ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 179 ซากปรักหักพังหวนคืน
สถานที่ที่เรียกกันว่าซากปรักหักพังหวนคืนอยู่ที่ใดกันแน่ แม้แต่สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในยุคเผ่าเทพยังไม่อาจล่วงรู้ เทพเจ้าเองก็ทราบเพียงตำนานบอกเล่าว่าในจุดสุดปลายขอบโลกและมหาสมุทร การโคจรของทางช้างเผือกอาจทำให้เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ทว่าแหล่งน้ำในบริเวณซากปรักหักพังหวนคืนกลับไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงแม้แต่จุดเดียว
นอกจากนี้ยังมีเทพเจ้าบางองค์ที่เชื่อกันว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งขี่เต่ายักษ์ เป็นผู้สร้างอาณาจักรอันรุ่งโรจน์แห่งนั้น
แต่ไป๋ชิวหรานกลับรู้ว่าผู้ใดบ้างที่อาจจะรู้ตำแหน่งที่ตั้งของซากปรักหักพังหวนคืน
ในโลกยุคสมัยนี้ อีกาทองสามขาผู้เป็นเทพดวงอาทิตย์ พาดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกในทุก ๆ วัน ซึ่งจะโผล่พ้นขึ้นจากต้นชบาทางฝั่งทิศตะวันออกในตอนเช้า คล้อยตกลงลับด้านหลังยอดไม้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางทางทิศตะวันตกในตอนกลางคืน ทว่าในยุคสมัยหลังจากนี้ เมื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหยุดการเจริญเติบโต ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์จะขึ้นจากขอบฟ้าอันเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังหวนคืนทุกวัน และคล้อยตกลงสู่ซากปรักหักพังหวนคืนอีกครั้ง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘มารดาแห่งดวงอาทิตย์ซีเหอ’ ผู้มีฐานะเป็นมารดาของอีกาทองสามขาเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ย่อมต้องรู้อะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มตอบรับการต้อนรับของผู้คนในหมู่บ้าน มนุษย์ผิวขาวซีดร่างเล็กเหล่านี้ ต่างนำอาหารอย่างดีที่สุดเท่าที่จะสรรหามาได้มามอบให้เขา
ทว่าความเป็นจริงแล้ว อาหารเหล่านั้นเป็นเพียงเนื้อสัตว์ย่าง รวมถึงน้ำแกงที่มีรสชาติบางเบาเนื่องจากไม่ผ่านการปรุงรสใด ๆ
ตามมารยาทที่พึงกระทำ ไป๋ชิวหรานจึงชิมอาหารทั้งหมดอย่างละนิดละหน่อย แล้วแจกจ่ายที่ส่วนเหลือให้พวกเขา ทั้งยังได้เข้าป่าไปล่าเหยื่อเป็นจำนวนมากมอบให้กับคนเหล่านี้ในนามของ ‘เทพเจ้า’ เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนที่ช่วยเหลือตนในการตามหาเบาะแสของสวรรค์ริษยารุ่นแรกจนพบ
ต่อมา ชายหนุ่มได้สื่อสารกับหญิงชราผ่านจื้อเซียน ให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเป็นการชั่วคราว ก่อนจะกล่าวคำอำลา
เขาไม่มีความคิดที่จะพามนุษย์เหล่านี้ให้ออกมาอาศัยอยู่ในโลกภายนอก สำหรับยุคสมัยปัจจุบัน การที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นฝูซางแห่งนี้ ยังดีเสียกว่าออกไปสู่โลกภายนอกและถูกกดขี่ภายใต้การปกครองโดยเผ่าเทพอย่างโหดร้าย
หลังจากกลับไปยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางด้วยพลังอำนาจของซีเหออีกครั้ง ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถามนางเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของซากปรักหักพังหวนคืนทันที
“ซากปรักหักพังหวนคืนงั้นหรือ?”
ซีเหอถามกลับด้วยความลังเล
“เหตุใดแม่ทัพไป๋ถึงเอ่ยถามถึงเรื่องนี้เล่า?”
“เผ่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ภายใต้ต้นฝูซางให้เบาะแสกับข้า ซึ่งบุคคลที่ข้ากำลังตามหาอาจอยู่ในที่แห่งนั้น”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“เทพธิดาซีเหอ เรื่องนี้สำคัญสำหรับข้าและหลานเอ๋อร์มาก”
“ข้าเชื่อในวิสัยทัศน์ของหลานเอ๋อร์”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซีเหอจึงพยักหน้าพร้อมตอบรับ
“ข้าจะขอให้บุตรของข้าพาเจ้าไปที่นั่น ทว่าการเดินทางไปยังซากปรักหักพังหวนคืนนั้นอันตรายไม่น้อย… หวังว่าแม่ทัพไป๋จะเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมเสียก่อน อย่างน้อยต้องกลับไปพบหลานเอ๋อร์ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าทั้งสองดูไม่คืบหน้าไปเสียที ดูเหมือนว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีจะร้อนใจเข้าแล้ว”
“ข้าเข้าใจ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“เช่นนั้นข้าจะรอเจ้า หลังจากแม่ทัพไป๋จัดการกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ให้กลับมาที่ฝูซางเพื่อพบข้า”
…
ในเวลาเดียวกัน ณ ดินแดนตะวันออก ภายในวิหารของไป๋ชิวหราน
เส้นผมดำขลับบนศีรษะของเจียงหลานถูกมวยขึ้นจนแน่นด้วยปิ่นปักผมที่มารดาทิ้งไว้ นางพยายามใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองเพื่อฝึกฝนทักษะพิษที่ชายหนุ่มเป็นผู้สอนให้
เมฆหมอกพิษก่อรวมกันอยู่บนฝ่ามือของนาง ก่อนจะค่อย ๆ ควบแน่นเข้า ทำให้พิษยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ!
น่าเสียดายที่ชั่วพริบตาสุดท้ายของการฝึกฝน พลังปราณพลันปรากฏขึ้นอย่างกระจัดกระจายไร้ระเบียบ เจียงหลานจึงทำได้เพียงขจัดพิษออกไปอย่างรวดเร็วแล้วถอนหายใจ
อาจเป็นเพราะพลังอำนาจแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ขัดแย้งกับระบบการฝึกตนของไป๋ชิวหราน ส่วนทักษะพิษที่นางเพียรฝึกฝนก็เลื่อนขั้นมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่ากลับไม่สามารถบรรลุผ่านไปได้
เจียงหลานที่พร้อมจะลองฝึกฝนอีกครั้งหลังจากระงับสติอารมณ์ลงได้ ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงของสาวรับใช้ดังขึ้นจากนอกห้อง
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเทพเจ้ามาพบเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิวหรานเพิ่งจะเดินทางออกไปได้ไม่นาน เทพเจ้าองค์อื่นจะมาเยี่ยมเยียนเขาโดยบังเอิญได้อย่างไร?
สัญชาตญาณของเจียงหลานไม่ค่อยสู้ดีนัก ทว่านางก็ยังตอบรับไปว่า
“รอสักครู่ ให้ท่านเทพองค์นั้นมารออยู่ที่ห้องโถงรับรอง ข้าจะออกไปพบเดี๋ยวนี้”
ครู่ต่อมา เจียงหลานเห็นเทพเจ้าผู้มาเยือนในห้องโถงรับรอง อีกฝ่ายมีร่างกายเป็นมังกรจรดหาง หน้าท้องพองประหนึ่งหน้ากลอง แม้ว่าความสูงที่แท้จริงจะลดหลั่นลงจากความเป็นจริง ทว่าศีรษะยังสูงจนชนเพดานวิหาร
เขาก้มลงมองไปยังเจียงหลาน ส่วนเจียงหลานก็เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายก่อนจะโค้งคำนับพร้อมเอ่ยถาม
“เทพสายฟ้า ท่านมาถึงที่นี่ด้วยธุระประการใด? หากต้องการพบสามีของข้า เขามีธุระบางอย่างจึงออกไปข้างนอกเมื่อครู่นี้เอง”
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในบรรดาเก้าหน่วยสวรรค์ ซึ่งมีฐานะที่สูงกว่า ดังนั้นเจียงหลานในฐานะที่เป็นผู้ออกหน้าต้อนรับจึงเริ่มทักทายอีกฝ่ายก่อน
“เทพโรคระบาด ข้ามาที่นี่มาเพื่อมอบของบางสิ่งให้กับแม่ทัพไป๋ตามพระบัญชาของฝ่าบาท”
เทพสายฟ้ามองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า
“นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงประทานการสมรส เจ้าทั้งสองดูรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก ทว่าความรักกลับไม่เบ่งบานหรือสุกงอมเสียที สิ่งนี้ทำให้ฝ่าบาททรงเป็นกังวลอย่างยิ่ง ดังนั้นวันนี้ขณะที่ข้าว่างจากภารกิจ พระองค์จึงทรงขอให้เป็นผู้มอบโอสถวิเศษให้แก่พวกเจ้าทั้งสอง เพื่อช่วยให้กิ่งก้านสาขาแห่งตระกูลงอกงามในเร็ววัน”
“เหตุใดฝ่าบาทถึงรีบร้อนถึงเพียงนี้?”
เจียงหลานรับถุงโอสถมาจากเทพสายฟ้า คำนับขอบคุณ ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เป็นเรื่องปกติหากการแต่งงานระหว่างเผ่าเทพเช่นเราจะยังไม่ให้กำเนิดทายาท แม้เวลาผันผ่านไปนานหลายร้อยปีหรือหลายพันปี ทว่าสามีและข้าเพิ่งแต่งงานกันได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง?”
“เรื่องนั้น…”
เทพสายฟ้าขมวดคิ้ว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ครั้นเห็นท่าทางกระดากอายที่จะกล่าวบางอย่างของอีกฝ่าย เจียงหลานจึงนึกถึงคำร้องขอของไป๋ชิวหรานก่อนที่เขาจะออกไปขึ้นมาได้ ดังนั้นนางจึงเรียกหาสาวรับใช้แล้วออกคำสั่งสองสามคำ
ไม่นานหลังจากนั้น สาวรับใช้ทั้งสองก็นำปะการังหยกสองชิ้นเข้ามาในห้องโถงรับรอง ปะการังมรกตเหล่านี้เป็นสิ่งที่เสาะหาได้ยากยิ่ง อันหนึ่งเป็นหยกแท้ ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ตราบใดที่ได้รับการเลี้ยงดูแลอย่างถูกต้อง… นั่นจะทำให้สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ เป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่ไม่อาจเสาะหาได้ในโลก
ปะการังทั้งสองล้วนเป็นของกำนัลจากจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ซึ่งประทานให้ตั้งแต่ครั้งที่เจียงหลานและไป๋ชิวหรานแต่งงานกัน
เมื่อขอให้สาวรับใช้ทั้งสองวางปะการังทั้งสองอันไว้ตรงหน้าเทพสายฟ้าแล้ว เจียงหลานจึงกล่าวต่อไป
“เทพสายฟ้าอุตส่าห์สละเวลาเดินทางไกลมาเยี่ยมเยียนข้า ช่างเป็นเรื่องหายากอย่างแท้จริงที่จะได้รับเกียรติเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ท่าน โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
“นี่… เทพเจียงหลาน ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเทพเจ้าหนึ่งในเก้าหน่วยสวรรค์เท่านั้น พวกเราล้วนมาเยือนตามหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย”
เทพสายฟ้าเผยรอยยิ้มพลางกล่าววาจาประหนึ่งเกรงใจ ทว่ามือกลับขยับสวนทางกัน เขาคว้าปะการังทั้งสองไว้ก่อนจะเก็บมันยัดลงไปในถุงเก็บสมบัติของตน…
แน่นอนว่าสิ่งที่ไป๋ชิวหรานสั่งไว้ก่อนจะจากไปไม่ใช่เพียงเรื่องไร้สาระ ในตอนนี้ แม้แต่นางที่มีฐานะเป็นเทพโรคระบาด ผู้ซึ่งไม่พึงปรารถนาที่สุดในหมู่เทพเจ้า… ยังทำให้เทพสายฟ้ายิ้มออก
เจียงหลานครุ่นคิดในใจขณะเอ่ยถามไปพลาง
“เทพสายฟ้า ท่านช่วยบอกเหตุผลที่ฝ่าบาททรงรีบร้อนเรื่องการให้กำเนิดทายาทของเราสองสามีภรรยาหน่อยได้หรือไม่?”
“เทพเจียงหลาน เจ้าอาจเคยพบเห็นหน้าตาของเทพหลายองค์ที่มีสถานะเดียวกันกับข้ามาบ้างแล้ว… และคงไม่รู้มาก่อนว่าครั้งหนึ่งเคยมีมนุษย์ประหลาดบนโลกใบนี้ที่แกร่งกล้าจนสามารถต่อสู้กับเผ่าเทพได้ เขาถือกำเนิดขึ้นด้วยพลังอำนาจเช่นเดียวกันกับฝ่าบาททุกประการ ทว่ากลับเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น เมื่อครั้งทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เวลานั้นเทพเจ้าฝั่งเราสิ้นชีพไปเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นแม่ทัพไป๋ก็กลายเป็นเทพเจ้าองค์ที่สองที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกใบนี้ และยังมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์เลย”
เทพสายฟ้าเหลือบมองทั้งทางซ้ายและขวา ก่อนจะกระซิบ
“การแต่งงานระหว่างเจ้ากับแม่ทัพไป๋ เป็นรางวัลที่ฝ่าบาททรงมอบให้กับแม่ทัพไป๋ ส่วนการยับยั้งชั่งใจต่อร่างกายของเจ้าถือเป็นอีกบททดสอบหนึ่ง เราทุกคนต่างรู้ดีว่าคู่สมรสที่ประทานการแต่งงานโดยจักรพรรดิสวรรค์ที่เป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์ จะมีอิทธิพลต่อพลังอำนาจของกันและกันในระดับหนึ่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่สองสามีภรรยาอาจใช้พลังอำนาจร่วมกัน หากฐานะทางปุโรหิตระหว่างแม่ทัพไป๋กับเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาทจะทรงสนับสนุนเขาต่อไปได้ด้วยความอุ่นใจ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น… ก็ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าแม่ทัพไป๋เป็นมนุษย์และจะถูกชำระความในภายหลัง… การที่แต่งงานมานานสองถึงสามปีแล้วแต่พลังอำนาจของเจ้ากลับไม่แปรเปลี่ยน บอกตามตรงว่าฝ่าบาททรงเริ่มสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของแม่ทัพไป๋”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงหลานสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะโค้งคำนับให้เทพสายฟ้าอีกครั้ง
“สามีข้าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์จริง เจียงหลานรับประกันสิ่งนี้ได้ด้วยเกียรติแห่งเทพของตนเอง ขอบคุณเทพสายฟ้าสำหรับคำชี้แนะของท่านในวันนี้”
“เรื่องทั้งหมดมีเพียงเท่านี้”
เทพสายฟ้าเหลือบมองเจียงหลานครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวทิ้งท้าย
“เทพเจียงหลาน… โปรดรักษาตนเองและจับตามองแม่ทัพไป๋ให้ดี”