ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 181 ยาอายุวัฒนะเผิงไหล
“ฝ่าบาท”
ภายในปราสาทสวรรค์อันวิจิตร ลู่อู๋กำลังทูลรายงานจักรพรรดิตะวันออกไท่อีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หลังม่าน
“พลังอำนาจแห่งท้องทะเลของเทพเจียงหลาน ดูเหมือนว่าจะถูกถ่ายโอนไปยังแม่ทัพไป๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ฮ่า ๆ! ในที่สุดข้าก็ได้ยินข่าวดี”
เสียงหัวเราะของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีดังขึ้นจากหลังม่าน
“ดูเหมือนว่าโอสถวิเศษที่ข้ามอบให้ไปจะออกฤทธิ์ชะงัดนัก ข้ายินดีเหลือเกิน ลู่อู๋ ข้าขอมอบรางวัลให้แก่เทพเจ้าผู้กลั่นโอสถวิเศษนี้เป็นเงินทองและผ้าไหมเนื้อดีมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึง รวมถึงอีกห้าสาวงาม”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่อู๋พยักหน้ารับ
จักรพรรดิและขุนนางต่างนิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ลู่อู๋จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ฝ่าบาทยังฝันร้ายอยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้ายังฝันร้ายอยู่เช่นเดิม…”
จักรพรรดิตะวันออกตอบกลับด้วยเสียงแผ่วต่ำ
ตามจริงแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่เทพเจ้าเช่นพวกเขาจะเกิดความฝันอันชัดเจนโดยปราศจากการย้ำคิดย้ำทำใด ๆ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
จักรพรรดิตะวันออกไท่อี จักรพรรดิสวรรค์ผู้เป็นใหญ่เหนือเก้าหน่วยสวรรค์
แม้แต่เขายังต้องคอยวิตกกังวลเกี่ยวกับฝันร้าย ซึ่งเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับจักรวรรดิสวรรค์
“เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข้ามักจะฝันถึงภาพเหตุการณ์เดิมว่าท้องฟ้ากำลังพังถล่มทลายลงมา ดวงดาวร่วงหล่นวูบ ความเป็นสง่าราศีของเผ่าเทพกระจัดกระจายกลายเป็นผงธุลี ข้าอยากมองเห็นผู้ที่เป็นต้นเหตุของสิ่งเหล่านี้ ทว่าร่างกายของเขาพร่ามัวจนไม่สามารถมองผ่านไปได้ รับรู้เพียงว่าคนผู้นั้นอยู่ใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในโลก”
จักรพรรดิตะวันออกรำพึงต่อไป
“สิ่งที่ข้ากระทำมาโดยตลอดยังไม่เพียงพออีกหรือ? ความรุ่งโรจน์ของเผ่าเทพควรดำรงอยู่ชั่วกัลปาวสานมิใช่หรอกหรือ?”
ลู่อู๋ที่นิ่งเงียบอยู่นาน เอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วต่ำด้วยความลังเล
“ฝ่าบาททรงต้องการให้กระหม่อมแบ่งบรรเทาความวิตกกังวลของพระองค์ และแก้ปัญหานี้ให้หรือไม่?”
ทันทีที่จักรพรรดิตะวันออกได้ยินเช่นนั้น เขาก็ครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ขุนนางลู่อู๋ หากข้ายังฝันถึงเหตุอันเป็นลางร้ายนั้นอีก จงเตรียมตัวให้พร้อม”
…
ทางฝั่งทิศตะวันออกที่อยู่ไกลกว่าปลายสุดเขตแดนตะวันออกของโลก ไป๋ชิวหรานเหยียบอยู่บนกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำ ติดตามอยู่หลังอีกาทองสามขาที่เป็นผู้นำทาง
ต้องขอบคุณการอุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวของเจียงหลาน ในที่สุดเขาก็สัมผัสกับความรู้สึกของการเหาะเหินเดินอากาศด้วยกระบี่บิน สัมผัสอิสระอันยิ่งใหญ่ในการโลดแล่นอยู่กลางกระแสลมราวแหวกว่ายอยู่กลางมหาสมุทร ซึ่งเขาทำได้เพียงใฝ่ฝันถึงมาโดยตลอดก่อนหน้านี้
ตลอดระยะเวลาที่เหยียบกระบี่บินตั้งแต่แรกเริ่ม ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าการบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเป็นอะไรที่เก่งกาจยิ่ง
ทว่าท่ามกลางความปีติยินดี ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด ความสำนึกในบุญคุณ และความสงสารที่ไป๋ชิวหรานมีต่อเจียงหลาน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถควบคุมสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว รวบรวมสมาธิติดตามอีกาทองสามขาเพื่อไปยังซากปรักหักพังหวนคืน
เคล็ดลับรวมถึงอัตราความเร็วในการเหาะทะยานอันเร่งรีบของเขา สร้างความประหลาดใจให้กับอีกาทองสามขาเป็นอย่างยิ่ง เคล็ดลับการเหยียบกระบี่บินอันทรงพลัง นางยังพอเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะฐานะทางปุโรหิตอันพิเศษของชายหนุ่ม ทว่าเรื่องของความเร็วที่สามารถติดตามดวงอาทิตย์ในการควบคุมของนางจนทันได้… นั่นทำให้ประหลาดใจยิ่ง
เทพองค์หนึ่งกับมนุษย์ที่อาศัยสถานะเทพอีกคนหนึ่งติดตามไปยังทิศทางเดียวกัน ความเร็วของอีกาทองสามขานั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ทั่วไปที่จะติดตามได้ทัน ทว่าไป๋ชิวหรานเพียงผลักดันเส้นใยแห่งขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกายด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด จึงสามารถตามพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพอีกาสามขาที่บินจากท้องฟ้าฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งทัน
ทั้งสองตรงลึกลงไปสู่กลางท้องทะเลที่คลุ้มคลั่ง เมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขาก็มองไม่เห็นแม้แต่ยอดของต้นไม้ฝูซางที่สูงตระหง่าน
สัตว์อสูรทะเลทรงพลังหลายตัวที่ว่ายวนอยู่ในท้องทะเล ต่างเป็นสัตว์ทรงพลังที่ทำอันตรายได้แม้แต่กับเผ่าเทพ ทว่าที่ไป๋ชิวหรานยังคงเดินทางได้อย่างราบรื่น นั่นเป็นเพราะกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ถูกสร้างขึ้นโดยพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งท้องทะเลของเจียงหลาน
ตราบใดที่ครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เขาก็ถือเป็นเทพแห่งท้องทะเล ดังนั้นสัตว์ทะเลเหล่านี้จึงย่อมไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับพวกเขา
ทั้งยังช่วยเหลือไว้ได้มากโขทีเดียว
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดในใจ
หลังจากเดินทางต่อไปอีกช่วงระยะหนึ่ง เทพอีกาสามขาก็หยุดบินอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“แม่ทัพไป๋ พวกเรามาถึงแล้ว”
ไป๋ชิวหรานมองไปยังที่ราบลุ่มในท้องทะเลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่เบื้องหน้า และเอ่ยถาม
“มันไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกันกับโลกหลักหรือ?”
“แค่เกือบเท่านั้น”
จากนั้นอีกาสามขาก็หันมาหยุดไป๋ชิวหรานที่ต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้า และกำชับเตือนเสียงขรึม
“แม่ทัพไป๋ ขอเตือนไว้ก่อน เวลาภายในซากปรักหักพังหวนคืนนั้นแตกต่างจากห้วงเวลาภายนอก นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคสมัยของท่านพ่อ ข้าก็ไม่เคยมาที่นี่อีก ไม่มีผู้อื่นที่ล่วงรู้สถานที่ตั้งของซากปรักหักพังหวนคืน ดูเหมือนว่าภายในอาจมีบางอย่างที่สามารถเป็นอันตรายได้ โปรดระวังตัวให้ดี… นอกจากนี้ ข้าทำได้เพียงพาเจ้าเข้าไปยังพื้นที่ด้านหน้าเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร ข้าต้องขอบคุณท่านแล้วที่อุตส่าห์พามาถึงซากปรักหักพังหวนคืนแห่งนี้”
หลังจากกล่าวจบ แสงสว่างวาบจากกายของเทพอีกาสามขาก็เรืองรองด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันอ่อนโยน ราวกับว่าความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องอยู่บนร่างกายได้ห่อหุ้มร่างกายของไป๋ชิวหรานไว้ ก่อนที่นางจะพาชายหนุ่มผ่านปราการที่กั้นสถานที่นี้ไว้จากโลกภายนอก ทะลุผ่านเข้าไปยังช่องว่างชั้นใน
เหนือท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้ ไป๋ชิวหรานก็ได้ยินเสียงกระแสน้ำไหลแว่วเข้าหูตลอดเวลา ราวกับว่ามีน้ำตกขนาดใหญ่ไหลตกลงมาจากที่สูง
แสงสว่างเรืองที่อยู่ตรงหน้าจางหายไปแล้ว เขาเห็นเพียงภาพอันงดงามตระการตาที่อยู่เบื้องหน้า
ตรงหน้าของเขาและเทพอีกาสามขา เป็นรอยเลื่อนที่ปรากฏขึ้นในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ น้ำทะเลปริมาณมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เกินจินตนาการ กระแสน้ำหลั่งไหลตกลงมาจากช่องว่างนั้น ด้านล่างของช่องว่างยังเป็นมหาสมุทรอีกแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าถึงแม้กระแสน้ำจะมหาศาลเพียงใดก็ไม่มีวันเติมเต็ม ไม่ว่าน้ำจากมหาสมุทรจะหลั่งไหลเข้าไปมากเพียงใด ระดับน้ำของมหาสมุทรเบื้องล่างกลับไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย
กลุ่มเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าอันมืดมิดไร้ขอบเขต ระดับความสูงเบื้องบนซึ่งอยู่เหนือน้ำทะเลขึ้นไปประมาณหนึ่งหมื่นร้อยจั้ง มีภูเขารวมถึงดวงดาวขนาดน้อยใหญ่บางส่วนที่สิ้นอายุขัย ล่องลอยอยู่กลางอวกาศ
“ที่แห่งนี้คือซากปรักหักพังหวนคืน”
เทพอีกาสามขาพยักพเยิดไปยังมหาสมุทรไร้ขอบเขตเบื้องล่างโดยใช้ส่วนหัว
“มหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้ปราศจากก้นบึ้ง แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในบ้าง ยามนี้จึงทำได้เพียงช่วยเหลือให้เจ้ามาถึงที่นี่ โปรดระมัดระวังเส้นทางด้านหน้าด้วย แม่ทัพไป๋”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานก็โค้งคำนับนาง
“ขอบคุณท่านแล้ว ท่านเทพอีกาสามขา”
หลังจากกล่าวอำลาเทพอีกาสามขาแล้ว ไป๋ชิวหรานควบคุมกระบี่ใต้ฝ่าเท้า ค่อย ๆ ร่อนลงจากน้ำตกในกระเปาะช่องว่างอันกว้างใหญ่นี้ เพื่อลงไปสู่ซากปรักหักพังหวนคืนที่ไร้ขอบเขต
หลังจากร่อนลงสู่ก้นบึ้งไปยังตำแหน่งลึกสุดที่มีระยะทางสั้นกว่าของมหาสมุทรของโลกภายนอก ชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงความผิดเพี้ยนไปจากปกติสามัญ แท้จริงแล้วความรู้สึกเช่นนั้นอาจไม่นับว่าคุ้นเคยสำหรับผู้อื่น ทว่าสำหรับไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนที่ข้ามผ่านสายน้ำที่ทอดยาวมาเป็นเวลานาน แม้รู้สึกแปลกประหลาดแต่กลับคุ้นเคยยิ่ง
“นี่ จื้อเซียน”
เขาร้องเรียก
“ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงภาพลวงตาของข้าผู้เดียวใช่หรือไม่?”
“ไม่”
หัวกะโหลกจื้อเซียนที่ถูกแขวนไว้ตรงบั้นเอวกล่าว
“เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะห้วงกระแสเวลาอันผิดเพี้ยนจริง เทพอีกาสามขาไม่ได้โกหก”
“ในเมื่อปลอดภัย ก็รีบเข้าไปกันเถอะ”
ครู่หนึ่งชายหนุ่มพลันคำนึงถึงเจียงหลานที่อยู่ตัวคนเดียวในโลกภายนอก จนให้เกิดความรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งโดยไร้สาเหตุ เขาผลักดันกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำไปข้างหน้าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี กระทั่งกลายเป็นลำแสงพุ่งข้ามผ่านมหาสมุทรไร้ก้นบึ้งแห่งนี้ไป
หลังจากเดินทางต่อเป็นระยะทางที่ไม่อาจนับได้แน่ชัดว่ากี่พันลี้ ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็พบภูเขาขนาดใหญ่ที่มียอดแบนราบ ตั้งตระหง่านอยู่ในมหาสมุทรที่ไร้ก้นหุบเหวแห่งนี้
เทือกเขานี้กว้างใหญ่ไพศาล ภายใต้การคาดคะเนด้วยสายตาของไป๋ชิวหราน ส่วนของยอดเขาอันราบเรียบนี้น่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่กินพื้นที่กว่าหนึ่งหมื่นลี้ และเทือกเขาทั้งหมดกินพื้นที่เป็นระยะทางอันคาดไม่ถึง ประมาณสามหมื่นถึงสี่หมื่นลี้!
ก้อนผลึกสีขาวบางชนิดงอกเงยอยู่บนภูเขา บางก้อนมีลักษณะคล้ายคลึงกับรากไม้ที่บิดเป็นเกลียว ทว่ากลับไร้ซึ่งดอก ใบ หรือแม้แต่ผลงอกออกมา
ทั้งยังมีเงาบางอย่างที่ตกกระทบลงมาจากซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างบนส่วนยอดราบเรียบของภูเขา ไป๋ชิวหรานร่อนลงไปบนนั้น หลังจากได้สำรวจโดยรอบ ในที่สุดก็พบเข้ากับแผ่นหินที่ตั้งอยู่ริมขอบผา บนนั้นมีถ้อยคำลึกลับถูกจารึกไว้
‘ไต้อวี๋*[1]?’
ด้วยความช่วยเหลือของเจียงหลาน ไป๋ชิวหรานจึงได้รับทักษะการวิเคราะห์คัมภีร์เทพ และสามารถจดจำคำบนแผ่นหินจารึกทั้งสองได้
“ยังมีใครคนหนึ่งเพิ่มคำจารึกไว้ตรงมุมล่างซ้าย”
ไป๋ชิวหรานผู้มีสายตาเฉียบคม มองเห็นถ้อยคำที่จารึกไว้ตรงมุมซ้ายล่างของแผ่นหินอันเดียวกัน ทว่ามันไม่ใช่ภาษาเขียนที่นิยมใช้ทั้งในยุคสมัยของเขาหรือยุคสมัยนี้ ทว่าเป็นสัญลักษณ์ภาพ ชายหนุ่มคว้าหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้นมาให้เผชิญหน้ากับมันเพื่อให้ช่วยแปลคำเหล่านั้น
“ขอข้าดูหน่อย อืม… นี่เป็นสาส์นที่ถูกทิ้งไว้โดยสวรรค์ริษยารุ่นแรก”
จื้อเซียนพยายามทำความเข้าใจ ก่อนจะแปล
‘ในที่สุดข้าก็พบแล้ว อาณาจักรในตำนานของเส้าฮ่าว สถานที่ที่ไต้อวี๋ตั้งอยู่ บางทีเผิงไหลคงจะอยู่ในที่แห่งใดสักแห่ง ตราบใดที่พบโอสถอายุวัฒนะเผิงไหลแล้ว เผ่าพันธุ์ของข้าจะถูกช่วยให้รอดพ้น!’
“โอสถอายุวัฒนะเผิงไหล”
ชายหนุ่มเคยได้ยินตำนานที่คล้ายคลึงกันนี้ในยุคสมัยต่อมาเช่นกัน เขาจึงเอ่ยถาม
“มันมีอยู่จริงงั้นหรือ?”
“ไม่แน่ว่ามันอาจจะเคยมีอยู่จริง”
จื้อเซียนตอบกลับ
“แต่ข้าไม่คิดว่าโอสถอายุวัฒนะอะไรนั่นจะถูกเก็บรักษาไว้ในสถานที่แห่งนี้ในเวลานี้”
“คอยสังเกตการณ์กันต่อไป”
ไป๋ชิวหรานทะยานขึ้นสู่เบื้องบนด้วยกระบี่ ก่อนจะเดินทางออกจากภูเขาแห่งนี้ไป
ขณะที่ชายหนุ่มเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาแห่งนี้ เมื่อทอดสายตามองไปในระยะไกล จึงพบว่ามีภูเขาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากยอดเขาลูกแรกมีถ้อยคำถูกจารึกลงในแผ่นหิน ดังนั้นสวรรค์ริษยารุ่นแรกก็ย่อมต้องอาศัยอยู่บนยอดเขาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน
[1] ไต้อวี๋ คือ ปกรณัมจีน เป็นชื่อของหนึ่งในห้าขุนเขาเหนือท้องทะเล