ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 18 ตอบแทนด้วยหนทางอื่น
บทที่ 18 ตอบแทนด้วยหนทางอื่น
ทันทีที่ถังโจ้วเสียออกคำสั่ง กองทัพนับพันที่ก่อตัวขึ้นจึงกรูเข้ามาล้อมรอบไป๋ชิวหรานที่อยู่ตรงกลางจากทั้งสามทิศ
กระบี่และหอกเปรียบเสมือนป่า นักธนูที่อยู่ห่างไกลออกไปกางคันธนูออกก่อนโก่งคันศรให้โค้งสุดแขนเพื่อยิงลูกดอกออกไป เปรียบเสมือนพระจันทร์เต็มดวงที่ไม่กริ่งเกรงต่อความมืดอนธการ ลูกธนูพุ่งตรงดิ่งมาทางเขาราวกับห่าฝน
ไป๋ชิวหรานยกกระบี่ขึ้นตั้งรับทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับลูกธนูที่พุ่งตรงมาราวสายฝน
ปราณกระบี่แรกถูกส่งออกไป พื้นดินปริแตกเป็นระยะทางหนึ่งพันฉื่อ ภูเขาตะวันออกของสุสานหลวงแตกกระจายกลายเป็นผุยผง กองทัพทางทิศตะวันออกถูกปราณกระบี่ทำลายล้างจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า สิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากกระแสลมกระบี่รุนแรงราวเชือดเฉือนเนื้อเข้าไปถึงกระดูก พลุ่งพล่านประหนึ่งคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่งจนทุกสิ่งอย่างล้มครืนลงกับพื้นดิน
ปราณกระบี่ที่สองถูกส่งออกไป ท้องฟ้าพลันสว่างแจ้ง กลุ่มเมฆฉีกกระชากออกเป็นหลายจั้ง เผยให้เห็นดวงอาทิตย์ที่ลอยเด่นอยู่ทางทิศตะวันตก แม้แต่กองทัพใหญ่ที่ประจำการอยู่ทางทิศตะวันตกก็ไม่อาจต่อกรกับศัตรูได้ ทหารกว่าพันนายถูกตัดผ่าร่างออกเป็นสองส่วนจากบริเวณเอวจนขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
ปราณกระบี่ที่สามถูกส่งออกไปอีกครั้ง หนนี้กลุ่มเมฆกลับกลายเป็นเหมือนคลื่นในมหาสมุทรที่พลิกขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เมฆมืดครึ้มสลายตัวกลายเป็นพายุมรสุมอันหนาวเหน็บ ราวกับมีครีบยักษ์ซ่อนอยู่ในเมฆนั้น คลื่นพลังที่พ่นออกมาแปรเป็นอสนีบาต ปราณกระบี่พุ่งไปยังกองทัพสุดท้ายระหว่างสุสานจักรพรรดิทางทิศเหนือของไป๋ชิวหราน เสียงกรอบแกรบดังขึ้น ในที่สุดร่างของทหารองครักษ์กว่าพันนายก็ถูกปราณกระบี่ระเบิดทิ้งจนไม่หลงเหลือแม้แต่กระดูกให้ดูต่างหน้า
หลังจากปราณกระบี่ทั้งสามถูกปล่อยออกมา ทหารองครักษ์นับพันนายที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งรัฐซ่างเสวียนก็สลายหายไปในพริบตา ขณะเดียวกันนั้นเอง ทหารองครักษ์สูงสุดทั้งสิบหกคนที่เพิ่งได้รับคำสั่งจากซือหม่าอิงป๋อให้ทำการจัดกระบวนทัพ
“นะ นี่…” เมื่อเห็นฉากการต่อสู้อันหฤโหดราวกับเทพเซียนลงมือด้วยตนเอง เหล่าทหารองครักษ์ทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนกยิ่ง “นี่คือฝีมือของผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ จะ… จริงหรือ?”
“พวกเจ้าใจเย็นลงก่อนเถิด” สีหน้าของถังโจ้วเสียเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ถึงกระนั้นก็ยังคงกล่าวต่อไป “คนผู้นี้มีความรู้มากมาย วิชายุทธ์ของเขาก็คงมีไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นการมีฝีมือที่เหนือธรรมดาถือเป็นเรื่องสามัญ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณอยู่วันยังค่ำ เขาสร้างการโจมตีรุนแรงเช่นนี้แน่นอนว่าต้องสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย อีกอย่างเจ้าดูเอาเถิด อาวุธของเขาหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด”
ซือหม่าอิงป๋อมองตาม เห็นว่าหลังจากกวัดแกว่งปราณกระบี่ออกไปถึงสามเล่ม กระบี่ยาวในมือของไป๋ชิวหรานจึงเหลือเพียงแค่ด้ามกระบี่เท่านั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเขาจึงสงบสติอารมณ์ลง จากนั้นจึงทำหน้าที่เป็นประธานในค่ายกล มีอำนาจเหนือเหล่าทหารองครักษ์สูงสุด
ส่วนถังโจ้วเสียเริ่มคิดคำนวณในใจ
ต้นกำเนิดของไป๋ชิวหรานผู้นี้ต้องไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเขาเองก็รู้เรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ แม้ว่ากระบวนท่าจะทรงพลังเพียงใด เขาคาดคิดว่าอีกฝ่ายคงสูญเสียลมปราณไปไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเวลานี้ไป๋ชิวหรานจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป หลังจากสังหารอีกฝ่ายสำเร็จแล้ว เขาจะใช้เลือดของชายผู้นี้และใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อสกัดเอาความทรงจำทั้งหมดออกมา ถึงเวลานั้นเขาก็จะกลายเป็นบุคคลผู้มีพลังอำนาจไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
แท้จริงแล้วซือหม่าอิงป๋อและคนอื่น ๆ ล้วนถูกเขาหลอกใช้มาโดยตลอด ทุกคนต่างคิดว่าจุดประสงค์ของถังโจ้วเสียคือขยายดินแดนของรัฐซ่างเสวียนให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น ทว่าความจริงแล้วนับตั้งแต่เขาได้รับม้วนคัมภีร์ของสำนักเทพโลหิตโดยบังเอิญ เขาก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างจริงจัง ไม่นึกแยแสต่อรัฐซ่างเสวียนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้แล้ว ต่อให้ผู้คนในที่นี้จะถูกสังหารและดูดกลืนโลหิตจนหมดสิ้นแล้ว หรือต่อให้มีคนแปรพักตร์ไปติดตามไป๋ชิวหรานขึ้นมา อย่างมากก็มีเพียงรัฐซ่างเสวียนเท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเขาทั้งนั้น
บ่อนทำลายผู้อื่นและยึดถือแต่ประโยชน์ของตนเอง ยึดครองและใช้ประโยชน์จากทุกสรรพสิ่งที่สามารถเสาะหามาได้เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นี่คือแก่นแท้ของผู้ฝึกตนที่ม้วนคัมภีร์ของสำนักเทพโลหิตได้บันทึกไว้
ฝุ่นควันที่ถูกปล่อยออกมาจากปราณกระบี่ค่อย ๆ สลายไป บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ไป๋ชิวหรานยังคงเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งตรงไปยังถังโจ้วเสียที่ยืนตระหง่านอยู่บนแท่นบูชาหน้าสุสานจักรพรรดิ
“ไป๋ชิวหราน!” ซือหม่าอิงป๋อตะคอกใส่เขาอย่างขาดความปรานี “ยอมแพ้แต่โดยดีซะ! ตอนนี้เจ้าไม่หลงเหลือแม้แต่กระบี่ในมือด้วยซ้ำ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ไป๋ชิวหรานก็ก้มหน้าลงมองด้ามกระบี่ในมือก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ
เขาโยนด้ามกระบี่ที่ยังเหลืออยู่ในมือของตนทิ้งไป จากนั้นร่างกายพลันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบแทรกเข้าไปในค่ายกลที่ห้อมล้อมไปด้วยทหารองครักษ์สูงสุดทั้งสิบหกคน
เขายื่นมือออกไป นิ้วที่คมกริบประหนึ่งใบมีดของเขาก็แทงเข้าไปในหน้าอกของทหารองครักษ์คนหนึ่ง จากนั้นร่างกายของชายผู้นั้นก็กระตุกเกร็งและล้มลงไปทั้งที่ดวงตายังเบิกกว้าง ทว่าตามร่างกายกลับไร้ซึ่งบาดแผลหรือเลือดแม้แต่หยดเดียว ทุกคนเห็นเพียงผิวกายของเขาที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ลมหายใจรวยรินลงทุกขณะเพราะความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“หืม? นี่คืออะไรกัน?!” สีหน้าของถังโจ้วเสียแข็งค้างไปอีกครั้ง
“เคล็ดวิชาบีบรัดโลหิต เจ้าคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีใช่หรือไม่? สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาของสำนักเทพโลหิต” ไป๋ชิวหรานเอ่ยพลางแสยะยิ้มพร้อมกวาดสายตามองทหารองครักษ์สิบห้าคนที่เหลือ
“ข้าเคยพบเห็นวิญญาณอาฆาตแค้นที่ถูกเจ้าสังหารเพื่อนำเลือดมาดื่มกิน ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของพวกเขา สำนักเทพโลหิตมีหนทางฝึกตนตั้งมากมาย แต่กลับถูกทำให้เสื่อมเสียเพราะลูกศิษย์นอกรีตเช่นเจ้า!” หลังกล่าวจบเขาก็ยกมือขึ้นกางกรงเล็บออก ใช้มันตวัดไปยังร่างของทหารองครักษ์นายหนึ่งที่พุ่งตัวเข้าหา
แสงเย็นเยียบของกรงเล็บคมกริบสาดสะท้อนไปทั่ว ทหารองครักษ์คนดังกล่าวกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นรอยกรงเล็บสามรอยบนหน้าอกของเขาพลันมีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาเป็นจำนวนมาก โลหิตไหลพุ่งไม่หยุดหย่อนราวกับน้ำพุพร้อมกับความเจ็บปวดรุนแรง ไม่ว่าเขาจะพยายามผนึกลมปราณอย่างไร เลือดก็ยังไหลทะลักออกมาอย่างไร้วี่แววว่าจะหยุดลง ไม่นานเลือดก็ไหลพุ่งออกมาจนหมดตัว ร่างกายของเขายุบตัวลงราวกับลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมก่อนจะล้มลงกองกับพื้น
ไป๋ชิวหรานก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง เหล่าทหารองครักษ์สูงสุดต่างหวาดกลัวและพุ่งโจมตีใส่เขาพร้อมกัน ขณะนั้นฝ่ามือของเขาได้ปลดปล่อยภาพมายานับสิบล้านร่างออกมา มีทั้งกำปั้น นิ้ว ฝ่ามือ หรือแม้แต่หมัดที่แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นกระบี่คมกริบ แต่ละกระบวนท่าล้วนแผ่จิตสังหารชั่วร้ายเหี้ยมเกรียม ให้ความทารุณอย่างหาใดเปรียบ พวกมันโจมตีไปที่ร่างของบรรดาทหารองครักษ์เหล่านั้นพร้อมกัน
ฝ่ายทหารองครักษ์สูงสุดต่างล้มตายอย่างเจ็บปวดทรมานในสภาพที่น่าสังเวช ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่พ่นออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย เลือดในร่างกายระเบิดออกสู่ภายนอก หรือกระแสเลือดในร่างที่หลั่งไหลทะลักล้นเข้าสู่จุดตันเถียนและลมปราณภายใน บีบรัดอวัยวะภายในให้ระเบิดออกอย่างโหดเหี้ยม
เพียงไม่นานหลังจากนั้น เบื้องหน้าของไป๋ชิวหรานก็เหลือแต่ซือหม่าอิงป๋อเพียงคนเดียว
“ไป๋…พี่ชายไป๋…” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตาไหลพรากผสมกับน้ำมูก ไม่เหลือเค้าของคนที่เคยมีรูปร่างหน้าตาที่เคยหล่อเหลาอีกแล้ว
เขาได้แต่ร้องอ้อนวอนว่า “ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนี้”
“ข้ารู้” ไป๋ชิวหรานแสยะยิ้มก่อนตบไปที่หน้าผากของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี
เพียะ…
เลือดจากทั่วทั้งร่างกายของซือหม่าอิงป๋อพลันไหลมารวมตัวกันอยู่บริเวณหน้าผาก ศีรษะของชายหนุ่มผู้นี้ปูดโปนขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะระเบิดออกเสียงดังโผละ!
ไป๋ชิวหรานก้าวข้ามร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารองครักษ์และค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปจนถึงแท่นบูชา สายตาสบกับถังโจ้วเสีย
“เจ้าหลงเหลือลมปราณภายในอีกเท่าไรกันแน่?!” ถังโจ้วเสียหรี่ตาลง สรรพางค์กายเครียดเกร็งไปทุกส่วน หยดเหงื่อเย็นเฉียบซึมออกมาจนแผ่นหลังชุ่มโชก แววตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“เจ้าลองเดาดูสิ” ไป๋ชิวหรานกล่าวตอบพร้อมยกยิ้มมุมปาก
“แต่ถึงอย่างไรข้าผู้นี้ก็บรรลุถึงขั้นสร้างรากฐาน!” ถังโจ้วเสียต่อสู้กับไป๋ชิวหรานเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็เปิดปากอ้ากว้างเพื่อพ่นลำแสงสีเลือดออกมาจากปากของตน
ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปขวางไว้และคว้าเอาลำแสงสีเลือดมาไว้ในมืออย่างง่ายดาย ลำแสงสีเลือดนั้นที่แท้ก็เป็นกระบี่บินสีเลือดขนาดเล็กที่เปล่งประกายแวววาว บัดนี้มันถูกเขาจับไว้ด้วยนิ้วทั้งห้าและหมุนเล่นไปมาอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
หน้าผากของถังโจ้วเสียปรากฏหยดเหงื่อเย็นไหลออกมาให้เห็น สองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังขยับเคลื่อนเป็นหนึ่งกระบวนท่า ธงสีดำสนิทสองผืนพุ่งออกมาจากศพศีรษะขาดของซือหม่าอิงป๋อ เพื่อโจมตีไป๋ชิวหรานจากทางด้านหลัง ทั้งยังปล่อยเปลวเพลิงบรรลัยกัลป์ออกมา
ทว่าไป๋ชิวหรานกลับหันหลังไปพร้อมใช้ลมปราณอันมหาศาลเป่าให้เปลวเพลิงนั้นดับมอดลง ก่อนจะคว้าธงทั้งสองผืนมาไว้ในมือพร้อมฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“สหาย” ถังโจ้วเสียขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที “ข้าว่าเราสองคนไม่จำเป็นต้องทำให้สถานการณ์ทั้งหมดตึงเครียดถึงเพียงนี้”
ไป๋ชิวหรานเมินเฉยต่อคำกล่าวโน้มน้าวนั้น ทั้งยังเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายโดยเผยรอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีบนใบหน้า
ทันใดนั้นถังโจ้วเสียพลันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น ร่างกายพลันสลายกลายเป็นหมอกโลหิต เขาคิดจะหลบหนี แต่ไป๋ชิวหรานรีบคว้าแขนข้างหนึ่งของถังโจ้วเสียไว้เสียก่อนแล้วลากเขาออกมาจากหมอกโลหิต
ไป๋ชิวหรานกำแขนถังโจ้วเสียไว้แน่นเพื่อยับยั้งไม่ให้อีกฝ่ายเอาตัวรอด ก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจกว้าง “เจ้าเคยได้ยินทักษะวรยุทธ์ลับของสำนักเทพโลหิตที่ชื่อ ‘ทลายวิญญาณผลาญโลหิตมวลเทวะ’ มาก่อนหรือไม่?”
“ว่าอย่างไรนะ?!”
ขณะที่ถังโจ้วเสียมัวแต่ตะลึงงัน ไป๋ชิวหรานก็เริ่มใช้กระบวนท่าแล้ว
ฝ่ามือของเขาแยกร่างเป็นเงาทั่วท้องฟ้า ทั้งกำปั้น นิ้วมือ กรงเล็บ หรือแม้แต่ฝ่ามือต่างฟาดฟันจุดอ่อนและจุดสำคัญตามร่างกายถังโจ้วเสียอย่างไม่ยั้งแรง ลมปราณสามัญแปรเปลี่ยนเป็นปราณชั่วร้ายที่ถาโถมเข้าสู่ร่างของศัตรู ทำให้กระแสเลือดในร่างถังโจ้วเสียเดือดพล่านไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดจะอธิบาย เส้นลมปราณ กระดูก รวมถึงรากฐานพลังวิญญาณของถังโจ้วเสียค่อย ๆ แตกกระจายกลายเป็นผุยผง
“อ๊ากกกกก!”
ปฐมจักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียนเปล่งเสียงร้องโหยหวน ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ไม่อาจปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ หลังจากไป๋ชิวหรานทุบตีศัตรูจนสาแก่ใจ เขาก็ยื่นมือออกไปดึงแขนข้างหนึ่งของถังโจ้วเสียจนบิดพลิกผิดรูป บีบบังคับให้หันหน้ามาทางตน
ฝ่ามือกระบวนสุดท้ายรุนแรงประหนึ่งถูกฟาดลงมาจากสรวงสวรรค์ใส่ศีรษะของถังโจ้วเสีย ทวารทั้งเจ็ดของกายหยาบพลันระเบิดออกเป็นเสี่ยง ขับเอาโลหิตให้ไหลหลั่งออกมาอย่างทะลักล้น ลมปราณภายในร่างปั่นป่วนไหลย้อนกลับ กระทั่งทำลายวิญญาณและดวงจิตที่ยังไม่ตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์ซึ่งซ้อนเร้นอยู่ในแท่นบูชาจนแหลกละเอียด
………………………………….
Talk : พี่ไป๋โหดมาก กลัวแล้ว (ทีหลังก็อย่าไปแหย่เรื่องขั้นกลั่นลมปราณกลับพี่แกอีกล่ะ)