ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 167 ใช้ศีรษะเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
บทที่ 167 ใช้ศีรษะเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ราชสำนักบนสวรรค์มีตำแหน่งที่จำกัด ทั้งยังมีเทพเจ้ามากมายที่พำนักอยู่บนพื้นโลกเพื่อดูแลสถานที่อย่างใกล้ชิดตามที่ได้รับมอบหมายจากสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกหากเทพเจ้าที่อยู่บนโลกจะเป็นผู้นำในการก่อกบฏ
ไม่ใช่เพียงเจียงหลานเท่านั้นที่เอื้ออาทรต่อเผ่ามนุษย์ แต่เทพเจ้าองค์อื่นยังมีความรู้สึกในทางที่ดีกับเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับตนเอง กระทั่งยินยอมที่จะเจริญรุ่งเรืองหรือแพ้พ่ายไปพร้อมกัน
“แล้วครั้งนี้ผู้ก่อการกบฏคือเทพองค์ใด?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เป็นเทพเซอปี๋ซือแห่งแคว้นเซอปี๋ซือ”
หนี่งในเทพทั้งสองตอบกลับ
“จักรพรรดิสวรรค์ทรงส่งเขาให้ไปปกครองดูแลแคว้นเซอปี๋ซือ แต่ภายหลังกลับมีแนวคิดว่าตนเองเป็นหนึ่งในสมาชิกของแคว้นเซอปี๋ซือไปเสียแล้ว”
“เทพเซอปี๋ซือผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
“ไม่อาจเทียบเคียงกับเทพแห่งสวรรค์ทั้งเก้า”
“เข้าใจแล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“เช่นนั้นไปกันเถอะ”
เพื่อไม่ให้เป็นการยืดเยื้อเสียเวลาจนเกินไป ไป๋ชิวหรานจึงเป็นผู้นำกำลังพลโดยตรง โดยสั่งการให้พวกเขาตีวงล้อมแว่นแคว้นต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันก่อกบฏในครั้งนี้
แม้ว่าอาณาเขตของแคว้นในยุคสมัยนี้จะกว้างใหญ่ไพศาล ทว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเพียงดินแดนรกร้างว่างเปล่า ตราบใดที่ตีวงล้อมถิ่นฐานที่มั่นซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่ได้แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้กำลังพลมากนัก
หลังวางแผนการปิดล้อมแคว้นเสร็จสิ้น ไป๋ชิวหรานก็ออกคำสั่งกับทหารใต้บังคับบัญชาอีกครั้ง
“จงยืนนิ่งอย่างสงบเช่นนี้ต่อไป อย่าได้รีบร้อนลงมือหากปราศจากคำสั่งของข้า”
“ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านแม่ทัพเทพ”
กองทหารเทพก้มศีรษะน้อมรับคำสั่งพร้อมเปล่งเสียงตอบรับ ในขณะที่ทหารบางส่วนกลับทัดทานขึ้น
“ข้าน้อยไม่เข้าใจ เหตุใดท่านแม่ทัพเทพถึงไม่สั่งการให้บุกเข้าโจมตี? ผู้คนในแคว้นเซอปี๋ซือ รวมถึงแคว้นหงหง ล้วนไม่มีค่าอื่นใดนอกจากเป็นหนอนบ่อนไส้สำหรับเราเท่านั้น”
“ต่อให้เป็นหนอน แต่หากไม่ทันระวังอาจถูกแว้งกัดเอาได้ เจ้ารับรองได้หรือไม่ว่าหากบุกเข้าต่อสู้เสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วจะไม่ได้รับบาดเจ็บ? ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการที่ฝั่งตรงข้ามมีเทพเซอปี๋ซือคอยสนับสนุน”
ไป๋ชิวหรานแสร้งกล่าวด้วยสีหน้าอมทุกข์ประหนึ่งจะสื่อว่า ‘ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเจ้าเอง’ ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ทันทีที่สงครามเริ่มต้น ชีวิตย่อมมีการสูญเสีย แต่หากสามารถเกลี้ยกล่อมเซอปี๋ซือให้ยอมศิโรราบแต่โดยดี และจำนนต่อประกาศิตของจักรพรรดิสวรรค์ จับกบฏทั้งเป็นแล้วปล่อยให้เขารับใช้จักรพรรดิสวรรค์เพื่อทำดีไถ่โทษ ทำเช่นนั้นไม่ดูเข้าทีกว่าหรือ?”
เหล่าทหารเทพครุ่นคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวนั้นสมเหตุสมผลยิ่ง ทว่าในประโยคนั้นคล้ายมีบางสิ่งที่ผิดประหลาดไปบ้าง
แต่เมื่อเห็นว่าผู้นำเช่นไป๋ชิวหรานใช้สายตาที่จริงใจ ทำนองว่า ‘ข้าเตรียมการทุกอย่างไว้เพื่อพวกเจ้าแล้ว’ พวกเขาจึงไม่เกิดข้อกังขาในอีกต่อไปพร้อมกับเปล่งเสียงตอบรับโดยพร้อมเพรียง
“ท่านแม่ทัพเทพมีการคิดการอ่านที่กว้างไกล พวกข้าน้อมปฏิบัติตามคำสั่ง”
กลุ่มคนจากหลายอาณาจักรใช้ภูเขาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในแคว้นเซอปี๋ซือเพื่อเป็นฐานที่มั่น เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ หรือนักรบส่วนใหญ่ล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หลังจากไป๋ชิวหรานกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้คอยปิดล้อมฝั่งศัตรูอยู่เช่นเดิม เขาจึงเดินเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขาในเขตแคว้นเซอปี๋ซือเพียงลำพัง กระทั่งมาถึงฐานที่มั่นของแคว้นเซอปี๋ซือ
เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานมุ่งตรงมาในที่แห่งนี้เพียงผู้เดียวอย่างมั่นใจ ทหารในฐานทัพเซอปี๋ซือต่างตื่นตระหนกกันยิ่งนัก แม้ว่าความสูงของชายหนุ่มจะไม่อาจเทียบเคียงกับพวกเขา ทว่าคนเหล่านี้ตระหนักเป็นอย่างดีว่าความแข็งแกร่งของผู้เป็นถึงเทพเจ้า ไม่สามารถตัดสินโดยง่ายเพียงเพราะขนาดของร่างกาย!
บุคคลที่มีร่างประดุจยักษ์ความสูงหลายร้อยจั้ง อาจมีเพียงสัดส่วนเท่านั้นที่น่าเกรงขาม แตกต่างจากบุคคลที่มีรูปร่างเตี้ยกว่า ซึ่งอาจมีพลังสูงส่งพอจะควบคุมปรากฏการณ์เหนือท้องฟ้าให้ผิดไปจากธรรมชาติ ทั้งยังมีพลังอันน่าสะพรึงกลัว
“เรียกผู้นำของเจ้าให้ออกมาพบข้า”
ขณะยืนหยัดอยู่เบื้องล่างของฐานที่มั่น ไป๋ชิวหรานพลันเปล่งเสียงร้องตะโกนโดยแสร้งทำท่าทางอวดดี
ครั้นเห็นเช่นนี้ เหล่านักรบจากแคว้นเซอปี๋ซือและแคว้นหงหงที่ประจำการอยู่บนฐานที่มั่น รีบหันหลังกลับเดินกลับไปยังป้อมปราการ ตอนนี้พวกเขาคงวิ่งแจ้นไปรายงานเรื่องนี้แล้ว!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูไม้บานใหญ่ของป้อมปราการถูกปล่อยให้พาดลงสู่พื้นดิน พร้อมกับเทพเจ้าร่างยักษ์เซอปี๋ซือที่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากประตูป้อมปราการนั้น
นอกเหนือจากความสูงแล้ว ลักษณะภายนอกของเทพเซอปี๋ซือก็ไม่แตกต่างไปจากผู้อื่นในแคว้นเซอปี๋ซือมากนัก ร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ ทว่าเหนือศีรษะมีหูสีขาวคล้ายหูของสุนัขคู่หนึ่ง ร่างกายส่วนล่างเป็นสัตว์ที่มีหกขา ทั้งสี่เท้ามีลักษณะเหมือนเกือกม้า ส่วนอีกสองเท้าที่เหลือมีลักษณะคล้ายอุ้งเท้าสุนัข
สองหูยังมีงูเขียวสองตัวเลื้อยพันอยู่โดยรอบ มือข้างหนึ่งถือหอกเหล็กชั้นดีกระชับแน่น ขณะสืบเท้าเข้ามาใกล้ไป๋ชิวหราน สายตาก็ก้มกวาดลงมองสำรวจ
“เจ้าใช่เทพเซอปี๋ซือหรือไม่?”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพร้อมเอ่ยถาม
“เป็นข้าเอง”
เซอปี๋ซือกล่าวพร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“พินิจจากใบหน้าแล้ว ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน เจ้าคือแม่ทัพสูงสุดที่จักรพรรดิสวรรค์ส่งมาโจมตีพวกเราในครั้งนี้ใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่นานนัก”
ไป๋ชิวหรานเริ่มแนะนำตนเอง
“จักรพรรดิสวรรค์ทรงมอบหมายให้ข้าดูแลดินแดนตะวันออก”
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพงั้นหรือ?”
ครั้นได้ยินหน้าที่รับผิดชอบที่ไป๋ชิวหรานประกาศแจ้ง สีหน้าของเซอปี๋ซือพลันฉายแววโล่งใจขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิสวรรค์เฒ่าผู้นั้นต้องการสังหารหมู่พวกเขา เพียงเพราะปฏิเสธการสักการบูชาเทพเจ้าที่เหนือกว่าหลายองค์ อาณาจักรของเรากลับประสบภัยพิบัติจากการถูกทำลายล้าง เทพเหล่านั้นถือว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกเบื้องล่างไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรืออย่างไร?”
เขาเปล่งเสียงตะโกนด้วยความคับข้อง พลางโบกหอกเหล็กในมือไปมาขณะก้มมองไปยังไป๋ชิวหราน
“ข้ารู้ดีว่าตัวข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่อย่าได้คิดเอาเปรียบเชียว! ถึงอย่างไรจักรพรรดิสวรรค์คงไม่ประสงค์จะปล่อยพวกเราไป เพราะฉะนั้นพวกพ้องน้องพี่ของเราจะต่อสู้จนถึงที่สุด!”
ชายหนุ่มเหลือบมองเข้าไปในป้อมปราการ นักรบจากสองอาณาจักรทั้งแคว้นเซอปี๋ซือและแคว้นหงหงต่างจ้องเขม็งมองมาด้วยสายตาขุ่นเคือง
เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เทพเซอปี๋ซือ เจ้าควรคิดใคร่ครวญให้ดี เมื่อสงครามเริ่มขึ้น บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองอาณาจักร รวมถึงเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าย่อมถูกสังหารอย่างราบคาบเป็นแน่แท้ ตรงกันข้าม หากยอมจำนนเสียแต่โดยดี ข้าอาจร้องขอความเมตตาจากจักรพรรดิสวรรค์… ให้พวกเขาเหล่านั้นรอดชีวิต”
“ช่างน่าขันเสียนี่กระไร ข้าหรือจะยอมจำนนเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลานักหรือ? ก่อนหน้านี้ยังเห็นกับตาว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ก่อน รวมถึงจักรพรรดิสวรรค์องค์ก่อนถูกตัดปีกออกไปอย่างเลือดเย็นเช่นไรบ้าง”
เซอปี๋ซือเยาะเย้ย
“แทนที่จะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ของข้ากลายเป็นสัตว์ร้ายไร้ค่าของจักรพรรดิสวรรค์ สู้ปล่อยให้ตายตกไปพร้อมกันยังดีเสียกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของเจ้าเศษสวะสองคนนั่น… จะจับตัวคนจากเผ่าพันธุ์ข้าไปได้สักกี่คน? อย่ากล่าวถึงเรื่องนั้นเลย ตราบใดที่อยู่ในฐานที่มั่นนี้ เขาไม่มีทางมองเห็นหรือได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น”
“หมายความว่าสวรรค์และโลกไม่ได้รอบรู้ไปเสียทุกสิ่งดังที่ผู้คนร่ำลือกันน่ะหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“แม้พวกเขาจะอ้างว่าตนเป็นหูเป็นตาให้กับจักรพรรดิสวรรค์ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ถือกำเนิดอยู่ในร่างของจักรพรรดิสวรรค์เสียหน่อย เจ้าคิดว่าลูกสมุนทั้งสองของจักรพรรดิไท่อีจะช่วยให้เขามองเห็นและได้ยินทุกอย่างงั้นหรือ?”
เซอปี๋ซือหัวเราะเยาะ
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อความปลอดภัย เขาจึงปลดปล่อยพลังวิญญาณที่แท้จริงในร่างออกมาปกคลุมรอบบริเวณป้อมปราการทั้งหมด จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไม่ค่อยล่วงรู้อุปนิสัยของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีมากนัก ทั้งยังไม่เคยพบเจอเขาเลยด้วยซ้ำ ทว่าหลังจากได้รับรู้ว่าเจ้าต้องการตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขา ข้าจึงผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา”
“หืม?”
เซอปี๋ซือชำเลืองมองไป๋ชิวหราน ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“โอ้ เจ้าเองก็ไม่พึงใจในสิ่งที่จักรพรรดิสวรรค์กระทำอยู่อย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันอีกแล้ว… เป็นถึงหนึ่งในจตุรเทพขั้นเก้าของราชสำนักสวรรค์มิใช่หรอกหรือ?”
“ความจริงแล้วไม่พึงใจเท่าไรนัก ทุกคนรอบข้างต่างเชื่อว่าข้าเป็นเทพเจ้า แต่แท้จริงแล้วข้าคิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ต่างหาก”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อไป
“ดังนั้นข้าจึงอยากช่วยเหลือเจ้า”
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่หลงเชื่อคำกล่าวของไป๋ชิวหรานโดยง่าย เขาจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมกล่าวด้วยท่าทีระแวดระวัง
“เช่นนั้นจงบอกกล่าวว่าเจ้าครุ่นคิดทำสิ่งใด”
“ย่อมได้”
ไป๋ชิวหรานมองสบตาเขา ก่อนจะกล่าวออกอย่างเนิบช้า
“เซอปี๋ซือ เพื่อช่วยเหลือคนของเผ่าพันธุ์เจ้า ข้าต้องการศีรษะของเจ้าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”