้วยตนเอง และมากเกินกว่าจะใช้กระบี่บิน…
ตอนนี้ไม่มีกระบี่ใดในโลกที่สามารถรองรับขั้นวิญญาณแท้จริงของเขาได้ ดังนั้นต่อให้จะมีขั้นวิญญาณแท้จริงในครอบครองก็ตาม ถึงอย่างไรข้อบกพร่องในปัจจุบันของไป๋ชิวหรานก็ยังไม่อาจแก้ไขได้
“กระโดดลงไปเลยดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ริมทางช้างเผือก เหยียดปลายเท้าข้างหนึ่งออกไปยืนเขย่ง
“แล้วหากดิ่งลงไปร่างจะตกกระแทกพื้นหรือไม่…”
“เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาพลันดังขึ้นจากด้านหลัง
“ข้ากำลังคิดหาทางว่าจะบรรเทาผลกระทบจากการดิ่งพสุธาลงกระแทกพื้นอย่างไรดี… อ๊ะ… อะไรนะ?”
ไป๋ชิวหรานรีบหันขวับทันที ก่อนจะพบว่าเจียงหลานก้าวมายืนอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมาว่า
“ยังไม่กลับหรอกหรือ? ข้านึกว่าเจ้ากลับลงไปแล้วเสียอีก”