ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 17 กระบี่อีกเล่มหนึ่ง
บทที่ 17 กระบี่อีกเล่มหนึ่ง
ถังโจ้วเสียไม่สนใจลูกหลานของตนอีก เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นจึงหันหน้าไปเอ่ยถามซือหม่าอิงป๋อว่า “ข้าหิวโหยเหลือเกินแล้ว ที่ข้ากำชับให้เจ้าไปหาเลือดมาเซ่นเป็นอาหารให้กับข้าเล่า?”
“ทั้งหมดถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วขอรับ” ซือหม่าอิงป๋อล้วงเอาธงประกาศิตแห่งเทพออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นจึงผายมือไปทางเด็กชายและเด็กหญิงสองร้อยคนซึ่งยืนอยู่เบื้องล่างแท่นบูชา
หลังจากเห็นสิ่งผิดปกติ เด็กหลายคนต่างอยากหลบหนีออกไป ทว่าค่ายกลใต้ฝ่าเท้าของพวกเขากลับมัดตรึงไว้อย่างแน่นหนา ทันทีที่ถังโจ้วเสียสบตากับพวกเขา เด็กเหล่านี้ก็ร้องไห้ออกมาทันที บางคนหวาดกลัวกระทั่งฉี่ราดรดกางเกงอย่างยากจะควบคุม
“ดีมาก” ถังโจ้วเสียพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพร้อมโบกมือ “เริ่มจัดการเสีย นำเลือดสด ๆ มาให้ข้า”
สิ้นคำสั่งของเขา ทหารซึ่งยืนเรียงรายเป็นสองแถวอยู่บริเวณใต้แท่นบูชาก็ก้าวออกมา ดึงกระบี่ปลายโค้งที่เหน็บอยู่ตรงบั้นเอวออกก่อนสืบเท้าเข้าไปทางเด็กชายและเด็กหญิง
“ช้าก่อน!” ถังรั่วเวยรีบเอ่ยทัดทาน
นางปรี่เข้าไปหาถังโจ้วเสียพร้อมเลิกคิ้วขณะเอ่ยถาม “ท่านบรรพบุรุษ ท่านเป็นถึงปฐมจักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียน เหตุใดวันนี้จึงทำร้ายประชาชนของรัฐซ่างเสวียนเสียเองเล่า?”
“ข้ากระทำสิ่งไม่เหมาะควรอย่างไรกัน?” ถังโจ้วเสียเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านไร้ความแยแส “ข้าเป็นจักรพรรดิ ส่วนคนเหล่านี้เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาสามัญ ประชาชนย่อมต้องโค้งกายคำนับจักรพรรดิเป็นเจ้าชีวิตแต่ไหนแต่ไรมา หลังจากตายไปก็ไม่เสียเปล่า ได้พลีโลหิตเป็นอาหารเซ่นไหว้ให้กับข้า ช่วยข้ายกระดับการบำเพ็ญเพียรของข้าให้สูงส่งยิ่งขึ้น สิ่งนี้นับว่าเป็นเกียรติของพวกเขาที่ได้รับใช้”
“ท่านกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร?!” น้ำเสียงของถังรั่วเวยเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ!”
ถังโจ้วเสียเอ่ยพลางกางกรงเล็บสีแดงเลือดออก “ฮึ่ม! เด็กน้อยเอ๋ย ในสมัยที่ข้าขึ้นครองราชย์ ข้าได้ขยายอาณาเขตของรัฐซ่างเสวียนให้กว้างไกลเพิ่มขึ้นมากถึงสองในสามส่วน ทว่ายิ่งเราทำสงครามรบพุ่งบ่อยครั้งเพียงใด ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้ต่างมีข้อจำกัด”
“แม้ว่าข้าจะรวบรวมแคว้นโบราณเข้าด้วยกัน ทั้งยังผสานรวมโลกทั้งสิบให้กลายเป็นหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังมีกลุ่มคนที่ตั้งตนอยู่เหนือศีรษะของข้า ไม่ว่ากองทัพของข้าจะมีจำนวนมหาศาลเพียงใด หรือต่อให้สรรพอาวุธจะเลิศล้ำเพียงใด เกราะแข็งแกร่งทนทานหรือหนาแค่ไหนก็ไม่อาจต่อกรกับเพลงกระบี่ของเซียนชั้นสูงอย่างพวกมันได้ แท้จริงแล้วข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้ ทว่าในฐานะที่ข้าเป็นจักรพรรดิย่อมต้ององอาจกว่าผู้อื่น ทั้งยังต้องมีความเก่งกล้าสามารถมากกว่าผู้ใดในแว่นแคว้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ควรค่าแก่การเหยียบย่ำศีรษะของผู้อื่นก็คือข้า!”
“ท่านกำลังจะกล่าวถึงสิ่งใดกันแน่?!” ถังรั่วเวยยังคงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ข้าต้องการสื่อว่า…ข้าเป็นมนุษย์เช่นนี้มานานนมแล้ว” กล่าวจบถังโจ้วเสียก็เปล่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ทหาร! ลงมือได้!”
ทหารสองแถวเดินหน้าต่อไป บนคมกระบี่ในมือของพวกเขาเปล่งประกายแสงเย็นเยียบ สะท้อนให้เห็นสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเด็กสองคนที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อขัดขืน
“องค์หญิง” ซือหม่าอิงป๋อพยายามกล่าวเกลี้ยกล่อมนางอีกแรง “ตราบใดที่ล่วงรู้ถึงความยากลำบากแล้วยินยอมถอยกลับหรือสามารถยืดหรือหดไปตามกระแส จึงจะเป็นหนทางที่เหมาะสมในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ นอกจากนี้…หลังจากความแข็งแกร่งขององค์จักรพรรดิที่แท้จริงได้พัฒนาขึ้นแล้ว จะถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับท่านด้วย”
“ซือหม่าอิงป๋อ ความคิดอ่านของเจ้าช่างต่ำช้านัก!” ถังรั่วเวยชำเลืองมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนและรังเกียจเต็มกลืน “ข้ามิใช่คนเลวทรามเช่นเจ้า!”
นางวิ่งไปยังด้านข้างขององค์จักรพรรดิซ่างเสวียนที่ยังคงมีสีหน้าเหม่อลอย ก่อนชักกระบี่ยาวซึ่งเหน็บอยู่ตรงบั้นเอวของเขาออกมาถือกระชับไว้
เมื่อกระบี่อยู่ในมือ ถังรั่วเวยก็ผงาดอยู่ในท่วงท่าอันสง่างามพร้อมต่อสู้กับปีศาจร้ายเช่นถังโจ้วเสียที่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนสุสานจักรพรรดิ วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าทหารทั้งสองแถวนั้น
“ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
คมกระบี่สะท้อนแสงสีของหิมะ ปรากฏปราณสีทองที่พันอยู่รอบใบกระบี่
ถังรั่วเวยกวัดแกว่งกระบี่ลงหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกไปฟาดฟัน กระทั่งทหารแถวหนึ่งต่างทรุดลงกองกับพื้น
“ฮึ่ม! ฤทธิ์มากนักเสียจริง!” ถังโจ้วเสียแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นจึงยกนิ้วขึ้นเล็กน้อยเพื่อร่ายมนตร์บางอย่าง
เหล่าแม่ทัพหลายนายเดินออกมาจากแถว ต่างชักอาวุธของตนออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ถังรั่วเวย แม่ทัพเหล่านี้ต่างบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ เมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูตัวต่อตัว ถังรั่วเวยจึงไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้และถูกจับควบคุมตัวไว้ในที่สุด
“ถุย!” ถึงแม้ถูกควบคุมตัวไว้โดยสมบูรณ์ ทว่าองค์หญิงยังคงปฏิเสธที่จะก้มศีรษะให้กับเขา นางถ่มน้ำลายออกอย่างหยาบคายก่อนเอียงศีรษะจ้องเขม็งไปยังปีศาจบรรพบุรุษและผู้ใต้บังคับบัญชาจอมทรยศ
“ท่านอาจารย์ขอรับ” ซือหม่าอิงป๋อรีบโค้งคำนับก่อนกล่าวต่อ “องค์หญิงยังเยาว์วัยนัก ซ้ำยังมีนิสัยเอาแต่ใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางเป็นลูกหลานของท่าน โปรดมอบนางให้ศิษย์ได้จัดการ ศิษย์จะสั่งสอนให้นางยอมเชื่อฟังแต่โดยดีอย่างแน่นอน”
“อิงป๋อ หลงลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์เคยสั่งสอนเจ้าไว้อย่างไร?” ถังโจ้วเสียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เราไม่ต้องการผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง นอกจากนี้พวกเราต่างเป็นผู้ฝึกตนที่มีความสามารถเหนือคนธรรมดา ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์บนโลกมนุษย์แต่อย่างใด หากเจ้าต้องการหญิงงามเคียงข้าง ในอนาคตไม่ว่าแว่นเคว้นอื่นหรือโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ตราบใดที่เจ้าแข็งแกร่งขึ้นย่อมเสาะหาได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้าจัดการกินเลือดหญิงกบฏผู้นี้ซะ เจ้ามีคุณูปการในการจัดหาเด็กชายหญิงและอสูรปีศาจให้กับข้า นี่เป็นรางวัลที่ข้ามอบให้แก่เจ้า”
“ท่านอาจารย์…” ซือหม่าอิงป๋อลังเลอยู่เป็นนาน ก่อนจะตัดสินใจโค้งคำนับพร้อมกล่าว “ขอรับ ศิษย์ขอคำนับขอบคุณท่านอาจารย์”
“อืม เจ้าใกล้บรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้ว รอเจ้าฝ่าฟันเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานเสียก่อน เจ้าจึงจะสามารถเริ่มฝึกวิชาเทพโลหิตของข้าอย่างเป็นทางการได้” ว่าแล้วถังโจ้วเสียก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “การดื่มเลือดนางนับว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างยิ่งทีเดียว”
“เหลวไหล!” ขณะนั้นเอง เสียงตะโกนพลันดังขึ้นจากภายในสุสานจักรพรรดิ
“หืม?” สีหน้าของถังโจ้วเสียแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด “ผู้ใดกัน?”
ทว่าเสียงนั้นกลับไม่ใส่ใจตอบคำถามของเขา ทั้งยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เหตุใดข้าจึงไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าการดื่มเลือดของเชื้อพระวงศ์จะสามารถช่วยให้บรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้? เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยที่ฝึกฝนวิชายุทธ์จนผิดเพี้ยนกลายเป็นวิชามาร ทว่าวันนี้กลับสั่งสอนผู้อื่นให้หาหนทางบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานด้วยวิธีผิดเพี้ยนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้อีกหรือ? เส้นทางมารถึงอย่างไรก็คือเส้นทางสายมาร ไม่อาจอาศัยการทำร้ายผู้อื่นเพื่อเพิ่มพูนพลังบำเพ็ญเพียร เจ้าคิดคำนึงแต่จะบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน แล้วรู้หรือไม่ว่าขั้นสร้างรากฐานนั้นฝ่าฟันจนบรรลุไปได้ยากเย็นเพียงใด? อย่าได้ดูถูกลำดับขั้นการฝึกตนเป็นอันขาด!”
“สิ่งที่เจ้ากล่าวมาล้วนไม่เป็นความจริง!” ถังโจ้วเสียแค่นเสียงตอบกลับอย่างเย็นชา “ตอนนี้ข้าบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์แล้ว เหตุใดจะสั่งสอนผู้อื่นให้บรรลุบ้างไม่ได้?!”
“เจ้าบรรลุขั้นสร้างรากฐานแล้วอย่างไร? เจ้าไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้เลยด้วยซ้ำ!” สุ้มเสียงปริศนานั้นทวีความเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเก่า “อีกอย่างหนึ่ง สังเกตจากค่ายกลที่เจ้าจัดเรียงไว้ เจ้าคิดจะพึ่งพาโลหิตเหล่านี้เป็นอาหารเพื่อใช้เป็นเม็ดยาทองคำใช่หรือไม่?! การจัดเรียงที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนผู้เที่ยงธรรมเช่นข้าอดทนมองดูไม่ได้อีกต่อไป! เจ้าไม่รู้จักพลิกแพลงการสร้างค่ายกลให้เหมาะสมตามระยะเวลาและสถานที่ด้วยซ้ำ! เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังคิดอวดตัวว่าเข้าใจขั้นสร้างรากฐานเป็นอย่างดีอีกหรือ? ที่เจ้าสามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้คงเป็นเพราะโชคช่วยมากกว่ากระมัง! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของถังโจ้วเสียก็ซีดเผือดลงไม่น้อย ถึงกระนั้นเขายังทำใจดีสู้เสือแค่นเสียงเย็นชาออกมา “ซ่อนหัวโผล่หาง! หากเจ้ากล้าก็จงออกมาเผชิญหน้ากับข้าซะ!”
ตูม!
ทันทีที่เขากล่าวจบ ท่ามกลางกลุ่มของเด็กชายและเด็กหญิงทั้งสองร้อยคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ก็เกิดระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา ทำให้เหล่าทหารที่กำลังควบคุมตัวถังรั่วเวย รวมถึงเหล่าทหารที่ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อเตรียมตั้งรับต่างถอยกระเด็นออกไป จากนั้นพลังที่อ่อนโยนก็ระเบิดออก ทำให้เด็กชายและเด็กหญิงทั้งหมดซึ่งอยู่ในที่นี้หลับใหล
เด็กชายคนหนึ่งที่กำลังเผยสีหน้าเดือดดาลเดินออกมาจากแถวของบรรดาเด็กชายและเด็กหญิง ทุกคราที่ย่างก้าวร่างกายของเขาจะสูงขึ้นหนึ่งชุ่น เรือนผมของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนสีจนเกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นเป็นระยะ ในที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าถังรั่วเวย เรือนผมและคิ้วทั้งสองข้างแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวบริสุทธิ์
“ไป๋ชิวหราน!?” ถังรั่วเวยอุทานด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร?!”
“เดิมทีข้ามาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์จะกำจัดพวกปีศาจ” ใบหน้าของไป๋ชิวหรานเคร่งขรึม “ทว่าข้ากลับพบว่าผู้ฝึกตนที่มีวิชายุทธ์เพียงน้อยนิดผู้นี้กลับกล่าววาจาโอหังยิ่งนัก!”
“เป็นเขาเองหรือ?” ซือหม่าอิงป๋อเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจไม่ต่างกัน
“เจ้ารู้จักเขาอย่างนั้นรึ?” ถังโจ้วเสียเอ่ยถาม
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบเขาบนภูเขาเหมิงขอรับ” ซือหม่าอิงป๋อลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านอาจารย์ เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น”
“ขั้นกลั่นลมปราณอย่างนั้นรึ?!” ถังโจ้วเสียระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าว่าผู้ที่กล่าววาจาโอหังคงเป็นตัวเจ้าเสียมากกว่า!”
“ผู้ใดกันแน่ที่กล่าววาจาโอหัง?” ไป๋ชิวหรานยิ้มเยาะ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังสุสานจักรพรรดิของถังโจ้วเสีย วิจารณ์ข้อบกพร่องหลายจุดตั้งแต่ค่ายกลที่เขาสร้างไปจนถึงกระบวนท่าต่าง ๆ ตั้งแต่เคล็ดวิชาที่ใช้ไปจนถึงการดื่มโลหิตเป็นเม็ดยาทองคำ สุดท้ายจึงวิจารณ์หลุมฝังศพของอีกฝ่าย
ถังโจ้วเสียลอบเปรียบเทียบกลวิธีของตนเองกับสิ่งที่ไป๋ชิวหรานกล่าว และพบว่าสิ่งที่เขากล่าวมาดีกว่ากลวิธีที่ตนเองใช้มากนัก
ครั้นเห็นสีหน้าของถังโจ้วเสีย ไป๋ชิวหรานก็เอ่ยถามกลับ “เป็นอย่างไร? ผู้ใดกันที่เป็นฝ่ายโง่เขลา?”
“เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร?!”
ถังโจ้วเสียกางแขนทั้งสองข้างออก “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับกลั่นลมปราณ แตกต่างจากข้า อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นข้าก็สามารถสร้างเม็ดยาทองคำได้สำเร็จ”
ไป๋ชิวหรานเอียงคอมองอีกฝ่ายโดยไม่ปริปากตอบคำใด
“แล้วข้าก็ไม่เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น แต่ข้ายังเป็นถึงปฐมจักรพรรดิ”
ถังโจ้วเสียตะโกนลั่น “ข้ามีทหารอยู่ในมือนับสามพันนาย ขุนนางอาวุโสยี่สิบแปดคน เพียงสามคนก็จัดการกับเจ้าได้อย่างราบคาบ ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเองด้วยซ้ำ เพียงสั่งการก็สามารถบั่นศีรษะของเจ้าออกได้แล้ว เจ้าจะต่อสู้กับข้าได้อย่างไร?!”
ไป๋ชิวหรานหันมองสำรวจทางซ้ายและขวาอย่างเงียบเชียบ ทหารองครักษ์นับพันนายที่อยู่ภายในสุสานจักรพรรดิล้วนถูกถังโจ้วเสียควบคุมไว้ทั้งหมด ต่างปิดล้อมรอบแท่นบูชาไว้อย่างแน่นหนา นอกสุสานจักรพรรดิยังมีนายทหารอีกเป็นกองทัพที่คอยปกป้องสุสานจักรพรรดิเช่นเดียวกัน
ภายในกองทัพมีแม่ทัพระดับกลั่นลมปราณอยู่ไม่น้อย ส่วนผู้อาวุโสทั้งสิบหกคนล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นกลั่นลมปราณระดับกลาง
เบื้องหน้าของเขาคือขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ มหาราชครู และทหารองครักษ์สามนายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของถังโจ้วเสีย ด้านหลังคือถังรั่วเวยที่ได้รับบาดเจ็บจนสูญสิ้นซึ่งพลังลมปราณ รวมถึงเด็กชายหญิงนับสองร้อยคนที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น
“เจ้ามันโง่” ถังรั่วเวยใช้กระบี่ช่วยพยุงให้ตนลุกขึ้นพลางเหยียดยิ้ม “ต่อให้ต้องการกำจัดปีศาจก็ต้องประเมินความแข็งแกร่งของตนเองให้ถ่องแท้ ที่นี่มีกองทัพนับพัน ซ้ำยังมียอดฝีมือของอาณาจักรซ่างเสวียนอยู่ไม่น้อย”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มขณะกล่าวตอบ
การผดุงความชอบธรรมนับเป็นหน้าที่รับผิดชอบของลูกศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงทุกคน สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งธรรมอย่างแท้จริงคือคุณค่าที่ไม่เปลี่ยนแปลงถึงแม้เวลาจะผ่านพ้นไป
เช่นเดียวกับท้องนภาในยามนี้ แม้จะถูกกลุ่มเมฆสีดำครึ้มบดบังกระทั่งสีดำหลอมรวมเข้ากับสีขาวจนกลายเป็นเมฆทมิฬมืดปกคลุม แต่ไม่ว่ายุคสมัยไหน สีดำไม่มีทางกลับกลายเป็นสีขาวได้ฉันใด การฆ่าผู้บริสุทธิ์และรังแกคนอ่อนแอ ก็ไม่เคยได้รับการยกย่องสรรเสริญฉันนั้น
เขาใช้ปลายเท้าวาดวงกลมลงบนพื้น สร้างค่ายกลอย่างง่ายเพื่อปกป้องถังรั่วเวย จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมเงยหน้าขึ้นมองถังโจ้วเสีย
กระแสลมอ่อนพัดผ่านปลายแขนเสื้อของเขา ทำให้เกิดเสียงชวนอกสั่นขวัญแขวน ใบหน้าของไป๋ชิวหรานปราศจากความหวาดกลัวเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในถ้ำบนภูเขาเหมิงวันนั้น เขาใช้ตนเองเข้าขวางระหว่างถังรั่วเวยไว้
“จริงดังที่เจ้าว่า ข้าแตกต่างจากเจ้า ข้า ไป๋ชิวหรานไร้ซึ่งอำนาจหรือผู้หนุนหลังใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งระดับการฝึกตนของข้ายังบรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น” เขาปลดกระบี่ที่เหน็บอยู่ตรงบั้นเอวออกก่อนชักตัวกระบี่ออกจากฝัก จากนั้นจึงชี้ปลายแหลมคมไปยังพื้นดิน
ใบกระบี่ความยาวสามฉื่อสะท้อนแสงเย็นเยียบประหนึ่งผืนน้ำนิ่งสงบในฤดูใบไม้ร่วง
“ทว่าในมือของไป๋ชิวหรานผู้นี้ยังมีกระบี่อีกเล่มหนึ่ง!”