ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 166 ปราบกบฏ
บทที่ 166 ปราบกบฏ
“เศษเสี้ยวเชื้อสายของราชวงศ์ในอดีตงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานถามย้อนด้วยความข้องใจสงสัย
เทพเจ้าทั้งสองเหลือบมองซ้ายทีขวาที ราวกับว่าหวาดกลัวว่าหน้าต่างจะมีหู ประตูจะมีช่อง
หลังลุกลี้ลุกลนด้วยความหวาดระแวงอยู่นาน ดูเหมือนพวกเขาจะสงบลงอีกครั้ง แล้วกระซิบบอกเล่าเรื่องราวให้ไป๋ชิวหรานรับทราบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านเทพเจ้า สิ่งที่ข้าบอกในวันนี้… อย่าได้กล่าวแพร่งพรายออกไปเชียว พลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองของจักรพรรดิสวรรค์ สามารถมองเห็นและได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างระหว่างโลกกับสวรรค์”
“ข้ารู้แล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
ได้ยินเช่นนั้น หนึ่งในเทพเจ้าจึงเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“จักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันไม่ได้มีชาติกำเนิดเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์เป็นจักรพรรดิของเผ่าเทพแต่อย่างใด ก่อนหน้ารัชสมัยของพระองค์ยังมีจักรพรรดิสวรรค์องค์อื่น ๆ เริ่มจากจักรพรรดิปฐมกาลองค์แรกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีจักรพรรดิสวรรค์กี่พระองค์ที่ขึ้นครองราชย์บ้าง เราก็ไม่อาจนับได้อย่างถี่ถ้วนเช่นกัน รู้เพียงท่านปู่ของเทพโรคระบาดเป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น”
“เรื่องเป็นมาเช่นนี้นี่เอง แสดงว่าการที่นางไม่ถูกกวาดล้าง คงเป็นเพราะมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิสวรรค์”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ
“นั่นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เทพนางนั้นยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี”
เทพเจ้าผายมือไปยังผืนฟ้าอีกด้านหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไป
“ทว่าในทางกลับกัน เทพโรคระบาดยังสามารถสืบทอดฐานะปุโรหิตจากมารดาของนางที่ดูแลมหาสมุทร หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจนเลือกเผาหยกหรือหินทั้งหมดทิ้ง เกรงว่าท้องทะเลจะเกิดความปั่นป่วน ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์จึงทรงละเว้นชีวิตนางไว้”
“อย่างไรก็ตาม หากถามว่าจักรพรรดิที่ทรงพระปรีชาสามารถที่สุดในบรรดาราชวงศ์ที่ผ่านมาคือใคร ย่อมต้องเป็นจักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันนี้ จักรพรรดิตะวันออกไท่อี”
เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งกล่าวสรรเสริญกลบเกลื่อนขึ้นอย่างทันท่วงที
“พระองค์ไม่เพียงแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์จากราชวงศ์ทั้งหมด แต่ยังเป็นจักรพรรดิผู้สมบูรณ์แบบที่สุด กล่าวขานกันว่าพระองค์ทรงเป็นร่างจุติของวิถีสวรรค์ผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา”
“นั่นหมายความว่าอย่างไร?”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อีกไม่นานนักประเดี๋ยวท่านจะเข้าใจเอง”
เทพเจ้าทั้งสองกล่าวกลั้วหัวเราะขณะหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
หลังเหาะอยู่เหนือท้องฟ้าระยะหนึ่ง เทพเจ้าทั้งสองก็พาไป๋ชิวหรานไปยังยอดเขาสูงตระหง่านเบื้องหน้า
บนยอดเขานี้มีปราสาทราชวังถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตร เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ร่มรื่นเขียวชอุ่มเพราะต้นไม้นานาพันธุ์ น้ำตกหลายสายไหลย้อยลงมา รวมถึงรุ้งหลายสายที่พาดลงมาจากยอดเขา นกสีขาวโบกโบยบินอยู่เหนือทะเลสาบ เป็นสรวงสวรรค์ที่งดงามยิ่งกว่าที่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์เสียอีก
“นี่คือวิหารศักดิ์สิทธิ์บนพื้นโลกที่จักรพรรดิสวรรค์ทรงมอบให้กับท่าน”
เทพเจ้าทั้งสองผายมือแนะนำ
“ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนเป็นทรัพย์สินโดยชอบของท่าน ส่วนเราสองพี่น้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ว่าท่านเทพเจ้าจะมีคำสั่งอย่างไร สามารถเรียกหาได้ทุกเมื่อ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“เช่นนั้นพวกเราต้องขอตัวลาก่อน”
หลังจากเทพเจ้าทั้งสองกล่าวจบ พวกเขาจึงออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และเหาะทะยานกลับขึ้นสู่ท้องฟ้า วิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับไป๋ชิวหรานผู้เดียวเท่านั้น พวกเขาไม่มีกิจธุระใดที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ เว้นแต่จะได้รับคำเชื้อเชิญ
ก่อนที่ทั้งสองจะจากไป พวกเขาได้มอบธงบัญชาทางการทหารไว้ให้กับไป๋ชิวหราน ทั้งยังกล่าวกำชับว่าตราบใดที่ครอบครองของสิ่งนี้ เขาสามารถบัญชาการกองทัพสวรรค์ที่อยู่ในดินแดนตะวันออก และสั่งการพวกเขาสองพี่น้องได้ทุกเมื่อ
ครั้นส่งเทพเจ้าทั้งสองกลับออกไปแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงเดินเข้าไปในวิหาร ภายในมีผู้ติดตามรับใช้ที่เป็นคนของเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ในวิหารด้วย เพื่อคอยดูแลความเป็นอยู่ของไป๋ชิวหราน พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีรูปลักษณ์ภายนอกเฉกเช่นเดียวกับเผ่ามนุษย์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์อื่น ย่อมต้องมีบางส่วนในร่างกายที่แตกต่างจากเผ่ามนุษย์โดยสิ้นเชิง
หลังจากปฏิเสธคำเสนอของหญิงรับใช้หลายคนที่ต้องการอาบน้ำและส่งเข้านอน ไป๋ชิวหรานก็ชำระล้างร่างกายด้วยตนเอง ก่อนจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เหมาะสมกับกาลเทศะ จากนั้นจึงกลับเข้าไปยังห้องนอนส่วนตัว แล้วใช้สัมผัสเทวะเพื่อตรวจสอบอีกด้านหนึ่งของวิหารให้ดีเสียก่อนว่ามีผู้ใดลอบเฝ้าติดตามอยู่หรือไม่ หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เทพเจ้าทั้งสองกล่าว ชายหนุ่มจึงเรียกใช้พลังวิญญาณที่แท้จริงเพื่อสร้างปราการป้องกัน เสร็จสิ้นกระบวนแล้วก็อุ้มหัวกะโหลกจื้อเซียนจากด้านหลังมาวางไว้ตรงหน้า
“เจ้ามีความเห็นเกี่ยวกับจักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันผู้นี้อย่างไรบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“ข้าคาดเดาตามคำกล่าวของเทพเจ้าทั้งสอง เกรงว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีคงกระทำข้อตกลงบางอย่างที่น่าละอายไว้กับวิถีสวรรค์”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ทว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรนั้นจำเป็นต้องเห็นกับตาให้รู้แน่ชัด ตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดา… แล้วเจ้าล่ะ? คิดจะทำการใด?”
“ข้ากำลังครุ่นคิดว่าจะช่วยเหลือมนุษยชาติในยุคนี้ทางอ้อมอย่างไรได้บ้าง”
ชายหนุ่มกล่าวต่อไป
“แม้ว่าบรรพชนเซียนจะปรากฏตัวและชี้แนะหนทางการฝึกตนอันเป็นพื้นฐานให้แล้ว ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุผ่านได้ภายในชั่วข้ามคืน หากข้าสามารถสรรหาวิถีทางที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ อาจลดการสูญเสียชีวิตของเผ่ามนุษย์ลงได้บ้าง”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
จื้อเซียนถามกลับ
“เจ้าเองก็ประจักษ์ชัดแล้วมิใช่หรือ ว่าวิถีแห่งสวรรค์ไม่อนุญาตให้เจ้าชี้แนะสิ่งเหล่านี้แก่ผู้คนโดยตรง”
“ข้าจะชี้แนะทางอ้อม”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าลี่มีพรสวรรค์อยู่ในตัว ข้าเพียงหยิบยกประเด็นขึ้นมาโดยปราศจากความจงใจ แต่เขากลับเรียนรู้เคล็ดวิชาได้อย่างรวดเร็ว”
“แล้วการตามหาผู้ครอบครองสรีระสวรรค์ริษยารุ่นแรกเล่า?”
จื้อเซียนยังเอ่ยถามต่อไป
“อย่าได้รีบร้อนไป จักรพรรดิสวรรค์ส่งข้าให้มาอยู่ที่นี่ หมายความว่าเขาคงอยากจะมอบหมายบททดสอบให้อย่างแน่นอน เมื่อข้าเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งแรก”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยตอบ
“ตราบใดที่ทำภารกิจสำเร็จ เครือข่ายข่าวกรองของสรวงสวรรค์ย่อมเอื้ออำนวยให้แก่ข้า อย่าเพิ่งกล่าวถึงเรื่องนั้นเลย เวลานี้จำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพื่อที่การกระทำจะยิ่งรัดกุม เจ้าเองก็อย่าลืมชี้แนะเวทแห่งห้วงอวกาศให้ด้วยล่ะ”
…
หลังจากอาศัยอยู่ในวิหารแห่งนี้มาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไป๋ชิวหรานผู้ซึ่งพากเพียรฝึกฝนเวทแห่งห้วงอวกาศ ในที่สุดก็ได้รับภารกิจแรกจากจักรพรรดิสวรรค์
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทันทีที่ไป๋ชิวหรานเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่นาน จักรพรรดิสวรรค์ได้รับสั่งให้เขานำกองกำลังไปปราบปรามการก่อกบฏในเมืองหลวงหลายแห่ง ณ ดินแดนตะวันออก
ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานได้ทำความเข้าใจภูมิประเทศพื้นฐาน รวมถึงข้อมูลพื้นฐานของโลกในยุคสมัยนี้โดยคร่าวจากการศึกษารวบรวม
สิ่งแรกที่ต้องล่วงรู้เป็นพื้นฐาน คือแผ่นดินผืนนี้ถือเป็นศูนย์กลางของโลก มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ามหาทวีปสิบแผ่นดินกับดินแดนรกร้างรวมกันเสียอีก สรวงสวรรค์แบ่งแผ่นดินออกเป็นสี่ส่วน คือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศตะวันตก ทั้งยังแบ่งดินแดนแต่ละทิศออกเป็นสองส่วนตามลักษณะทางภูมิศาสตร์
อาศัยยึดหลักจากทางช้างเผือกที่ลัดเลาะไปตามท้องฟ้าในการแบ่งเขตแดน โลกจึงถูกแบ่งออกเป็นดินแดนฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก และอาศัยยึดจากภูเขาน้ำแข็งก้อนมหึมาที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พื้นที่ลุ่มเป็นแอ่งทางทิศใต้ ทำให้เขตดินแดนของโลกถูกแบ่งออกอีกเป็นทิศเหนือกับทิศใต้
นอกเหนือไปจากผืนโลกจะมีมหาสมุทรโอบห้อมล้อม ทะเลตะวันออกมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง ซึ่งเป็นที่อาศัยของอีกาสามขาแห่งเทพสุริยันองค์ปัจจุบัน อีกทั้งชายฝั่งทะเลยังมีสถานที่ที่สามารถหยั่งลึกลงไปได้อีก แม้กระทั่งเทพเจ้ายังไม่อาจล่วงรู้ว่ามีเศษซากปรักหักพังใดอยู่ภายในบ้าง
นอกจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางแล้ว ยังมีสถานที่เฉพาะอื่น ๆ อีกมากบนโลกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของเทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ทิศ เช่น ภูเขาปู้โจว พฤกษากำเนิดเบิกฟ้า อุทยานสวรรค์ เมืองใต้ดินคุนหลุน และอีกหลายแห่ง ทว่าภูเขาปู้โจวได้ถูกเทพแห่งบาปทำลายทิ้งไปแล้ว จึงหลงเหลืออยู่เพียงซากปรักหักพัง ส่วนตัวเทพแห่งบาปก็ต้องโทษประหารไปแล้วเช่นกัน
ในอดีตเทพแห่งบาปเคยเป็นผู้รับผิดชอบด้านอุทกภัย แต่ตอนนี้เทพเจ้าแห่งสวรรค์ที่ดูแลแหล่งน้ำต่าง ๆ คือสุ่ยป๋อ ซึ่งสิ่งนี้พิสูจน์ความจริงประการหนึ่งให้ไป๋ชิวหรานได้รับรู้
เทพเจ้าถูกสังหารจนตายตกไป และหลังจากเหล่าทวยเทพสิ้นชีพ ภาระหน้าที่ที่เขาเคยรับผิดชอบจะยังคงอยู่
หมายความว่าก่อนที่เทพเจ้าจะสิ้นพระชีพ จักรพรรดิสวรรค์มีอำนาจในการมอบหมายฐานะทางปุโรหิตด้วยตนเอง ครั้นเทพองค์ใดองค์หนึ่งตาย เทพองค์อื่นบนสวรรค์จะสามารถใช้พลังของเทพที่ตายในการแก้ไขปัญหาแทนได้
ยังมีเทพเจ้าในส่วนอื่น ๆ ได้แก่ เทพเจ้าผู้ดูแลการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า หรือเทพเจ้าที่ดูแลในเรื่องทิศทาง ทว่าเทพเจ้าเหล่านี้มีความซับซ้อนมากจนไป๋ชิวหรานไม่มีเวลาเพียงพอที่จะจดจำ
ตัวเขามีหน้าที่ปกครองดูแลดินแดนตะวันออก มีอาณาจักรและเผ่าพันธุ์หลากหลายที่ตั้งรกรากขึ้น รวมถึงการตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในดินแดนตะวันออกแห่งนี้
ตามจริงแล้ว เผ่าพันธุ์เหล่านี้ควรอยู่ใต้การควบคุมดูแลของจักรพรรดิสวรรค์โดยตรง แต่เพราะเขาไม่เห็นคนเหล่านี้เป็นประชากรของตนแต่อย่างใด ในบางครั้งอาณาจักรต่าง ๆ และผู้คนของเผ่าพันธุ์เหล่านี้จึงเกิดจลาจลเพราะแนวคิดทำนองว่า ‘จักรพรรดิและผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นไม่ได้เป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์แต่กำเนิด’
บางเผ่าพันธุ์เป็นสัตว์อสูรที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติ มีพละกำลังการต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพเจ้า แน่นอนว่าเผ่าพันธุ์อื่นในยุคสมัยนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอเหมือนเผ่ามนุษย์
คราวนี้เป็นเทพสองพี่น้องที่ส่งต่อพระบัญชาให้กับไป๋ชิวหรานด้วยตนเอง หลังจากได้รับพระราชกฤษฎีกาจากจักรพรรดิสวรรค์ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามพวกเขา
“คราวนี้เป็นกบฏจากอาณาจักรใด?”
“เรียนท่านเทพเจ้า”
เทพเจ้าทั้งสองกล่าวตอบด้วยท่าทีเคารพ
“เป็นสองอาณาจักรใหญ่ทางทิศตะวันออก แคว้นหงหงและแคว้นเซอปี๋ซือ แต่คราวนี้ ดูเหมือนว่าผู้นำในการก่อกบฏครั้งนี้จะเป็นเทพเจ้าเสียเอง”