ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 162 สรีระเซียน
บทที่ 162 สรีระเซียน
“นี่ พ่อหนุ่ม”
ไป๋ชิวหรานเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังชายคนนั้น พร้อมเอ่ยถามว่า
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?”
“เฮ้ย!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของไป๋ชิวหราน ชายผู้นั้นพลันเกิดอาการตะลึงเพริด เขารีบกระโดดขึ้นจากพื้นหินริมตลิ่ง ก้าวลงถอยไปในแม่น้ำ ก่อนจะหันหลังกลับพลางตั้งท่าป้องกันตัว
“เจ้าเป็นใครกัน?!”
“อย่าได้หวาดกลัวไปเลย”
ไป๋ชิวหรานโบกมือไปมา
“ข้าเป็นมนุษย์”
“ที่แท้เจ้าก็เป็นมนุษย์นี่เอง…”
เมื่อเด็กหนุ่มพินิจดูรูปร่างหน้าตาของไป๋ชิวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว จึงถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก เขารีบปีนขึ้นจากแม่น้ำโดยใช้มือและเท้าช่วยพยุงตัว ไม่ลืมตรวจดูว่ามีสัตว์อสูรตัวใดกัดเท้าของเขาหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยถามไป๋ชิวหราน
“ข้าไม่เคยพบเจอหน้าเจ้ามาก่อนและไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แล้วเจ้ามาจากเผ่ามนุษย์แห่งใดกัน?”
ไป๋ชิวหรานยังไม่รู้แน่ชัดว่าในโลกนี้มีเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่ที่อื่นอีกหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้ามาจากนอกเขตแดน ตอนนี้อาศัยอยู่บนภูเขาไม่ไกลจากที่นี่ โอ้ อย่ากล่าวถึงเรื่องของข้าเลย เดิมทีคิดว่าเจ้าคงมาที่นี่เพื่อจับปลา ทว่าเหตุใดถึงเอาแต่เหม่อมองไปที่แม่น้ำเล่า… กำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”
“อ๊ะ! ฮ่า ๆๆ”
เมื่อถูกไป๋ชิวหรานจับสังเกตเรื่องการจับปลาของตน จึงเกิดความกระดากอายขึ้นมาเล็กน้อย เขายกมือขึ้นแตะลูบท้ายทอยพลางตอบกลับ
“ที่จริงแล้ว ข้ากำลังครุ่นคิดว่าคนในเผ่ามนุษย์อย่างเรา ๆ จะสามารถทวีความแข็งแกร่งมากกว่าที่เป็นอยู่ได้หรือไม่”
“หืม?”
ไป๋ชิวหรานชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามกลับด้วยความสนใจ
“ความคิดของเจ้าช่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ลองมานั่งสนทนากันดีหรือไม่?”
“ครั้งหนึ่งเคยมีเทพองค์หนึ่งซึ่งไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนาม ได้ชี้แนะวิธีการเรียกใช้พลังปราณภายในร่างกาย กล่าวว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ‘ลมปราณ’ ตอนนี้เผ่ามนุษย์จึงอาศัยพลังปราณดังกล่าวในการเอาชีวิตรอดจากโลกภัยรอบกายที่อันตรายยิ่ง และสามารถป้องกันตัวจากเผ่าเทพ”
ชายผู้นั้นยื่นมือออกมาตรงหน้า แสงสีขาวสว่างเลือนรางพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ แท้จริงแล้วเขาเป็นเผ่ามนุษย์ที่บรรลุระดับสูงสุดของขั้นกลั่นลมปราณ
“ทว่าหลังจากที่พลังปราณนี้พัฒนาไปจนถึงขั้นหนึ่ง มันกลับหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ว่างในร่างกายเพื่อฝึกฝนเพิ่มเติมอีก ข้าถึงได้ครุ่นคิดว่าหากสามารถทำให้พลังปราณที่มีแข็งแกร่งยิ่งขึ้น… เช่นนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้ และหากแข็งแกร่งขึ้นจริง ถึงวันนั้นเราคงล่าสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นด้วยมือเปล่า และรุกคืบขึ้นไปถึงภูเขาสูง ออกไปจากดินแดนรกร้างแห่งนี้”
“ความคิดของเจ้าเป็นความคิดที่ประเสริฐยิ่งนัก”
ไป๋ชิวหรานกล่าวชื่นชม
“แหะ ๆ ข้าเพียงครุ่นคิดเพ้อฝันเท่านั้น ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีหนทางอื่นหรือไม่”
ฝ่านั้นเผยรอยยิ้มเขินอาย ก่อนจะคว้าแหที่วางอยู่ข้างตัวมาตั้งแต่แรก
“วันนี้ยังไม่ได้ปลาสักตัวกลับไปทำอาหารเลย ต้องรีบเร่งหน่อย พี่ชาย หากไม่มีธุระอื่นใดแล้วท่านควรกลับบ้านโดยเร็ว แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีเทพเจ้าคอยเฝ้าระวังอยู่ แต่ในยามกลางคืนเหล่าสัตว์ร้ายยังจ้องจะโจมตีมนุษย์เช่นพวกเราดังเดิม”
“อย่ารีบร้อนไป ข้าจะช่วยเจ้าจับปลาเอง”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปคว้าแหจับปลาในมืออีกฝ่าย ก่อนจะชวนสนทนาต่อไป
“กล่าวถึงประเด็นที่เจ้าเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ต่อเถอะ เพราะข้าพอจะล่วงรู้วิธีทำให้ ‘ลมปราณ’ ในร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอยู่บ้าง”
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็หว่านแหลงไปในแม่น้ำด้วยท่าทางราวกับไม่ตั้งใจมากนัก ก่อนที่จะสาวดึงขึ้นมาจากน้ำ โดยที่ในแหเต็มไปด้วยปลาสีขาวตัวอวบอ้วน!
ชายเจ้าของแหจับปลาที่ไป๋ชิวหรานลงมือหว่านลงน้ำไปได้ยินเช่นนั้น จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“ว่าอย่างไรนะ?! พี่ชาย เจ้ารู้วิธีจริงงั้นหรือ? เช่นนั้น ท่านสามารถ…”
“ด้วยความยินดี”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อไป
“วิธีการที่จะทำให้ลมปราณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น คือ…”
เขาเพียงต้องการเปิดเผยหนึ่งในเคล็ดวิชาลับสำหรับการฝึกตนอันน่าตื่นตาตื่นใจให้อีกฝ่ายได้ประจักษ์ ทว่าทันใดนั้นเอง แรงกดดันอันคุ้นเคยของการถูกแทรกแซงพลันกลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มถูกกีดกันจากเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อีกครั้งจากวิถีแห่งสวรรค์!
“ข้าไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก”
จื้อเซียนกล่าว
“วิถีแห่งสวรรค์ไม่อนุญาตให้เราเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ หากเจ้าชี้แนะแก่เขาโดยตรง นับจากนี้อาจไม่มีจักรพรรดิเซียนหรือบรรพชนเซียนเกิดขึ้น”
การกีดกันดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงครู่และดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ไป๋ชิวหรานก็กลับมาจดจ่ออยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า
“บัดซบ ช่างใจแคบเสียจริง”
เขาขมวดคิ้วมุ่น
“พี่ชาย เหตุใดถึงหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ เล่า?”
ชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบ ทว่าช่วงจังหวะนั้นเขากลับเห็นว่าไป๋ชิวหรานเหม่อลอยอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ก่อนจะหลุดคำสาปแช่งออกมา ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“ข้าทำสิ่งใดให้ท่านขุ่นเคืองอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเปล่าสาปแช่งเจ้า”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนกล่าวต่อไป
“เอาล่ะ เจ้าหันไปมองในแม่น้ำนั้นซิ”
ชายผู้นั้นมีอุปนิสัยซื่อสัตย์ ไป๋ชิวหรานสั่งให้จ้องมอง เขาก็ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดของตนเพื่อจับจ้องไปยังแม่น้ำตรงหน้า
ทว่าอีกด้านหนึ่ง ไป๋ชิวหรานลอบพลิกฝ่ามือให้เผยอออกเล็กน้อย ก่อนจะดึงผนึกน้ำแข็งให้เคลื่อนเข้าหากัน ควบแน่นกลายเป็นไอน้ำในอากาศ และก่อตัวเป็นหมอกหนาทึบเหนือผิวน้ำ
“โอ้! โอ้! มีหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำแล้วพี่ชาย!”
อีกฝ่ายร้องอุทานลั่น
“เป็นอย่างไรบ้าง? หมอกที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำดูเหมือนพลังปราณที่แท้จริงในร่างกายของมนุษย์หรือไม่?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับรัวหลายหน ไป๋ชิวหรานจึงอธิบายต่อไป
“หันกลับไปมองอีกครั้ง คราวนี้จงตั้งสมาธิให้ดี”
ครั้งนี้ไป๋ชิวหรานทวีผลลัพธ์ของผนึกแช่แข็งขึ้นอีก ทำให้ละอองไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำควบแน่นเข้าด้วยกันจนแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำ และหยดลงในแม่น้ำเบื้องล่าง
ดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้างทันที หลังจากนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ชาย ข้าเข้าใจแล้ว!”
ขณะเดียวกันนั้นเอง ไป๋ชิวหรานที่ยืนอยู่ข้างกายพลันรู้สึกว่าพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างกายของชายคนนี้ควบแน่นขึ้น หลังจากนั้นก็ได้กลายเป็นกระแสหนาทึบของขั้นวิญญาณแท้จริงที่ไหลเวียนไปมาอยู่ท่ามกลางแขนขา รวมถึงโครงกระดูกหลายร้อยชิ้น!
สีหน้าและท่าทางของไป๋ชิวหรานแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างอย่างฉับพลัน
“หืม? กลายเป็นว่าหนุ่มน้อยผู้นี้ครอบครองสรีระเซียนเสียอย่างนั้น!”
จื้อเซียนอุทานด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“ข้าไม่คาดหวังเลยว่าชีวิตนี้จะได้พบเห็นสรีระอันพิเศษทั้งสาม ทั้งสรีระปีศาจ สรีระเซียน และสวรรค์ริษยาอย่างครบถ้วน… เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเหลือเกินที่คิดติดตามเจ้ามาในวันนั้น”
ความรวดเร็วในการฝึกตนของชายผู้นี้คืบหน้าเร็วทีเดียว เนื่องจากสรีระอันมีลักษณะพิเศษ รวมถึงพลังทางจิตวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์ของยุคสมัยนี้ ทำให้การบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานของเขาค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
หลังจากบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว ชายคนนั้นพยายามเรียกใช้ขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกาย ก่อนจะส่งแรงจากฝ่ามือไปยังต้นไม้ยักษ์ที่ตั้งอยู่ถัดไป
เพียงชั่วพริบตา โพรงรูปฝ่ามือพลันปรากฏขึ้นกึ่งกลางต้นไม้ยักษ์ดังกล่าว กระทั่งสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของต้นไม้ยักษ์ผ่านโพรงนั้นอีกด้วย!
“พี่ชาย! ไม่สิ ข้าควรเรียกว่าท่านอาวุโสถึงจะเหมาะสม!”
ฝ่ายนั้นร้องอุทานด้วยความประหลาดใจระคนยินดี
“ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
“ใช่ เจ้าทำสำเร็จ”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มตอบอย่างใจดี ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่อีกฝ่ายอีกครั้ง ถึงกระนั้นความคิดอันดำมืดยังคงผุดขึ้นในใจโดยที่ไม่อาจระงับ
ด้วยความตั้งใจจริงในการเรียนรู้ เพียงออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถบรรลุได้แล้ว…
ไป๋ชิวหรานกลับมารู้สึกตัวจึงสั่นศีรษะอย่างแรง เขาตระหนักว่าก่อนหน้านี้อาจคุ้นเคย แต่การอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนฝ่ายมารเช่นซูเซียงเสวี่ยกับหลีจิ่นเหยามานานเกินไป ทำให้ได้รับอิทธิพลทางความคิดเฉกเช่นฝ่ายมารมาด้วย
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงหันมองไปที่ชายคนนั้นอีกครั้ง พบว่าเขากำลังหอบอุ้มแหที่เต็มไปด้วยปลาสีขาวตัวใหญ่อวบอ้วน พร้อมส่งยิ้มให้
“ท่านอาวุโส ข้าจะบอกกล่าวข่าวดีนี้ให้ทุกคนในหมู่บ้านได้รับรู้โดยทั่วกัน พวกเรามีความหวังใหม่เกิดขึ้นแล้ว!”
“รีบไป รีบไปเถิด”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ
“อีกอย่าง อย่าเรียกขานข้าว่าท่านอาวุโสเลย ข้าไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก”
“เช่นนั้นจะให้ข้าเรียกขานว่าอย่างไร?”
“นี่…”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“หากเจ้าไม่นึกรังเกียจ จะเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ย่อมได้”