ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 173 จักรพรรดิสวรรค์ประทานการแต่งงาน
เหนือดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งจักรวรรดิสวรรค์ เหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มีปราสาทอันสวยงามตั้งตระหง่านอยู่ ภายในปราสาทที่วิจิตรงดงามที่สุดในสวรรค์ จักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบัน หรือจักรพรรดิตะวันออกไท่อีกำลังนั่งอยู่หลังม่าน ฟังรายงานเรื่องแม่ทัพเทพดินแดนตะวันออกจากจอภาพที่ตนฉายขึ้นไปยังด้านข้างผนังอย่างเงียบเชียบ “ทูลรายงานฝ่าบาท แม่ทัพเทพได้เดินลึกเข้าไปในฐานที่มั่นของฝ่ายศัตรูเพียงลำพัง หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน เขาได้กวาดล้างกลุ่มกบฏของแคว้นฉีกงและแคว้นยี่ปี้ที่ก่อกบฏในครั้งนี้แล้ว”
ขณะกล่าว เทพเจ้าร่างสูงชะลูดถอดห่อผ้าสีขาวออกมาจากเอว ดูเหมือนว่าภายในจะเป็นวัตถุขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเกือบเป็นทรงกลม ส่วนครึ่งล่างยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา
“ดี ดี แต่อย่าเปิดออกให้ข้าเห็นล่ะ มันอุจาดตา ข้าเบื่อหน่อยที่จะเห็นศีรษะที่ไป๋อ้ายชิงมอบมาบรรณาการเต็มที ปราบกบฏได้ทีไรส่งหัวมาให้ทุกครา ข้าไม่ใช่นักสะสมหัวเสียหน่อย”
เมื่อเห็นการกระทำของเขา หลังจากลดม่านลง จักรพรรดิตะวันออกก็ยกมือขึ้นพร้อมกล่าวห้ามเบา ๆ
“อย่างไรก็ตาม แม่ทัพไป๋นั้นกล้าหาญยิ่ง แม้แต่เทพเฒ่าแห่งสงครามสิงเทียนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ข้าพึงพอใจในตัวแม่ทัพผู้นี้นัก ‘ลู่อู๋’ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ลู่อู๋ผู้เป็นเหมือนขุนนางจัดการเรื่องทั่วไปในนามจักรพรรดิสวรรค์ซึ่งนั่งอยู่ข้างบัลลังก์รีบกล่าวทันที
“สิงเทียนเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดนับตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เขามีความโลภใคร่ครองบัลลังก์จักรพรรดิสวรรค์ ตอนนี้ไป๋ชิวหรานได้บั่นศีรษะของเทพเจ้าองค์นี้ออกเพื่อฝ่าบาทแล้ว ดังนั้นจากนี้พระองค์จะได้ทรงพักผ่อนอย่างสบายใจ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถเพิกเฉยได้… สมควรได้รับรางวัลเป็นการตอบแทน”
“โอ้ แต่ฐานะทางปุโรหิตของแม่ทัพไป๋นั้นนับว่าสูงสุดแล้ว หากมากกว่านี้เห็นทีคงต้องขึ้นไปแทนที่ตำแหน่งหนึ่งในห้าจักรพรรดิสวรรค์ทั้งห้า หรือเทพเจ้าผู้ชอบธรรมทั้งเก้าองค์ แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นสหายของข้า ไม่มีผู้ใดกระทำความผิดมาก่อน ข้าไม่อาจให้แม่ทัพไป๋มาแทนที่ตำแหน่งของใครโดยไร้เหตุผลอันควรเป็นแน่”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีกล่าว
“กล่าวถึงสมบัติพัสถานทั้งหมดที่มอบให้แม่ทัพไป๋ไป เขาก็แจกจ่ายให้กับเหล่าทวยเทพใต้บังคับบัญชาของตนเสียทั้งหมด เขาไม่สนใจสิ่งล้ำค่าเหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว ทว่าดูเหมือนจะชื่นชอบสาวงามจากเผ่ามนุษย์เป็นพิเศษ ทว่าหญิงงามเหล่านั้นล้วนด้อยค่ายิ่งกว่าสมบัติที่มอบให้เสียอีก สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกละอายยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไรดี ขุนนางลู่อู๋?”
“ทูลฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ไม่ประทานรางวัลแก่ไป๋ชิวหรานเป็นเทพธิดาผู้งดงามให้แต่งเป็นภรรยาของเขาเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลู่อู๋จึงกล่าวตอบ
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นในตอนแรก ทว่าเวลานี้ยังมีเทพหญิงองค์ใดบ้างที่ยังไม่ได้แต่งงานบนสวรรค์… เช่นนั้นคงมีแต่แม่ม่ายที่มีจำนวนมากหน่อย แต่ในฐานะของข้าแล้ว จะให้แม่ทัพไป๋ผู้ที่ทำคุณงามความดีมหาศาลแต่งงานกับหญิงม่ายกระนั้นหรือ?”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีกล่าว
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือว่ายังมีหลานสาวของตระกูลอี้ฉีแห่งภูเขาเลี่ยที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในจักรวรรดิสวรรค์ของเรา มีฐานะทางปุโรหิตเป็นเทพแห่งโรคระบาด?”
ลู่อู๋เอ่ยตอบ
“หลานสาวของตระกูลอี้ฉีแห่งภูเขาเลี่ย นับได้ว่ามีรูปร่างหน้าตาน่ารักและงดงามพอควร ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น นางยังเป็นหนึ่งในเทพเจ้าของเหล่าเทพทั้งเก้าองค์แห่งสวรรค์ สถานะเทียบเท่ากับแม่ทัพเทพไป๋”
“อืม สิ่งที่ขุนนางลู่อู๋กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล”
เงาเลือนรางของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีที่ซ่อนอยู่หลังม่านพยักหน้า
“ทว่าเจียงหลานเป็นเทพแห่งโรคระบาด ข้าเคยได้ยินมาว่านางคลุกคลีอยู่แต่กับโรคและพิษภัยตลอดทั้งวัน ถึงขั้นพกพาสิ่งที่มีพิษร้ายแรงติดตัวไปด้วยทุกหนแห่ง การหมั้นหมายนางให้กับแม่ทัพไป๋ คิดว่าแม่ทัพไป๋จะพึงพอใจหรือไม่?”
“ฝ่าบาท พระองค์คงทรงลืมไปกระมังว่าแม่นางเจียงหลานยังมีฐานะเป็นเทพแห่งท้องทะเลอีกด้วย”
คำกล่าวของลู่อู๋แฝงความนัยบางอย่าง
“อืม…”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะออกคำสั่ง
“ตามความประสงค์ของข้า ขอให้ไป๋ชิวหราน แม่ทัพเทพใหญ่แห่งดินแดนตะวันออก และเจียงหลาน เทพโรคระบาด เข้าสู่พิธีแต่งงานตามฤกษ์ยามอันเหมาะสม ในขณะเดียวกันจะมอบภูเขาทองคำทั้งสามให้แก่แม่ทัพไป๋ รวมถึงปะการังหยกห้าชิ้นเป็นของขวัญแสดงความยินดี”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
เทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นตอบรับ
วันนี้จักรพรรดิสวรรค์และลู่อู๋ผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งสวรรค์ประสานลูกคู่ลูกรับไปในทิศทางเดียวกันเป็นอย่างดี เทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินด้านล่างยังคงคุกเข่าตลอดกระบวนการ ไม่กล้ากล่าวแย้งใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงลุกขึ้นยืนและรับพระราชโองการไปส่งต่อ หลังจากที่จักรพรรดิตะวันออกทรงออกคำสั่ง
เขารับช่วงต่อพระราชกฤษฎีกาที่ร่างขึ้นสำหรับไป๋ชิวหรานโดยพ่อบ้านใหญ่คนสนิทของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี จากนั้นจึงถือเป็นสิ้นสุดการกราบทูลรายงาน ส่งคำสั่งลงไปสู่อาณาจักรเบื้องล่าง
…
ภายในวิหารทางฝั่งดินแดนตะวันออก ไป๋ชิวหรานก้มศีรษะลงเล็กน้อย ฟังเสียงจากสวรรค์ที่เทพเจ้าหน้าน้ำเงินอ่านพระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิสวรรค์ พลันเกิดความรู้สึกประหลาดใจยิ่ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายหนุ่มครองตนอย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน จักรพรรดิสวรรค์องค์นี้เล็งเห็นจึงประทานการสมรสให้กับเขา แท้จริงแล้วคนผู้นั้นเป็นจักรพรรดิสวรรค์หรือผู้เฒ่าจันทรากันแน่?
ของกำนัลที่เป็นการแต่งงานในครั้งนี้แปลกประหลาดยิ่ง แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากบทบาทการแสดงภายนอกที่เขาจงใจปิดบังตัวตนก่อนหน้านี้ จักรพรรดิสวรรค์อาจพึงพอใจจนต้องการประทานรางวัลให้ ทว่ายังไม่ลืมคำกล่าวของเทพเจ้าใบหน้าน้ำเงินทั้งสองความว่า ‘เจียงหลานเป็นเศษเสี้ยวสายเลือดของราชวงศ์ในอดีต’
ดังนั้นตอนนี้ไป๋ชิวหรานจึงรู้สึกว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับเขา หากจะท้าทายจักรพรรดิสวรรค์อย่างเปิดเผย
ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากจักรวรรดิสวรรค์มอบหมายภารกิจต่าง ๆ ลงมา เขาได้เขียนภาพลงในหน้าตำราไปแล้วกว่าครึ่งเล่ม ซึ่งภาพเขียนที่ลงลายเส้นหมึกอย่างหนาแน่นนั้น ล้วนเป็นที่อาศัยของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่อ้างว่า ‘สังหาร’ ไปแล้วอย่างราบคาบ บรรดาเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีในโลกของตำราเล่มนี้
ชีวิตที่สาบสูญของคนเหล่านี้ทั้งหมด นับได้ว่าเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของตัวไป๋ชิวหรานเอง กอปรกับการที่เขาสังหารเทพสงครามผู้โหดเหี้ยมได้สำเร็จเมื่อเร็ว ๆ นี้ เห็นได้ชัดเจนว่าจักรพรรดิสวรรค์เริ่มไว้วางใจชายหนุ่ม
ถึงเวลานั้น เขาก็สามารถขึ้นไปสู่สวรรค์ สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเทพเจ้าองค์อื่น และสอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับสวรรค์ริษยารุ่นแรก
แม้ว่าตอนนี้ไป๋ชิวหรานจะอาศัยอยู่บนพื้นโลก แต่ใช่ว่าจะหลงลืมเรื่องการสืบถามเรื่องสวรรค์ริษยารุ่นแรกไปเสียแล้ว เพียงแต่ยุคสมัยนี้ เผ่าพันธุ์ทั้งหมดต่างตั้งถิ่นอาศัยแยกกันอย่างกระจัดกระจาย โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะดำรงชีพอยู่ภายในพื้นที่ขนาดเล็กดั้งเดิมเท่านั้น ไม่แน่ว่าสวรรค์ริษยารุ่นแรกอาจจะตายตกไปก่อนหน้าที่เขาจะมาถึงแล้วก็ได้ ดังนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับสวรรค์ริษยารุ่นแรกจึงไร้ซึ่งวี่แวว
นอกจากนี้เขายังถามไถ่จากเจียงหลานเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ในแหล่งอื่น ทว่าเจียงหลานกลับให้คำตอบเพียงว่านางไม่รู้จักการตั้งถิ่นฐานของเผ่ามนุษย์ในแหล่งอื่นอีก
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจักรพรรดิสวรรค์เพ่งเล็งว่าตนอาจมีแผนการร้ายอื่นแอบแฝง ไป๋ชิวหรานจึงเลือกที่จะยอมรับพระราชโองการจากจักรพรรดิสวรรค์นี้ไว้เป็นการชั่วคราว
หลังจากที่เทพเจ้าผู้รับหน้าที่ส่งต่อพระราชโองการก้าวเท้าออกจากวิหารไป ไป๋ชิวหรานก็เดินทางออกจากวิหารเพื่อมุ่งหน้าไปพบเจียงหลานที่กระท่อมที่โอบล้อมด้วยปราการเวท
เห็นได้ชัดว่านางเองก็เพิ่งได้รับพระราชโองการเช่นกัน เมื่อนางเห็นไป๋ชิวหรานสืบเท้าเข้ามาใกล้ สีหน้าของนางยิ่งหดหู่มากขึ้น
“เจ้ารับพระราชโองการไว้แล้วหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
เจียงหลานเพียงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคลายต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง นางจึงริเริ่มออกตัวก่อนว่า
“ข้าได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเจ้ามาบ้างแล้ว เทพเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนมากตัณหา… ขอเตือนล่วงหน้าไว้ก่อนว่าเราสองคนแต่งงานกันได้ แต่หลังแต่งงาน หากเจ้าบังอาจสัมผัสแตะต้องเนื้อตัวข้า เช่นนั้นข้าจะสู้กับเจ้าสุดใจขาดดิ้น”
ไป๋ชิวหรานได้แต่อ้าปากค้าง คิดว่านี่คงเป็นความผิดของเขาเอง ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงกัดฟันและกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พร้อมเอ่ยตอบ
“อย่ากังวลไปเลย ข้าเพียงไม่ต้องการฝ่าฝืนพระราชโองการจากจักรพรรดิสวรรค์ นอกจากนี้ สตรีร่างเล็กเช่นเจ้าไม่ใช่สตรีในแบบที่ข้าชื่นชอบ”
เขาหวนคิดถึงซูเซียงเสวี่ยครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“อืม… ข้าชอบสตรีที่มีความเป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยนมากกว่านี้”
เจียงหลานก้มหน้าลงพลางสูดเอาลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้กล่าวคำใดเพิ่มเติมสำหรับประเด็นสนทนาดังกล่าว ทว่าเพียงถามกลับ
“เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
“ใคร่มาเห็นกับตาว่าเจ้าจะปฏิเสธหรือไม่”
“เจ้าคิดว่าฐานะของข้ายังมีสิทธิ์ปฏิเสธอีกหรือ?”
เจียงหลานถามกลับ
“เปล่า”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า
“ข้ายังมีเรื่องอยากถาม ว่าเจ้าเข้าใจความหมายของการแต่งงานในครั้งนี้เป็นอย่างไร?”
“ความหมายงั้นหรือ?”
เจียงหลานแค่นเสียงเย้ยหยัน
“แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นการที่เจ้าจะริบเอาฐานะหน้าที่ที่เคยเป็นของข้าไป”