ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 182 หนึ่งในสิบของพลังวิญญาณที่แท้จริง
หลังจากข้ามมหาสมุทรไร้ก้นบึ้งมาเป็นระยะทางหลายหมื่นลี้ ไป๋ชิวหรานก็มาถึงภูเขาแห่งที่สอง ซึ่งภูมิประเทศเหนือภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้คล้ายคลึงกับ ‘ไต้อวี๋’ ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน ไป๋ชิวหรานร่อนลงสู่พื้นราบเรียบและพบเข้ากับแผ่นหินจารึกบนนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชื่อของภูเขาลูกนี้คือ ‘หยวนเจี้ยว’
อีกทั้งบนแผ่นศิลานี้ยังมีสาส์นที่ถูกทิ้งไว้โดยสวรรค์ริษยารุ่นแรก
‘ขอเวลาให้ข้าอีกสักสามร้อยปี สามร้อยปีเท่านั้น แล้วจะเอาชนะจักรพรรดิตะวันออกไท่อี และช่วยเผ่าพันธุ์ของข้าได้!’
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
เมื่อได้ยินจื้อเซียนแปลประโยคนี้ ไป๋ชิวหรานพลันเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีขึ้นในใจ
“สวรรค์ริษยารุ่นแรกมีขั้นวิญญาณแท้จริง และควรจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าเสียอีก แล้วเหตุใดความหมายของประโยคดังกล่าวกลับเป็นไปในทางว่าความตายของเขากำลังจะมาถึง?”
“บางทีอาจจารึกถ้อยคำเหล่านี้ไว้ก่อนที่ตนเองจะได้รับขั้นวิญญาณแท้จริงกระมัง?”
จื้อเซียนปลอบโยนไป๋ชิวหราน ก่อนจะกล่าวต่อไป
“อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ยังไม่ทันพบเจอเขาตัวเป็น ๆ เราไม่อาจตั้งสมมติฐานหรือทึกทักเอาเองได้”
“บางทีอาจเป็นเช่นที่เจ้ากล่าว”
ชายหนุ่มสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะออกค้นหาต่อไป
หลังจากสำรวจไประยะหนึ่ง จึงพบภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกสามลูกในบริเวณใกล้เคียง ไป๋ชิวหรานพบว่าแม้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าลูกนี้จะเคลื่อนตัวไปอย่างต่อเนื่องเหนือมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้งนี้ ด้วยลักษณะที่ไม่ต่างจากจอกแหนไร้รากฝังลึก ทว่าพวกมันต่างก็อยู่ภายใต้พลังอันมหัศจรรย์ รากฐานเบื้องล่างของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังคงรักษาระยะไว้เช่นเดิมเสมอ ส่วนเรื่องของระยะทาง หลังจากคาดคะเนเบื้องต้นโดยคร่าวแล้ว ไป๋ชิวหรานก็พบว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ตั้งอยู่ห่างจากกันประมาณเจ็ดหมื่นลี้ ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น
ภูเขาสองลูกที่พบมีชื่อว่า ‘ฟางหู’ และ ‘หยิงโจว’ ตามลำดับ ทั้งยังมีจารึกถ้อยคำของสวรรค์ริษยารุ่นแรกที่ทิ้งไว้อีกด้วย พิจารณาจากรูปการณ์ทั้งหมด ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกสุดท้ายควรเป็น ‘เผิงไหล’ ที่เขากำลังตามหา
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งสุดท้ายมีรูปร่างคล้ายคลึงกันกับภูเขาอีกสี่ลูก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ท่ามกลางที่ราบเหนือยอดเขาอันกว้างใหญ่ ราวกับว่ามันถูกอุกกาบาตพุ่งชน จึงกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ที่ไร้หุบเหว
ถัดจากหลุมลึกเป็นแผ่นหินมีอักขระจารึกไว้อยู่สองตัว ‘เผิงไหล’
นอกจากนี้ยังมีอักขระขนาดใหญ่แถวหนึ่งถูกสลักอยู่ถัดจากนั้น โดยสังเกตจากรอยกดลึกลงไปบนเนื้อความ แสดงให้เห็นว่าผู้ที่สลักตัวอักขระแถวนี้ขึ้นจะต้องตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งในเวลานั้น
‘เผิงไหล ในที่สุดข้าก็พบ!’
จื้อเซียนแปลความ
“มาถึงกรณีนี้ หนทางเดียวที่มีความเป็นไปได้สำหรับเขาในตอนนี้คือ…”
ดวงตาของชายหนุ่มกลอกตามองไปยังหลุมลึกข้างกายทันที
ความมืดมนอนธการภายในหลุมลึกนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับว่าถูกเชื่อมโยงเข้ากับห้วงแห่งความว่างเปล่าอื่น
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
จื้อเซียนเหลือบมองยังไปยังพื้นที่มืดมิดภายในหลุมเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“เขาต้องอยู่ที่นี่แน่ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยหากจะยอมพ่ายแพ้แต่เพียงครึ่งทาง”
ไป๋ชิวหรานขบกรามแน่น
กระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำที่กำลังแบกรับน้ำหนักไว้ เคลื่อนออกจากฝักด้วยตนเอง โอบอุ้มเขาและจื้อเซียนโดยใช้ปลายแหลมคมค่อย ๆ เกาะยึดเข้ากับผนังของหลุมลึก ก่อนจะลงไปยังหลุมมืดแห่งนี้
“ข้ารู้สึกไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก…”
หลังจากลงไปเพียงไม่กี่ร้อยจั้ง จื้อเซียนกลับโพล่งขึ้น
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเหมือนมีบางอย่างกำลังเฝ้าดูเราอยู่…”
“ข้าเกรงว่าอาจเป็นผลกระทบทางจิตใจของเจ้ามากกว่า”
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าแท้จริงแล้วเขาก็ต้องการกล่าวปลอบประโลมใจตนเองไม่ต่างกัน
ทั้งสองยังคงลงลึกไปเรื่อย ๆ กระทั่งร่อนลงบนพื้นที่แห่งหนึ่งเมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งถึงสองลี้ ความมืดมิดรอบกายพลันเข้ามาโอบล้อมรอบประหนึ่งจะโอบกอดด้วยความอ่อนโยน
ชายหนุ่มชะงักค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่จู่ ๆ จะโพล่งขึ้นว่า
“ไม่นะ!”
เขาเร่งความเร็วดิ่งลึกลงไปยิ่งขึ้น แน่นอนว่ามีดาวเคราะห์สภาพแตกสลายบางดวงปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของทั้งสอง
“เราถูกเคลื่อนย้ายโดยห้วงมิติอย่างนั้นหรือ?”
จื้อเซียนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าสามารถซ่อนเร้นการแทรกแซงอันใหญ่หลวงจากห้วงมิติในยุคสมัยราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือ? ทักษะเช่นนี้…”
“แน่นอน การทำเช่นนี้วิถีสวรรค์คงจะไม่พอใจข้ามากเป็นแน่”
สีหน้าของไป๋ชิวหรานเริ่มตึงเครียด เสมือนดาวตกที่ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า พุ่งผ่านข้ามทางช้างเผือกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เขาเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผิงไหลกำลังล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรอันลึกล้ำ จึงโคจรขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายพร้อมด้วยพลังปราณที่แท้จริงเพื่อเปิดพื้นที่ในห้วงมิติด้วยพละกำลังทั้งหมด
ร่างของชายหนุ่มปรากฏห่างออกไปจากตำแหน่งเดิมนับพันลี้ภายในชั่วพริบตา ก่อนจะย้อนกลับมาสู่ท้องฟ้าเหนือหลุมลึกขนาดใหญ่บนยอดเขาเผิงไหลได้สำเร็จ
หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว ไป๋ชิวหรานก็รีบดิ่งลึกลงไปด้วยความเร็วสูงสุดทันที ข้ามผ่านความมืดมนอนธการอันไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว
บางทีความเร็วของเขาในครั้งนี้อาจจะเร็วเกินกว่าที่วิถีสวรรค์จะตอบสนองได้ทันการณ์ คราวนี้ ปรากฏการณ์การถูกเคลื่อนย้ายห้วงมิติจึงไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ทว่าหลังจากที่ไป๋ชิวหรานรีบร้อนดิ่งลึกลงไปได้หลายพันลี้ เขากลับรู้สึกถึงความกดดันอย่างรุนแรงภายใต้ร่าง แรงกดดันจนเกือบควบแน่นกลายเป็นสสารบางอย่าง หวังปิดกั้นไม่ให้ดิ่งลงต่อไป
ด้วยแรงกดดันนี้ ร่างกายของไป๋ชิวหรานจึงแข็งค้างไปเล็กน้อย จากนั้นก็เกิดแรงกดดันที่คล้ายกันทับลงมาจากด้านบน แรงกดดันทั้งสองประกบเขาจากทั้งสองฝั่ง ความกดดันนี้รุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ถูกแรงกดดันปิดกั้นเมื่อเผชิญหน้ากับวิถีสวรรค์เป็นครั้งแรก ภายในแม่น้ำแห่งกาลเวลา
คราวนี้วิถีสวรรค์เลิกใช้วิธีการควบคุมกระแสน้ำแห่งกาลเวลาแล้ว ทว่ารวบรวมพลังทั้งหมดของเขาไว้ให้อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เพื่อหวังจะบดขยี้โดยตรง
เพียงเพราะไม่ต้องการให้ข้าได้พบกับสวรรค์ริษยารุ่นแรกอย่างนั้นหรือ?
ที่ผ่านมาชายหนุ่มถูกวิถีสวรรค์หลายขัดขวางหลายต่อหลายครั้ง เวลานี้ไป๋ชิวหรานโกรธจัดถึงขีดสุด เขาสามารถเปิดพลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในคฤหาสน์ม่วงได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมกันกับขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายที่หลั่งไหลออกมาจากแขนขา ทั้งยังพลุ่งพล่านออกมาจากโครงกระดูกหลายร้อยชิ้น โคจรไหลเวียนอยู่บนผิวกายโดยทั่ว พยายามต้านทานแรงกดดันจากวิถีสวรรค์อย่างสุดความสามารถ
ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงยิ่งกว่า ไป๋ชิวหรานจึงไม่รอช้า และควบคุมกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำก่อนจะเดินหน้าดิ่งลึกลงไปอย่างแน่วแน่
ทว่าด้วยแรงกดดันมหาศาลจากวิถีสวรรค์ ทำให้ความเร็วในการดิ่งลึกลงต่อไปเชื่องช้ายิ่งนัก เขาลงมาได้เป็นระยะทางเพียงไม่กี่เมตรต่ออึดใจเดียวเท่านั้น
ถึงกระนั้น ทั้งวิถีสวรรค์และไป๋ชิวหรานไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้กันแต่อย่างใด วิถีสวรรค์เริ่มดึงพลังงานจากห้วงแห่งความว่างเปล่านอกโลก พร้อมระดมพลังงานอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เพื่อกดดันชายหนุ่ม หมายบดขยี้เขาให้แหลกลาญไปข้าง!
ทางฝั่งของคฤหาสน์ม่วงภายในร่างกายของไป๋ชิวหราน ซึ่งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ภายในมากมายเพียงใด คอยสนับสนุนให้เขายังคงดิ่งลงไปเบื้องล่างได้ภายใต้แรงกดดันจากวิถีสวรรค์
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยหลายจุดที่พึงสังเกต ซึ่งมีเพียงจื้อเซียนที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวของไป๋ชิวหรานเท่านั้นที่สามารถสังเกตเห็นรายละเอียดเหล่านั้น บนพื้นผิวตามร่างกายของชายหนุ่มทั่วร่างกายก่อตัวขึ้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นเสมือนโล่อันแข็งแกร่ง เส้นใยสีทองของขั้นวิญญาณแท้จริง เริ่มบีบอัดกันเป็นเกลียวชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันนั้น จื้อเซียนก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของชายที่อยู่ไม่ห่างไปจากเขายิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้น
แต่ละลมหายใจที่ผ่านไป ความเร็วในการรุดลงไปเบื้องล่างของไป๋ชิวหรานจะเพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่งส่วน อีกทั้งขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายยังแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวบีบรัดเข้าไปในเนื้อและกระดูกตามร่างกาย ทว่าร่างกายของไป๋ชิวหรานยังสามารถต้านทานไว้ได้เสมอ ทำให้เขาสร้างพลังความแข็งแกร่งในระดับที่สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว อาศัยวิธีการฝึกฝนกับการพัฒนาโดยสัญชาตญาณของร่างกายตนเองประกอบอีกสองสามประการ ขณะเคลื่อนที่ลึกลงไปอีกประมาณหนึ่งร้อยจั้ง ร่างกายของเขาก็ยิ่งเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนในที่สุด เมื่อขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายของไป๋ชิวหรานทวีขึ้นจนถึงระดับเกือบหนึ่งในสิบของพลังวิญญาณที่แท้จริงทั้งหมด เขาจึงประสบความสำเร็จในการหลีกหนีพ้นจากแรงกดดันของวิถีสวรรค์
เสียงแตกกระจายดังกัมปนาทขึ้นจากห้วงแห่งความว่างเปล่าโดยรอบ ร่างกายของชายหนุ่มสามารถเจาะทะลุกำแพงของวิถีสวรรค์ที่คอยปิดกั้น พุ่งออกไปราวกับสายรุ้งสีขาวโพลน ท้ายที่สุดแรงกดดันจากวิถีสวรรค์จึงไม่มีกำลังมากพอที่จะยับยั้งได้อีกต่อไป
ด้วยการช่วยเหลือจากจื้อเซียน ทำให้เขาดิ่งลงมาจนถึงก้นหุบเหวของหลุมลึกมืดมิดแห่งนี้ได้สำเร็จ