ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 178 เบาะแสของสวรรค์ริษยารุ่นแรก
หลังจากพูดคุยกับซีเหอเกี่ยวกับเรื่องราวของเจียงหลานมาสักระยะหนึ่ง จากนั้นภายใต้การชี้แนะของมารดาแห่งดวงอาทิตย์ ไป๋ชิวหรานจึงอาศัยความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อลงมาจากยอดไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางสู่รากเบื้องล่าง ระบบรากของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางหยั่งลึกลงไปในมหาสมุทร ทว่ายังมีช่องว่างเหนือพื้นผิวทะเลอยู่บ้าง และในบรรดาช่องว่างเหล่านั้น พื้นที่บางส่วนก็มีขนาดกว้างขวางมากพอที่จะรองรับระบบนิเวศอื่นในมหาสมุทร การที่มีหมู่เกาะซ่อนอยู่จึงนับว่าปกติมาก
ตามคำชี้แนะของซีเหอ ไป๋ชิวหรานก็พบหมู่เกาะที่ซ่อนอยู่ใต้รากไม้ของต้นฝูซาง ซึ่งมีเกาะขนาดใหญ่ทั้งหมดสี่เกาะด้วยกัน พวกมันอัดกันอยู่ในพื้นที่มืดสลัว แสงสว่างจากอีกาทองสามขาสาดส่องลงมาไม่ถึงที่แห่งนี้ จึงทำให้เป็นเวลากลางคืนตลอดทั้งปี
ถึงกระนั้นก็ยังมีพืชบางชนิดที่ไม่ต้องการการสังเคราะห์แสงแต่อย่างใด ทั้งยังเจริญงอกงามดีบนเกาะนี้ อีกทั้งพืชบางชนิดยังเปล่งแสงสลัวท่ามกลางความมืด ให้ความสว่างแก่บริเวณโดยรอบ
รอบเกาะกลางมหาสมุทรล้อมรอบไปด้วยรากของต้นชบา เมื่อมองจากมุมนี้จึงสามารถมองเห็นอสูรทะเลยักษ์น่ากลัวบางตัวลอยขึ้นลงอยู่ที่กลางท้องทะเลอย่างชัดเจน ชายหนุ่มร่อนลงทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ ก่อนจะเลาะเลียบไปตามมุมล่างซ้าย ซึ่งเป็นทางตรงไปยังเกาะแห่งนั้น และคืบเข้าใกล้ฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปเรื่อย ๆ
กระทั่งเดินลึกเข้าไปจนเกือบสุดทาง พื้นที่โดยรอบกลับกลายเป็นมืดสนิท ภายในความมืดมิดได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบเท่านั้น
หลายครั้งที่สิ่งมีชีวิตที่กินเนื้อรูปลักษณ์แปลกประหลาดพยายามเข้าโจมตีไป๋ชิวหราน ทว่าเขาสามารถจัดการกับพวกมันและเก็บซากบางส่วนไว้ตรวจสอบ… พบว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาจกลายพันธุ์มาจากสัตว์อสูรที่พบเห็นได้ทั่วไปบางชนิดบนเกาะแห่งอื่น
การอาศัยอยู่ในพื้นที่มืดมิดแห่งนี้ตลอดทั้งปี ทำให้สายตาของพวกมันเสื่อมโทรมลง บางตัวถึงกับไม่มีอวัยวะภายในนัยน์ตาเลยด้วยซ้ำ ทว่าประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการได้ยินและการรับกลิ่นกลับพัฒนาขึ้นในทางตรงข้าม ราวกับว่าธรรมชาติทำให้ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
เกาะนี้ไม่กว้างใหญ่เกินไปสำหรับไป๋ชิวหราน ในไม่ช้าเขาก็เดินทางไปถึงทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ ขณะที่เดินผ่านหุบเขาในป่าที่มีพืชพรรณแปลกตาขึ้นอยู่แน่นขนัด จู่ ๆ ฝ่าเท้ากลับเหยียบเข้ากับกับดักที่เผ่ามนุษย์สร้างขึ้น!
ขณะที่เชือกที่ทำมาจากเถาวัลย์ขาดผึ่ง เสาหินขนาดใหญ่ที่เหลาปลายจนแหลมคมก็เหวี่ยงออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้าง กระแทกเข้ากับร่างกายของไป๋ชิวหรานเสียงดังลั่น ก่อนที่หินทั้งหมดจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการปัดป้องของเขาในทันที
หลังจากที่กับดักถูกกระตุ้น เสียงร้องแปลก ๆ พลันดังขึ้นจากต้นไม้ที่อยู่เหนือหุบเขาทั้งสองด้าน พร้อมกันกับแสงสลัวที่เปล่งประกายออกมานับไม่ถ้วน พืชบางประเภทที่สามารถใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสงบนเกาะใต้ต้นไม้สีเข้มถูกโยนลงมาจากเหนือศีรษะของไป๋ชิวหราน ตามด้วยหอกหินมากมายที่ผูกกับหินพุ่งหลาวออกมาจากต้นไม้โดยรอบ เล็งไปยังเป้าหมายเดียวกันคือไป๋ชิวหราน!
หอกหินพุ่งทิ่มแทงไป๋ชิวหรานไม่สำเร็จ ทั้งยังกระเด็นกระดอนเด้งออกไปอย่างไร้ประโยชน์ หอกหลายเล่มถูกแรงกระแทกย้อนกลับรุนแรงจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กลับกันชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม กวาดสายตามองไปโดยรอบโดยไม่แยแสต่อแสงสลัวรอบกาย จากนั้นจึงมองเห็น ‘นายพราน’ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ในที่สุด
คนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์… คงจะเป็นคนของเผ่ามนุษย์ไม่ผิดแน่ เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับเผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกภายนอก พวกเขากลับมีรูปลักษณ์เตี้ยล่ำยิ่งกว่า แขนขาเรียวลีบ ผิวกายซีดเผือดประหนึ่งไร้เลือดฝาดหล่อเลี้ยง
เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ธรรมชาติได้พัฒนาในบางจุดเพื่อให้ปรับตัวเข้ากับพื้นที่ใต้ดินแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งวิธีการล่าสัตว์ยังไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์ภายนอก
ไป๋ชิวหรานยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่หลังจากถูกโจมตีโดย ‘มนุษย์’ พวกเขาก็กรูกันเข้ามาล้อมรอบชายหนุ่มพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ครั้นคนเหล่านั้นมองเห็นไป๋ชิวหรานอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ท่าทีก็แปรเปลี่ยนไป
หลังจากเห็นการปรากฏตัวของไป๋ชิวหราน ฝูงชนพลันเกิดความตื่นเต้นกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด พวกเขาพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ จากนั้นก็โยนอาวุธในมือทิ้งลงพื้น แล้วโค้งคำนับให้กับชายหนุ่มทันที
“เหตุใดแปรเปลี่ยนท่าทีกันกะทันหันเช่นนี้เล่า?”
กลับกลายเป็นไป๋ชิวหรานเสียเองที่รู้สึกสับสน
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าสรีระสวรรค์ริษยาของข้ามีพลังอำนาจเหนือกว่าพวกเขา?”
“เจ้าไปรับเอาแนวคิดพลังอำนาจของสวรรค์ริษยามาจากไหนกัน? หากมีอยู่จริงพวกเขาจะจ้องสังหารเจ้าแต่แรกรึ?”
จื้อเซียนที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวและไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน โพล่งขึ้นเป็นเชิงบ่น
“ดูจากการกระทำของพวกเขาแล้ว… คงจะมีสิ่งใดแอบซ่อนอยู่เป็นแน่”
หลังจากโค้งคำนับกันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ใครบางคนในกลุ่มก็ยืดตัวตรง บ่นพึมพำบางอย่างกับไป๋ชิวหราน แล้วชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
“เขาขอให้เจ้าติดตามเขาไป”
จื้อเซียนแปล
“เจ้าเข้าใจภาษาของพวกเขาด้วยงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าแปลความให้เข้าใจด้วยภูมิปัญญาที่มี”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ตามไปเถิด อยากรู้นักว่าพวกเขามีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร”
แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ทว่าคนเหล่านี้กลับมีฝีเท้าการวิ่งที่รวดเร็วยิ่ง แต่สำหรับไป๋ชิวหรานแล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะติดตามไปให้ทัน เขาเดินตามคนเหล่านี้ไปจนสุดทาง จนมาถึงที่ราบสูงบริเวณริมชายฝั่ง คนเหล่านั้นยังให้ชายหนุ่มก้าวตามต่อไปพร้อมกัน เขาและจื้อเซียนต่างประหลาดใจที่มีกำแพงหินตั้งอยู่บนที่ราบสูงนั่น
กำแพงดังกล่าว แม้จะมีขนาดเล็กกว่าทั่วไปอยู่สักหน่อย ทว่ามันก็ถูกก่อสร้างขึ้นด้วยภูมิปัญญาที่ล้ำหน้าไม่น้อยสำหรับยุคสมัยนี้ แม้แต่หมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ที่ครึกครื้นที่สุดในดินแดนตะวันออก ยังใช้เพียงท่อนไม้ปลายแหลมเพื่อเป็นกำแพงกั้น และเสริมความหนาเพียงสองชั้น
ขณะติดตามคนกลุ่มนี้ไปเรื่อย ๆ ไป๋ชิวหรานได้เดินผ่านเข้าไปในเขตหมู่บ้าน ภายในหมู่บ้านมีคนจำนวนมากที่มีผิวกายสีซีดเผือดคล้ายคลึงกัน ทั้งยังมีรูปร่างเตี้ย เมื่อพวกเขาเห็นไป๋ชิวหรานเดินผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็เดินออกจากที่พักอาศัยของตนเอง และหันไปกระซิบพูดคุยกันด้วยสีหน้ายินดี จากนั้นจึงโค้งคำนับให้ชายหนุ่ม…
“พวกเขาต่างเรียกเจ้าว่าท่านเทพ”
จื้อเซียนกล่าวด้วยเสียงต่ำ
ไป๋ชิวหรานเดินตามชายผิวขาวร่างจ้อย จนสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายพาตนเองไปยังจุดศูนย์กลางของหมู่บ้าน
ที่แห่งนั้นมีรูปปั้นหินที่ปั้นขึ้นอย่างวิจิตรงดงามตั้งอยู่ รูปปั้นหินนั้นเป็นชายในชุดเกราะคนหนึ่งแขวนกระบี่ไว้ตรงบั้นเอว อยู่ในท่าทางที่กำลังทอดสายตามองลงมาจากระยะไกล
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภูมิปัญญาที่มนุษยชาติสามารถคิดค้นขึ้นได้เองในยุคสมัยนี้อย่างแน่นอน!
ไป๋ชิวหรานมองขึ้นไปยังรูปปั้นหินด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด
ผู้ที่นั่งอยู่ใต้รูปปั้นหินเป็นหญิงชราผู้มีผิวกายซีดขาว บริเวณลำคอปกคลุมไปด้วยสร้อยที่นำเขี้ยวของสัตว์มาร้อยต่อกัน ทันทีที่นางมองเห็นไป๋ชิวหราน ร่างกายพลันสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มรีบคว้าหัวกะโหลกจื้อเซียนชูขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ยกมันขึ้นให้หันหน้าไปทางรูปปั้นหิน แล้วเอ่ยถาม
“จื้อเซียน คนผู้นั้นเป็นใครกัน?”
จื้อเซียนเหลือบมองไปเพียงครู่ ก่อนจะร้องตะโกนออกมา
“เป็นเขานั่นเอง! ร่างกายของชายผู้นี้ถูกวิถีแห่งสวรรค์ปิดกั้นไว้ เขาคือผู้ครอบครองสรีระสวรรค์ริษยาคนแรก!”
ลมหายใจของไป๋ชิวหรานเริ่มถี่กระชั้นขึ้น ชายหนุ่มหันศีรษะของจื้อเซียนไปทางหญิงชรา พร้อมกล่าวกระตุ้น
“เร็วเข้า จื้อเซียน ถามนางว่าชายผู้นั้นอยู่ที่ใดในตอนนี้?”
จื้อเซียนรีบกล่าวกับหญิงชราโดยไม่รอช้าเช่นกัน การเห็นหัวกะโหลกพูดได้ทำให้หญิงชราตกใจกลัวเสียจนแทบสิ้นสติ แต่หลังจากกล่าวพึมพำต่อไปไม่กี่ครั้ง จื้อเซียนก็ทำให้หญิงชราสงบสติอารมณ์ลงได้ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่เป็นนาน ก่อนที่จื้อเซียนจะนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่กว่าจะกล่าวอะไรออกมา
“จากข้อมูลของเผ่ามนุษย์เหล่านี้ ไม่แน่ว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีอาจรู้ถึงตัวตนจริงของสวรรค์ริษยาอยู่แล้วก็เป็นได้”
มันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“พึงระวังให้ดี แท้ที่จริงแล้วเขาอาจไม่เคยวางใจเจ้ามาตั้งแต่แรก”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“ตามคำกล่าวของหญิงชรานางนี้ สรุปใจความได้ว่าพวกเขาเคยอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก ทว่าได้รับความทุกข์ทรมานจากเผ่าปีศาจ ต่อมา ‘เทพเจ้า’ องค์นี้ก็สามารถเอาชนะปีศาจเหล่านั้นได้ ก่อนจะพาอพยพมายังที่แห่งนี้เพื่อช่วยเหลือให้มีถิ่นอาศัยใหม่ หลังจากนั้น ‘เทพเจ้า’ ก็จากไปเพียงลำพัง ดำดิ่งลึกลงไปในท้องมหาสมุทร แต่พวกเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ‘เทพเจ้า’ จะกลับมาที่นี่เพื่อนำทางอีกครั้ง”
จื้อเซียนกล่าว
“ซึ่ง ‘เทพเจ้า’ ที่เรียกขาน คงหมายถึงสวรรค์ริษยารุ่นแรก ส่วนปีศาจที่ว่าอาจหมายถึงพวกเผ่าเทพ เป็นไปได้ว่าความดุร้ายป่าเถื่อนของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีที่มีต่อเผ่ามนุษย์อาจไม่ใช่เพียงรสนิยมส่วนตัวของตัวจักรพรรดิเท่านั้น แต่มีแนวโน้มสูงว่าเขาต้องการตามกำจัดชายผู้นี้ด้วย”
ไป๋ชิวหรานหวนนึกถึงคำเตือนของจื้อเซียนเมื่อครู่ขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อไป
“แล้วสวรรค์ริษยาคนแรกเขาหายไปหลบอยู่แห่งหนใดกัน?”
“พื้นที่แห่งนี้ถือเป็นปลายสุดเขตแดนตะวันออกของโลกแล้ว หากเจ้าต้องการดำดิ่งลงสู่ทะเลลึกเพื่อตามหาเขา เกรงว่าคงพบเจอแต่เพียงซากปรักหักพังหวนคืน*[1] เท่านั้น”
[1] ซากปรักหักพังหวนคืน หรือกวยซือ สถานที่แห่งหนึ่งในตำนานขุนเขาและทะเลของจีน