ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 176 ปลายสุดเขตแดนตะวันออก
คืนวันแต่งงาน ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานนอนอยู่ร่วมห้องหอเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มไม่คิดทำสิ่งใดเกินเลยกับเจียงหลานดังที่ลั่นวาจาไว้ ความเป็นจริงแล้ว… ช่วงค่ำคืนอันยาวนานนี้ ไป๋ชิวหรานได้ชี้แนะเจียงหลานถึงสิ่งที่เขารับรู้
ด้วยพรสวรรค์ส่วนตัวของลี่ ทั้งปราณกระบี่และเคล็ดวิชาอื่น ๆ ชายหนุ่มเพียงฝึกสอนให้ครั้งเดียวเท่านั้นด้วยความเงียบ แล้วให้เจ้าเด็กคนนั้นเข้าใจด้วยตนเอง ทว่าเวทคาถาที่เทียบกับการใช้ภาษาอื่นในการร่ายคาถา… นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถฝึกสอนให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น
หากเขาเขียนอักขระลงบนแผ่นหินให้อีกฝ่ายอ่านดู เกิดอีกฝ่ายไม่ทราบถึงความหมาย มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากยันต์ปีศาจไร้ค่า
ดังนั้นการชี้แนะเคล็ดลับต่าง ๆ ทางอ้อมผ่านเจียงหลานจึงเป็นสิ่งที่สะดวกกว่ามาก หลังจากการพบกันครั้งล่าสุด ไป๋ชิวหรานได้ขอร้องให้เจียงหลานช่วยฝึกสอนในนามของเขา โชคดีที่ลี่ไม่เกิดข้อสงสัยอะไรมากไปกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม ค่ำคืนนี้ไป๋ชิวหรานยังได้พยายามแสดงให้เจียงหลานเห็นเกี่ยวกับภาพจำลองโครงสร้างโลกของเทพเจ้า ที่คัดลอกมาจากซากปรักหักพังของจักรวรรดิสวรรค์มากมายนับไม่ถ้วนในยุคสมัยหลายพันปีต่อมา โดยหวังว่าบางทีนางอาจช่วยวิเคราะห์ได้ แต่ปรากฏว่าทันทีที่หยิบสิ่งนั้นออกมา… ชายหนุ่มกลับถูกวิถีสวรรค์ปิดกั้นอีกครั้ง!
หลังจากเพียรพยายามหลายต่อหลายครั้ง ไป๋ชิวหรานจึงใช้วิธีสลายอักขระที่ก่อรวมขึ้นเป็นโครงสร้างเหล่านั้นทีละตัว ก่อนจะแสดงให้เจียงหลานได้รับชม และในที่สุดเขาก็จะไม่ถูกวิถีสวรรค์ปิดกั้นอีก
“นี่คือคัมภีร์เทพ”
เจียงหลานพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าได้รับสารเหล่านี้มาจากไหนกัน?”
“เรื่องได้รับมาจากไหน ข้ายังบอกไม่ได้”
ชายหนุ่มตอบกลับ
“สารเหล่านี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“นี่คือสารที่เผ่าเทพใช้เพื่ออธิบายกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ อย่าว่าแต่เผ่ามนุษย์เลย แม้แต่เทพเจ้าด้วยกันเองยังไม่สามารถทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้”
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง เจียงหลานจึงอธิบายว่า
“เทพเจ้าแต่ละองค์จะเข้าใจเพียงคัมภีร์เทพที่ตนเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าเคยได้ยินมาว่าภายใต้การอุปถัมภ์ของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี บางครั้งจักรวรรดิสวรรค์ได้จัดพิธีขึ้นเพื่อรับคัมภีร์เทพ ทว่าไม่มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จึงไม่อาจรู้ได้ว่าสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยข้าแยกส่วนคัมภีร์เทพเหล่านี้เพื่อวิเคราะห์ได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“ย่อมได้ เป็นการตอบแทนที่เจ้าชี้แนะข้ามามากมาย”
เจียงหลานขมวดคิ้วพร้อมกล่าว
“ทว่าข้าทำความเข้าใจได้เพียงเนื้อความที่เกี่ยวกับเวทคาถาพิษ โอสถรักษาโรค การเกษตรกรรม และท้องทะเลเท่านั้น”
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าก่อนจะกล่าวต่อไป
“เจ้าเพียงต้องเสาะหาเบาะแสให้กับข้า จากนั้นข้าจะจัดการในส่วนที่เหลือเอง”
คู่สามีภรรยาในนามจึงชี้แนะและช่วยเหลือไตร่ตรองกันในห้องหอนี้ เจียงหลานสอนให้ไป๋ชิวหรานทำความเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์เทพของตัวนางเอง ซึ่งทำให้เขาพอจะคลี่คลายเงื่อนงำภายในโครงสร้างของคัมภีร์เทพที่วิถีสวรรค์ทิ้งไว้ในเวลาหลายพันปีหลังจากนี้ ถัดมา ชายหนุ่มก็สอนเจียงหลานให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับอักขระและเวทพื้นฐาน โดยหวังว่านางจะถ่ายทอดต่อไปยังเผ่ามนุษย์ในนามของเขาได้
หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่น ทั้งสองก็อาศัยอยู่ร่วมกันในวิหารอย่างชื่นมื่น เหตุการณ์ดังกล่าวจึงกลายเป็นความรักที่น่าอิจฉายิ่งในสายตาของผู้เฝ้ายามที่จักรพรรดิสวรรค์ส่งให้มาคอยจับตามอง
ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต่างตระหนักเป็นอย่างดีว่าไป๋ชิวหรานนั้นแข็งแกร่งทั้งยังทรงพลังยิ่ง ฉะนั้นจึงไม่กล้าสังเกตล้วงลึกถึงเบื้องหลังของทั้งสองมากนัก และทำได้เพียงติดตามสังเกตการณ์จากระยะไกลเท่านั้น
หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป ร่ำลือกันว่าจักรพรรดิสวรรค์องค์ปัจจุบันเช่นจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ได้จัดงานเลี้ยงสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกงานหนึ่งทันที ซึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเผ่าพันธุ์อื่นได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
…
ระยะเวลาหลายปีผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากแต่งงานกับเจียงหลานแล้ว ไป๋ชิวหรานก็ยิ่งได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิสวรรค์มากขึ้น ทำให้สามารถเข้านอกออกในไปมาภายในปราสาทสวรรค์ได้สำเร็จ เขาใช้พลังอำนาจและสมบัติมหาศาลที่จักรพรรดิสวรรค์เป็นผู้มอบให้เพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับเหล่าทวยเทพในจักรวรรดิสวรรค์ หวังทราบเบาะแสของสวรรค์ริษยารุ่นแรก
อีกทั้งยังแอบอ้างเหตุผลในการติดตามเจียงหลานไปทำภารกิจต่าง ๆ ทำให้ช่วงเวลานี้เขามีโอกาสได้ไปเยี่ยมถิ่นฐานที่ตั้งของเผ่ามนุษย์ทั่วทั้งดินแดนตะวันออก
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มต้องผิดหวังกับผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เหล่านี้ล้วนมีพรสวรรค์อันน่าตื่นตา ทว่าไม่มีมนุษย์คนใดเลยที่มีลักษณะเหมือนกับตน หรือมีแรงริษยาอย่างไร้ขอบเขตเกิดขึ้นในคฤหาสน์ม่วงในร่างกายของพวกเขาเหล่านั้น
ไป๋ชิวหรานได้ยินมาว่ายังมีเผ่ามนุษย์อื่นอาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รวมไปถึงเหนือหมู่เกาะทางฝั่งใต้สุดของมหาสมุทร ชายหนุ่มจึงเดินทางไปเยือนสถานที่เหล่านี้ และเมื่อไปถึงก็ได้พบกับเทพเจ้าอีกหลายองค์ที่คอยปกป้องดินแดนเช่นเดียวกับเขา
มนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหล่งนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่ครอบครองสรีระสวรรค์ริษยา แม้แต่แหล่งตั้งถิ่นฐานบางแห่งยังไม่ใช่เผ่ามนุษย์แต่อย่างใด ทว่ามีบางเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับเผ่ามนุษย์มาก
เรื่องนี้ทำให้ไป๋ชิวหรานผิดหวัง ถึงกระนั้นก็ยังไม่หยุดที่จะเสาะหาข่าวคราวของสวรรค์ริษยารุ่นแรกต่อไป ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นพลิกแผ่นดินหาทั่วทุกมุมโลก แต่เกิดลางสังหรณ์บางอย่างว่าสวรรค์ริษยารุ่นแรกจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้!
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ละเลยการฝึกสอนลี่โดยชี้แนะผ่านเจียงหลาน ตอนนี้ลี่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการเคลื่อนไหว รวมถึงเวทคาถาพื้นฐานแห่งโลกการฝึกตนในยุคสมัยของไป๋ชิวหรานแล้ว
หลังจากการถือกำเนิดของวิธีฝึกตนขั้นสูง มีผู้ฝึกตนมากกว่าสิบถึงยี่สิบคนในหมู่บ้านที่บรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ด้วยการฝึกสอนเคล็ดวิชาเหล่านี้ ทำให้สถานะของเด็กหนุ่มในหมู่บ้านยิ่งเป็นที่น่าเคารพศรัทธาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ไป๋ชิวหรานรับรู้จากเจียงหลานว่าตัวนางเริ่มสนิทสนมกับบุตรสาวของผู้นำเผ่ามนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และคาดว่าในที่สุดทั้งสองฝ่ายอาจจะสามารถเชื่อมสัมพันธ์กันได้ในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ลี่ก็เป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น หลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายปี ดูเหมือนว่าเขาจะบรรลุถึงระดับสูงสุดของขั้นสร้างรากฐานแล้ว!
ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงอาศัยประโยชน์จากเจียงหลานเพื่อกลับมายังกระท่อม ก่อนจะรวบรวมวัสดุและเรียกหาลี่ เวลานี้เขาพร้อมแล้วที่จะชี้แนะให้เด็กหนุ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับการบรรลุไปสู่ขั้นขอบเขตแกนทองคำ
สถานที่แห่งนั้นยังตั้งอยู่ที่เดิม หลังจากนั้นไม่นาน ลี่ก็ตามมาพบไป๋ชิวหรานที่บริเวณริมแอ่งน้ำเช่นทุกครั้ง ทว่าคราวนี้ มีลิงน้อยตัวหนึ่งที่มีขนสีหมองหม่นห้อยโหนอยู่บนบ่าด้วย
“เจ้านิยมเลี้ยงสัตว์ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นเจ้าลิงน้อย ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยทักทายด้วยความขบขัน
“เมื่อสองสามวันก่อนข้าออกไปล่าสัตว์ เห็นเจ้าลิงตัวนี้ถูกเสือไล่ล่าเข้า ข้าจึงฆ่าเสือทิ้งซะ ก่อนจะพาเจ้าลิงน้อยกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อช่วยรักษาบาดแผลของมันด้วยสมุนไพรที่ภรรยามีอยู่ หลังจากนั้นมันก็เอาแต่ตามติดตลอดเวลา”
จากนั้นลี่จึงเอ่ยถามด้วยความเขินอายเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์ ท่านอนุญาตให้มันฟังบรรยายพร้อมกันกับข้าได้หรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ไป๋ชิวหรานลอบกล่าวในใจว่าคงไม่มีผู้ใดนอกจากเจ้าแล้วที่เข้าใจวิธีการฝึกสอนของข้า… จากนั้นชายหนุ่มจึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีกฝ่ายตามสมควร ก่อนจะยืนขึ้นพร้อมเอ่ย
“เจ้ามองไปยังแอ่งน้ำนั่นสิ”
ไม่พูดพล่ามเรื่องไร้สาระจนเกินควรไปนัก เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็เข้าสู่สภาวะนิ่งฟังในทันที ขณะที่ไป๋ชิวหรานเริ่มควบคุมกระแสน้ำในแอ่ง ก่อนจะทำให้มันค่อย ๆ กลั่นตัวเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเล็กกลางอากาศ
ครั้นเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ลี่เริ่มสับสนมึนงงอีกครั้ง ก่อนจะเข้าสู่ภวังค์สมาธิเพื่อทำความเข้าใจ ด้วยท่าทางที่ทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกอิจฉาและริษยายิ่ง!
แต่เมื่อเห็นภาพนั้นบ่อยครั้งเข้า เขารู้สึกชินชาไปเสียแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาที่ลี่กำลังพยายามทำความเข้าใจ ชายหนุ่มจึงทำเพียงนั่งลงบนก้อนหินด้านข้าง เพื่อเฝ้ามองและดูแลความปลอดภัยของเด็กหนุ่ม
เจ้าลิงน้อยที่อีกฝ่ายพาติดกายมาด้วยเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย มันวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้เพื่อหยิบกิ่งไม้สักสองสามอันขึ้นมาและเริ่มเล่นกับตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เจียงหลานที่ตระเตรียมวัตถุดิบของตนเสร็จแล้วก็ตามมาถึงที่นี่เช่นกัน เมื่อเห็นลี่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างแอ่งน้ำ นางก็เข้าใจในทันที แล้วค่อย ๆ สืบเท้าเข้ามาที่ด้านข้างของไป๋ชิวหราน ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม
ทั้งสองพร้อมใจกันไม่กล่าวคำใดโดยปริยาย รอจนกว่าลี่จะสามารถทำความเข้าใจ ทว่าหนนี้กว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจในการบรรลุขั้นขอบเขตแกนทองคำอย่างถ่องแท้… ก็กินเวลาไปจนกระทั่งฟ้ามืดสนิท
“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
อีกฝ่ายโค้งคำนับไป๋ชิวหราน
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
พรสวรรค์ของเจ้าลูกศิษย์ชั่วคราวผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าถังรั่วเวยที่เป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงของเขาเสียอีก ขณะมองดูศิษย์… ไป๋ชิวหรานทั้งรู้สึกยินดีระคนไม่พอใจในเวลาเดียวกัน ก่อนจะโบกมือเบา ๆ
“เสร็จสิ้นทุกสิ่งแล้วก็กลับไปเสียเถอะ ฟ้ามืดแล้ว หากไม่เร่งรีบกลับไป ผู้คนในหมู่บ้านอาจคิดว่าข้ากินเจ้าเข้าไปเสียแล้ว”
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านอาจารย์กับอาจารย์หญิงแล้ว”
หลังบอกลา ลี่จึงพาเจ้าลิงน้อยที่มีสภาพเหนื่อยล้ากลับไปยังหมู่บ้าน ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ทำให้เขากล้าหาญพอที่จะเดินทางกลับด้วยตัวคนเดียวในยามค่ำคืนเช่นนี้
ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานจ้องมองเด็กหนุ่มไม่ให้คลาดสายตา จนกระทั่งเขาเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นทั้งสองก็หันหลังกลับเตรียมเดินทางกลับสู่วิหาร
ระหว่างทาง เจียงหลานถามชายหนุ่มว่า
“ข้าได้ยินมาว่าที่ผ่านมาเจ้าได้เดินทางไปพบกับแม่ทัพเทพตะวันตกเจิ้นหยวน ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสไปเยี่ยมเผ่ามนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางทิศตะวันตก เป็นอย่างไรบ้าง? พบคนที่กำลังตามหาแล้วหรือยัง?”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไป๋ชิวหรานคอยปิดบังเจตนาที่แท้จริงไม่ให้เป็นที่ประจักษ์อยู่ตลอด ขณะที่เจียงหลานที่อยู่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดก็รู้ดีว่าเขากำลังตามหาเผ่ามนุษย์บางคน
“ยังไม่พบ”
เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้ ไป๋ชิวหรานพลันโคลงศีรษะด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย พลางถอนหายใจ
“ยังไม่มีพบเงื่อนงำเลยแม้แต่น้อย”
“เหตุใดเจ้าถึงดูหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาคนจากเผ่ามนุษย์ผู้นั้นนัก?”
เจียงหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยถาม
“เผ่ามนุษย์ผู้นั้นมีความสำคัญต่อเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“แน่นอน เขาไม่เพียงสำคัญต่อข้าผู้เดียว แต่ยังสำคัญต่อมนุษยชาติอีกด้วย”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“มีสองสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะพิเศษแฝงอยู่ในเผ่ามนุษย์ บางทีอาจพบหนึ่งคนแล้ว และหากตามหาจนพบอีกคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าเผ่ามนุษย์อาจผงาดแกร่งกล้าขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีสถานะเป็นผู้ช่วยเหลือ ซึ่งข้าต้องการให้เขาชี้แนะนำทางบางอย่างสำหรับตัวข้าเองในอนาคต”
“เจ้าคิดว่าหนึ่งในผู้ที่เจ้าตามหาใช่ลี่หรือไม่… ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ช่างคล้ายคลึงกับภาพลวงตายิ่งนัก เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ข้าคิดว่าตัวเจ้าเปรียบเสมือนผู้กอบกู้เผ่ามนุษย์เสียมากกว่า”
เจียงหลานถอนหายใจ
“เพราะท้ายที่สุด เขาก็สามารถเรียนรู้สิ่งที่เจ้าฝึกสอนผ่านทั้งทางตรงและทางอ้อม”
“ข้าไม่เก่งกาจถึงเพียงนั้นหรอก”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้าและเอ่ยต่อไป
“สิ่งที่ชี้แนะให้แก่เขา… เป็นสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะข้ามาอีกทีหนึ่ง”
“เอาเถิด เช่นนั้นก็ทำตามความประสงค์ของเจ้าต่อไป”
เจียงหลานถอนหายใจอีกครั้ง
“ทว่าเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลก เจ้าเองน่าจะค้นหาจนทั่วแล้วใช่หรือไม่? ข้าสังเกตการณ์เผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะทางทิศใต้ ในเมื่อสถานที่แห่งนั้นไม่มีผู้ที่เจ้ากำลังตามหา เช่นนั้น อาจจะเหลือเงื่อนงำสุดท้ายในอีกสถานที่แห่งหนึ่ง”
“คือที่ใดหรือ?”
“ปลายสุดเขตแดนตะวันออกของโลก สถานที่พำนักของเทพดวงอาทิตย์ มีอีกหมู่เกาะหนึ่งที่อาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง ไม่แน่ว่าอาจมีเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่บนนั้น เจ้าสามารถเดินทางไปตามหาได้”