ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 168 พี่ชาย สู้กันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่
บทที่ 168 พี่ชาย สู้กันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่?
เซอปี๋ซือตกตะลึงไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินคำพูดนั้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาชี้นิ้วไปที่ไป๋ชิวหรานพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ที่แท้เจ้าแค่พยายามหลอกให้ข้าปลิดชีพตัวเอง… คิดว่าข้าโง่เขลางั้นหรือ? ต่อให้ตายตกไป ผู้คนและเหล่าพันธมิตรคงไม่แปรพักตร์ไปอยู่เคียงข้างเจ้าหรอกกระมัง?”
“ดูเหมือนกำลังคิดปรามาสว่าข้าคงไม่มีทางเอาชนะเจ้าได้”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้น ยืดหลังตรง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“เช่นนั้นพี่ชาย เรามาต่อสู้กันสักสองกระบวนท่าดีหรือไม่?”
เซอปี๋ซือก้มลงมองชายหนุ่มอีกครั้ง แล้วแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“มาเถอะ เกรงว่าเจ้าคงเอาชนะข้าไม่สำเร็จเป็นแน่!”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ร้องตะโกนสุดเสียง จนเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นโดยรอบ หอกเหล็กในมือพลันสำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างกะทันหัน เกิดเป็นพายุมรสุมรุนแรงและฟ้าแลบฟ้าร้อง ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าเลื่อนเข้ามาบรรจบกันตรงเบื้องบนศีรษะ กระแสลมกระโชกแรงและอสนีบาตฟาดผ่าลงมานับไม่ถ้วน
เส้นเลือดสีน้ำเงินบนท่อนแขนของเซอปี๋ซือปูดโปนขึ้น ก่อนที่ฝ่าเท้าจะเหยียบย่ำลงบนพื้นดินอย่างแรงก่อนจะแผดเสียงตะโกนอีกครั้ง แล้วจ้วงแทงปลายหอกไปทางไป๋ชิวหรานด้วยพลังมหาศาลประหนึ่งจะระเบิดภูเขาและมหาสมุทร!
ไป๋ชิวหรานลอบสังเกตการกระทำของอีกฝ่าย ในฐานะเทพเจ้า ความแข็งแกร่งของเขานั้นทรงพลังยิ่ง อีกทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกำมือยังทำให้ความสามารถในการใช้อาวุธโจมตียิ่งทวีระดับสูงขึ้น ทว่าในทางทักษะแล้ว กลวิธีการโจมตีนั้นหยาบเพียงผิวเผิน อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงกระบวนหอกที่นายพรานทั่วไปใช้ในการล่าสัตว์เท่านั้น
ด้วยพลังเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนทั่วไป เขาอาจสามารถเอาชนะคนเหล่านั้นได้โดยทุ่มเทพลังความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นยังห่างชั้นนัก
ไป๋ชิวหรานก้าวเท้าไปข้างหน้า พลางคว้าหอกไว้ก่อนที่หอกจะจ้วงแทงถูกร่างกายตนเอง ฉับพลันพลังมหาศาลบนหอกถูกถ่ายโอนให้ไหลหลั่งลงสู่พื้นดิน หลังจากนั้นลำธารใต้ผืนพิภพระเบิดออกเป็นสายความยาวหลายร้อยลี้ ในบริเวณก้นบึ้งลึกลงไปจนไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น
จากนั้น ด้วยแรงฉุดกระชากหอกของเซอปี๋ซือ หอกด้ามนั้นพลันแยกออกเป็นสองส่วนในคราวเดียว ชายหนุ่มรวบรวมกำลังเตะร่างเซอปี๋ซือจนกระเด็นไปไกลภายในกระบวนท่าเดียว!
กองทัพเทพที่ยังตั้งหลักปิดล้อมอยู่ได้ยินเสียงดังลั่น ก่อนที่จะมองเห็นควันฝุ่นละอองที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณภูเขาอันเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏ
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือออกไปคว้าร่างเซอปี๋ซือขึ้นมาจากปลายลำธาร ก่อนจะทุ่มลงบนพื้นดินตรงหน้า จากนั้นก็ชี้ไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม
“ก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวว่า… ‘ข้าหลอกล่อให้เจ้าฆ่าปลิดชีพตัวเอง’ มิใช่หรือ?”
สีหน้าเซอปี๋ซือแปรเปลี่ยนจากแดงก่ำเป็นคล้ำเข้ม เขานิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยพึมพำ
“ไม่ เจ้าแข็งแกร่งมาก”
“เป็นเช่นนี้แล้วจะยอมเจรจากันโดยดีหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานยกร่างอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นดิน แล้วเอ่ยถามต่อ
“พาข้าเข้าไปข้างในสิ แล้วค่อยพูดคุยกันอย่างละเอียดดีหรือไม่?”
เซอปี๋ซือหยัดยืนขึ้น ตบฝุ่นตามร่างกาย จากนั้นจึงสั่งการให้พวกพ้องและพันธมิตรที่อยู่ด้านหลังหลีกไปให้พ้นทาง ก่อนจะเดินเข้าไปในป้อมปราการพร้อมกันกับไป๋ชิวหราน
ท่ามกลางการต่อสู้เมื่อครู่ ร่างกายเซอปี๋ซือที่ถูกชายหนุ่มเตะกระเด็นออกไปชนกระแทกเข้ากับมุมหนึ่งของป้อมปราการ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น จึงไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายเพราะถูกลูกหลงแต่อย่างใด
ไป๋ชิวหรานเดินติดตามเซอปี๋ซือกลับไปยังฐานที่มั่น และได้พบเห็นคนจากกลุ่มเผ่าพันธุ์ของอีกสองอาณาจักร
พิจารณาจากชื่อ เผ่าพันธุ์จากแคว้นต้าเหรินเป็นยักษ์ตัวสูงใหญ่ พวกมันสูงอย่างน้อยประมาณหนึ่งถึงสองจั้ง มือและเท้ามีความหนาเป็นพิเศษ ส่วนรูปลักษณ์โดยรวมไม่แตกต่างไปจากรูปร่างหน้าตาของมนุษย์มากนัก
เผ่าพันธุ์จากแคว้นหงหงแปลกประหลาดยิ่งกว่า พวกมันทั้งหมดล้วนมีสองหัวในร่างเดียว ขณะที่เดินไปด้านหน้า หัวทั้งสองนั้นก็หันซ้ายแลขวาพูดคุยกันไปพลาง
ครั้นเห็นว่าไป๋ชิวหรานเดินติดตามเทพเซอปี๋ซือเข้าไป พวกมันต่างเผยท่าทีหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ยักษ์ตนหนึ่งที่มีความสูงประมาณสามจั้งยังสะดุ้งโหยงเมื่อไป๋ชิวหรานเดินเฉียดกรายผ่านไป ราวกับว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มจะอ้าปากกว้างแล้วกลืนกินมันเข้าไป
หลังจากเดินตามเทพเซอปี๋ซือเข้าไปถึงบริเวณใจกลางของป้อมปราการ ไป๋ชิวหรานก็พบว่าตรงหน้าเป็นกระท่อมที่สร้างขึ้นด้วยไม้ มีม้านั่งขนาดใหญ่หลายตัวที่ทำขึ้นทั้งจากไม้และกระดูกสัตว์บางชนิด บนม้านั่งยังปกคลุมไว้ด้วยหนังสัตว์ อีกฝ่ายเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลงบนม้านั่งที่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“ถึงอย่างไรก็เถอะ หากเจ้าต้องการช่วยเหลือผู้คนและพันธมิตรของข้า แล้วเหตุใดถึงต้องการศีรษะของข้าด้วยเล่า?”
“ข้าทำไปเพราะอยากได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิสวรรค์”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ในการก่อกบฏครั้งนี้ นักรบจากทั้งสามเผ่าแห่งแคว้นเซอปี๋ซือ แคว้นต้าเหริน และแคว้นหงหง ล้วนไม่ใช่ศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อสำหรับกองทัพตะวันออกแห่งจักรวรรดิสวรรค์ เช่นนั้นเหตุใดข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่ง? ประการแรกคือ เพื่อทดสอบความสามารถ ส่วนเหตุผลประการที่สอง ก็เพราะครั้งนี้เทพเจ้านามเซอปี๋ซือเป็นผู้นำในการก่อกบฏ หากเจ้าตายตกไปสักคน เผ่าพันธุ์อื่นจะตายตกตามหรือยังมีชีวิตรอดอยู่… จักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่แยแสแต่อย่างใด ในสายตาเขา เกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกในอุทยานสวรรค์ด้วยซ้ำ ขอเพียงยอมสละศีรษะ… นั่นจะเป็นการสะดวกสำหรับข้าที่จะพาคนของเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยกว่าในตอนนี้ หรือการช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ในอนาคตอาจกระทำได้โดยง่ายยิ่งขึ้น”
“เพียงกล่าววาจาก็ง่ายดายไปเสียหมด”
เซอปี๋ซือตั้งคำถาม
“หากทำได้จริง แล้วเจ้าจะพาเผ่าพันธุ์รวมถึงพันธมิตรของข้าหลบหนีไปได้อย่างไร? แล้วจะพาพวกเขาไปอยู่ที่ไหน?”
“ง่ายดายยิ่ง ข้าเพิ่งเรียนรู้ทักษะวิชาใหม่มาจากสหายคนหนึ่ง เจ้าสามารถรับชมได้”
ไป๋ชิวหรานกล่าวจบแล้ว จึงหยิบพู่กันและหมึกดำออกมาจากถุงเก็บสมบัติ พร้อมด้วยม้วนกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น
ชายหนุ่มคลี่กางม้วนกระดาษออกแล้ววางลงกับพื้นให้เรียบ ก่อนจะใช้พู่กันจุ่มปลายลงไปในขวดหมึกจากถุงเก็บสมบัติ จากนั้นจึงเริ่มต้นเขียนภาพมังกรและงูลงบนม้วนกระดาษตรงหน้า
ในฐานะที่เป็นผู้นำของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมอย่างไม่เป็นทางการ ไป๋ชิวหรานยังได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับของสำนักอื่น ๆ ในฝ่ายเดียวกัน แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือการฝึกฝนทักษะการเขียนภาพของหลี่เผิงเฟย ผู้เป็นปราชญ์แห่งภาพเขียน
ปราชญ์ผู้นี้มีฝีมือในการวาดเขียนภาพสองแง่สองง่ามน่าละอาย ทว่าคนของสำนักกระบี่ชิงหมิงกลับสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อลอบซื้อตำราปกขาวอยู่ประปราย ทำให้พลอยได้รับอิทธิพลจากทักษะการขีดเขียนด้วยพู่กันและหมึกไปโดยปริยาย ดังนั้นการเขียนภาพด้วยหมึกจึงไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเขา
ไม่นานนัก ไป๋ชิวหรานก็เขียนภาพทิวทัศน์อันสวยงามเสร็จสิ้นด้วยฝีมือตนเองบนม้วนกระดาษ สถานที่แห่งนั้นขาวโพลนไปด้วยหิมะที่ปกคลุม โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากยอดเขาที่ตนอาศัยอยู่ในยุคปัจจุบัน
ชายหนุ่มเก็บพู่กันและหมึกเข้าที่เข้าทาง ก่อนซับหมึกบางส่วนบนภาพวาด แล้วหันไปกล่าวกับเซอปี๋ซือ
“ข้าสามารถใช้ภาพเขียนนี้เพื่อพาคนของเจ้าทั้งหมดอพยพหลบหนีไป”
“ฝีมือการเขียนภาพของเจ้าไม่เลว”
เซอปี๋ซือได้แต่มองดูพร้อมชื่นชมด้วยความสับสน
“เจ้าคิดหรือว่าการอาศัยสินบนเพียงชิ้นเดียวนี้ จะสามารถโน้มน้าวให้จักรพรรดิสวรรค์ปล่อยคนจากสามอาณาจักรของเราไปได้?”
“มานี่สิ”
ไป๋ชิวหรานกวักมือเรียกเซอปี๋ซือเป็นเชิงให้เข้ามาใกล้ ซึ่งอีกฝ่ายก็โน้มเอนกายเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย ทันใดนั้นไป๋ชิวหรานกลับกระโดดลุกขึ้นยืนพร้อมคว้าคอของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะดันหัวของเขาเข้าไปในภาพเขียน
เซอปี๋ซือพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วไป๋ชิวหรานก็ปล่อยมือจากคออีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว เขากระทืบเท้าพร้อมกล่าวกับไป๋ชิวหรานด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“หากจะฆ่าหรือตัดหัวข้าก็ทำเสียให้สิ้นเรื่อง ข้า… เซอปี๋ซือไม่ยอมให้เจ้าหยามเกียรติเช่นนี้!”
“ก่อนที่เจ้าจะโกรธเคืองข้า ลองมองไปรอบ ๆ เสียก่อนดีหรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับเซอปี๋ซือ
ได้ยินเช่นนั้นเซอปี๋ซือจึงหันมองทั้งทางซ้ายและขวา พบว่าตนเองถูกพามายังเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ไม่เคยคุ้นตามาก่อน
“เจ้าพาข้ามาอยู่ในที่แห่งใดกัน?”
“ยินดีต้อนรับสู่ห้วงมิติแห่งภาพเขียน”
ชายหนุ่มกางแขนผายมือออก ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ถึงแม้ข้าจะไม่มีความชำนาญในการทำเช่นนี้นัก ทว่าพื้นที่แห่งนี้นับว่ากว้างขวางเพียงพอที่จะรองรับคนของเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไปได้อีกชั่วขณะหนึ่ง”
“เหตุใดเจ้าถึงเลือกที่จะช่วยเหลือพวกเราเล่า?”
ขณะมองดูลายเส้นของหมึกที่แปรเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างไม่แน่นอนบนสุดปลายขอบของห้วงมิติแห่งนี้ เซอปี๋ซือจึงเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกันกับพวกเขาเหล่านั้น ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานยิ่งของจักรพรรดิสวรรค์ เจ้าสามารถเลื่อนยศตำแหน่งขึ้นเป็นแม่ทัพเทพใหญ่แห่งจักรวรรดิสวรรค์ ดื่มด่ำกับชีวิตที่หรูหราเหนือจินตนาการของผู้ใด ทั้งยังสามารถหลงระเริงไปกับความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างไร้ที่สิ้นสุด”
“เพราะแท้จริงแล้วเทพเจ้าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของข้า”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบพร้อมเผยรอยยิ้ม
“และเพราะเผ่าพันธุ์ของข้าในยุคนี้อ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อกรกับเผ่าเทพ ดังนั้นเราจึงต้องการพันธมิตรเพิ่ม เฉกเช่นเดียวกันกับที่เจ้าเป็นพันธมิตรกับแคว้นเซอปี๋ซือและแคว้นหงหง”
เซอปี๋ซือฟังแล้วยังคงนิ่งเงียบ
“ลองไตร่ตรองดูให้ดี สำหรับแผนการของข้าคือให้เจ้ายอมสละศีรษะโดยดี”
ไป๋ชิวหรานหันหลังกลับ ทว่ายังคงกล่าวต่อไป
“ข้าจะให้เวลาลองคิดทบทวนให้ดีสองวัน สองวันถัดมา หากไม่ยอมสละศีรษะแต่โดยดี ข้าคงจำเป็นต้องกระทำตามประสงค์เดิมของจักรพรรดิสวรรค์ อีกทั้งแผนการดังกล่าวก็เพื่อผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์เจ้า และหากทั้งสามเผ่าพันธุ์ถูกกวาดล้างนั่นนับว่าเป็นผลดีสำหรับข้า ไม่ใช่สำหรับพวกเจ้า”
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
เซอปี๋ซือเหยียดยิ้มอย่างขมขื่น
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ใช่ เจ้าตระหนักเช่นนั้นไว้ก็ดีแล้ว”