ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 163 ลี่
บทที่ 163 ลี่
“ท่านอาจารย์”
เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปยืนบนก้อนหินอีกครั้ง
“ได้ขอรับ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถามเพิ่มเติม
“ดังนั้นตอนนี้นับว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว เช่นนั้นมีชื่อแซ่หรือไม่?”
“ข้าไม่มีชื่อแซ่ อันที่จริงแล้วควรมี ทว่าพ่อกับแม่ตายตกไปแล้ว เผ่าเทพจึงพรากชื่อแซ่ไปจากข้า”
อีกฝ่ายกล่าวพึมพำ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดที”
ชายคนนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้รับทราบ ไป๋ชิวหรานจึงตระหนักว่าพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของเหล่าทวยเทพ
ส่วนเหตุผลของการถูกสังหารนั้นสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดาย เทพเจ้าปกป้องเผ่ามนุษย์จริง ทว่าได้มีการกำหนดกฎการสักการบูชาอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับเผ่ามนุษย์ด้วย พ่อกับแม่ของเขาล้มเหลวในการทำพิธีสักการบูชาเทพเจ้าที่ศรัทธาเนื่องมาจากอุบัติเหตุ ดังนั้นเทพเจ้าจึงพรากชีวิตพวกเขาไป ทั้งยังพรากชื่อแซ่ของชายผู้นี้ไปด้วย
“ถึงกระนั้นทุกคนในหมู่บ้านก็ยังปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี”
ชายคนนั้นกล่าวกลั้วหัวเราะ
“ถึงแม้จะไร้ชื่อแซ่ แต่ในหมู่บ้านมีข้าเพียงคนเดียวที่ไม่มีชื่อ เมื่อทุกคนเรียกว่า ‘สวัสดี’ ข้าเข้าใจทันทีว่าพวกเขากำลังเรียกขาน”
ไป๋ชิวหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีพอสมควร แต่เมื่อพิจารณาธรรมเนียมปฏิบัติในการบูชาเทพเจ้าของยุคนี้ เผ่ามนุษย์ในหมู่บ้านแห่งนั้นกลับไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อลูกชายของบุคคลที่ละเมิดกฎการบูชาแต่อย่างใด
คงเป็นเพราะในยุคนี้ แรงงานคนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่รับประกันถึงความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงยอมรับผู้เยาว์คนนั้นแม้ว่าจะเป็นเด็กกำพร้า แทนที่จะขับไล่ออกไปจากหมู่บ้าน หรือทอดทิ้งให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเองเพียงลำพัง
“ถึงเรื่องราวเป็นมาเช่นนั้น แต่ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้า… ก็ไม่อาจอยู่โดยไร้ชื่อแซ่”
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยขึ้น
“เหตุใดไม่ให้ข้าเป็นผู้ตั้งชื่อให้เจ้าเสียเล่า?”
“เอ่อ…”
สีหน้าของชายคนนั้นเผยความลังเลใจ ไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายเองก็ต้องการมีชื่อ แต่กลับบอกกล่าวบางสิ่งเพิ่มเติม
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะตั้งชื่อใดให้ ทว่าข้าจำเป็นต้องรายงานเรื่องชื่อแซ่ใหม่ให้เหล่าเทพเจ้ารับทราบผ่านผู้นำเผ่าพันธุ์ในหมู่บ้าน และจะต้องได้รับการอนุมัติจากพวกเขาเสียก่อน”
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าลองคิดหาชื่อให้กับเจ้าก่อน”
ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมโบกมือ
“ชื่อที่ว่านี้เป็นชื่อเฉพาะที่ข้าเรียกขานเจ้าเท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้ หากชื่นชอบพอใจชื่อที่ข้าตั้งให้ สามารถบอกกล่าวกับผู้นำเผ่าพันธุ์ และให้เขารับหน้าที่แจ้งชื่อใหม่นี้ให้”
“เช่นนั้น… ก็ได้ขอรับ”
อีกฝ่ายยังเอ่ยถามต่อไปด้วยความกระตือรือร้น
“ท่านอาจารย์จะตั้งชื่อใดให้ข้าหรือ?”
“อืม ขอคิดดูก่อน…”
เขาพอได้ยินมาจากปากของหนุ่มสาวภายในหมู่บ้านบ้าง ว่าเนื่องจากจำนวนประชากรที่เบาบาง คนส่วนใหญ่ในยุคนี้จึงมีชื่อเป็นตัวอักขระเดียว และไม่มีการตั้งแซ่ของตระกูลแต่อย่างใด
ดวงตาไป๋ชิวหรานกลอกมองไปรอบ ๆ ขณะที่ครุ่นคิดการตั้งชื่อใหม่ให้กับชายตรงหน้า
ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ มหาสมุทร ล้วนไม่เหมาะสม หรือแผ่นดินก็ฟังดูอ่อนเยาว์เกินไป
ขณะครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาของไป๋ชิวหรานพลันกวาดมองผ่านที่ตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ไป ทันใดนั้นเห็นว่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งที่นำโดยคนที่มีลักษณะเป็นผู้นำ ได้จูงปศุสัตว์ตัวหนึ่งที่มีรูปร่างอ้วนจ้ำม่ำคล้ายจามรี มาเป็นเครื่องสักการบูชาแด่เทพเจ้า
พวกเขาต่างคุกเข่าลงกับพื้น สวดบูชาอย่างไม่หยุดหย่อน ริมฝีปากขมุบขมิบราวพึมพำบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
ไป๋ชิวหรานพลันเลิกคิ้วขึ้นทันที ทันใดนั้นหันศีรษะกลับไปทางเด็กหนุ่มพร้อมกล่าว
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ข้าจะเรียกขานเจ้าว่า ‘ลี่’ ”
“หืม ‘ลี่’ งั้นหรือ?”
อีกฝ่ายถามย้อนด้วยความประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์ ‘ลี่’ หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ ‘ลี่’ หมายถึงการยืนหยัด”
ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปขีดเขียนตัวอักขระลงบนพื้นดิน
“ส่วนเหตุผลที่ตั้งชื่อนี้ให้ ข้าจะบอกให้เจ้าเข้าใจในภายหลัง”
“ได้ขอรับ!”
เด็กหนุ่มรู้สึกยินดีเป็นที่ยิ่ง
“ในที่สุดข้าก็มีชื่อแล้ว!”
“นับจากวันนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ลี่’ แล้วกัน”
ไป๋ชิวหรานกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังหมู่บ้าน”
ชายคนนั้นที่ยามนี้ควรเรียกขานว่า ‘ลี่’ พยักหน้า ก่อนยกแหที่มีปลาตัวอวบอ้วนสีขาวอยู่เต็มแน่นขึ้นมา แล้วเดินย้อนกลับไปยังหมู่บ้านพร้อมกับไป๋ชิวหราน
เห็นได้ชัดว่าผู้เฝ้ายามหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านรู้จักลี่เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ขวางทางเขาไว้ แม้ว่าจะเห็นไป๋ชิวหรานที่เป็นคนแปลกหน้าติดตามเข้ามาด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยก็ตาม
ถิ่นอาศัยทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงไม้ที่หันปลายแหลมคมขึ้นฟ้า เพื่อป้องกันสัตว์ป่าดุร้ายในดินแดนรกร้าง ส่วนที่พักของลี่อาศัยอยู่บริเวณชายขอบของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับกำแพงไม้ดังกล่าวมาก นับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความอันตรายสูงสุดของหมู่บ้าน
“เวลากลางคืน ข้าต้องคอยถือหอกแนบกายไว้ตลอดเวลา”
ลี่เผยรอยยิ้มขณะอธิบายระหว่างเดิน
“มิฉะนั้นอาจมีสัตว์ป่าบุกเข้ามาขณะที่ผล็อยหลับไป โชคดีที่ในบางครั้งข้าสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากการล่าได้มากกว่าผู้อื่น”
“แสดงว่าเจ้าตั้งรับได้ดีทีเดียว”
ชายหนุ่มกล่าวชมเชย
ขณะที่กำลังเดินอยู่ ขณะนั้นเองก็เห็นกลุ่มคนที่เข้าล้อมวงกันบริเวณลานโล่งด้านข้าง ผู้นำเผ่ามนุษย์ยืนอยู่กลางฝูงชน ถือไม้เท้าที่ทำขึ้นจากกระดูกสัตว์คดเคี้ยวและไม้ ทำพิธีศักดิ์สิทธิ์สวดบูชาเทพเจ้าบางองค์
“นั่นพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?”
ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักฝีเท้า พร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นอย่างที่ท่านเห็น”
ลี่หยุดเดินตามเขา พร้อมอธิบาย
“คนผู้นั้นคือนักเวทในหมู่บ้านที่ทำพิธีขับไล่เทพโรคระบาดออกไปจากบริเวณแห่งนี้ เพราะเมื่อผู้คนในหมู่บ้านล้มป่วย อาจเป็นผลมาจากการทำงานของเทพโรคระบาด ด้วยเหตุนี้หากสามารถขับไล่เทพโรคระบาดออกไปได้แล้ว ผู้คนในหมู่บ้านจะมีอาการดีขึ้น”
“เทพโรคระบาดก็เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งมิใช่หรอกหรือ?”
ไป๋ชิวหรานหวนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่นางขู่เตือนเทพเจ้าอีกองค์หนึ่ง ในวันที่ได้พบกับเจียงหลานเป็นครั้งแรก เห็นได้ชัดว่านางดูทรงอำนาจยิ่งกว่าเทพเจ้าองค์นั้นเสียอีก
“ในเมื่อพวกเจ้ากล้าขับไล่นางออกไป แล้วไม่กลัวว่านางจะกลับมาแก้แค้นหรือ?”
“เรื่องนั้น ข้าเองก็ไม่อาจล่วงรู้เช่นกัน”
ลี่ตอบกลับด้วยความสับสนเล็กน้อย
“ทว่ากฎเกณฑ์ทั้งหมดถูกกำหนดขึ้นโดยเทพเจ้า เทพโรคระบาดถูกเราขับไล่ ทว่าหลังจากนั้นอาจจะมีเทพเจ้าองค์อื่นจะลงมาขับไล่นางอีกทีหนึ่งกระมัง?”
ไป๋ชิวหรานจำได้ว่าตอนที่ตามเจียงหลานขึ้นไปบนสวรรค์ เทพเจ้าองค์อื่นต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับนางกันให้วุ่น เขาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้พอมีเหตุผลอยู่บ้าง
“เข้าไปดูให้แน่ชัดกันเถอะ”
ไป๋ชิวหรานเสนอ
“ได้ เช่นนั้นท่านโปรดรอข้าสักครู่”
ลี่เดินไปยังกระท่อม ก่อนแง้มเปิดฝาโอ่งขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณครึ่งจั้งที่ตั้งอยู่ข้างกระท่อมเล็กน้อย ภายในโอ่งเต็มไปด้วยน้ำ เขาเทปลาสีขาวอวบอ้วนทั้งหมดจากแหลงในโอ่ง ก่อนจะหันไปแขวนแหไว้ข้างฝาด้วยความชำนาญเพื่อตากให้แห้ง แล้วกล่าวว่า
“ไปกันเถอะท่านอาจารย์ ข้าจะพาท่านเข้าไปดูใกล้ ๆ”
เด็กหนุ่มเลือกสถานที่หนึ่งที่อยู่สูงกว่าบริเวณอื่นภายในหมู่บ้าน เพื่อที่จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นท่ามกลางฝูงชน ไป๋ชิวหรานถูกพามาที่นี่ เมื่อมองลงไปบริเวณศูนย์กลางของฝูงชน เขาเห็นคนที่ล้มป่วยสองสามคนอยู่ที่นั่น นอนเรียงกันบนพื้นดินที่ปูด้วยหนังสัตว์ มีนักเวทกำลังกระโดดขึ้นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมสวดคาถาที่ไป๋ชิวหรานไม่อาจเข้าใจ
หลังจากยืนสังเกตการณ์เป็นเวลานาน ไป๋ชิวหรานก็อดตั้งคำถามไม่ได้
“เขาไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ?”
“ท่านอาจารย์ นักเวทกระทำสิ่งนี้อยู่เป็นนิจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คน”
ลี่เผยรอยยิ้มขมขื่น
“ข้าพบเห็นจนชินตาเสียแล้ว”
หลังจากเฝ้าดูต่อไปอีกครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานจึงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
บริเวณชายขอบของถิ่นพักอาศัย ทันใดนั้นละอองพลังงานบางอย่างพลันควบแน่นขึ้น กลายเป็นเมฆหมอกที่เต็มไปด้วยพิษ!
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหลานก้าวเดินออกจากเมฆหมอกด้วยสีหน้าเย็นชา เดินตรงเข้าไปหาผู้ที่ล้มป่วยท่ามกลางฝูงชน
ครั้นเห็นการมาของนาง ฝูงชนต่างพากันหลีกทางให้ด้วยท่าทางสยดสยอง ขณะเดียวกันนักเวทกระโดดโลดเต้นด้วยลีลาท่าทางแปลกประหลาดเข้าหาเจียงหลาน เอาแต่ร้องตะโกนพลางโบกไม้เท้ายาวที่ทำขึ้นจากกระดูกสัตว์ตามหลังนาง ดูเหมือนต้องการขับไล่ให้ออกไป
“โง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง…”
ไป๋ชิวหรานอดพึมพำออกมาไม่ได้