ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 183 ความตายของสวรรค์ริษยารุ่นแรก
บริเวณโดยรอบยังคงเป็นสีดำสนิท แม้กระทั่งความมืดมิดใต้ฝ่าเท้า ทว่าไป๋ชิวหรานก็ยังสัมผัสได้ถึง ‘ก้นบึ้ง’ ที่แท้จริงของมัน
ไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองบนพื้นที่มืดดำโดยรอบ เขาต้องการใช้เวทคาถาเรียกแสง แต่ความมืดนี้กลับมีความพิเศษบางประการเช่นเดียวกับความมืดมิดขณะที่เข้าไปยังสุสานเหล่าทวยเทพ
ในที่สุด หลังจากพยายามสร้างดวงไฟขึ้นอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มก็ใช้แสงสลัวราง ๆ ส่องดูตามพื้น พบว่าเหนือความมืดมิดเบื้องล่างมีรอยรองเท้าฟางคู่หนึ่งที่มีแสงสีน้ำเงินเลือนรางส่องประกาย
เขาพยายามระงับสติอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ก่อนจะไล่เดินตามรอยเท้าไปตลอดทาง
หลังจากเดินต่อไปโดยไม่อาจรู้ว่าระยะเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็พบแท่นหินปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดเบื้องหน้า ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นหินโดยหันหลังให้
เมื่อเห็นภาพนั้น ชายหนุ่มพลันรู้สึกปรีดายิ่งนัก รีบก้าวขึ้นไปบนแท่นหินทันที
“ข้า… ไป๋ชิวหราน ศิษย์รุ่นหลัง มาพบกับผู้อาวุโสสวรรค์ริษยารุ่นแรกครั้งนี้ ด้วยเพราะมีคำถามสองสามประการ ใคร่ร้องขอให้ผู้อาวุโสโปรดให้คำชี้แนะ…”
ไป๋ชิวหรานไม่รอช้ารีบเดินอ้อมไปด้านหน้าทันทีขณะโค้งคำนับพร้อมประสานมือ เพื่อที่จะได้เห็น ‘สวรรค์ริษยารุ่นแรก’ ให้เป็นบุญตา
ทว่าชายหนุ่มกลับตะลึงงัน นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
ซากศพผอมแห้งนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน เสื้อผ้าบนร่างขาดรุ่งริ่ง เบ้าตาจมลึกเข้าไปภายใน ไร้ซึ่งสัญญาณแห่งชีวิต
ไม่ไกลจากเท้าของเขา มีร่องรอยขีดเขียนของอักขระโบราณที่ถูกเขียนลงไปด้วยนิ้วมือ มีบางสิ่งสีดำแห้งกรังติดอยู่ในรอยนั้น สันนิษฐานว่าอาจเป็นเลือดแห้งของผู้อาวุโสคนนี้
พินิจจากลายมือที่ขีดเขียน สามารถคาดเดาได้ว่าคงรู้สึกไม่พอใจและสับสนเป็นอย่างยิ่งขณะที่เขียนประโยคนี้ขึ้น
เมื่อมองจากมุมนี้ หัวกะโหลกจื้อเซียนที่แขวนอยู่ข้างกายสามารถเห็นถ้อยคำดังกล่าวอย่างชัดเจนเช่นกัน มันนิ่งเงียบอยู่นานในความมืดมิด และจากนั้นก็เริ่มแปลประโยคนั้นให้ไป๋ชิวหรานฟังด้วยเสียงต่ำ
‘ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งหลอกลวง ไม่มีโอสถอายุวัฒนะใดทั้งสิ้น ไม่อาจเอาชีวิตรอดออกไปได้ ข้าถูกขังอยู่ที่นี่โดยอำนาจบางอย่าง เผ่าพันธุ์คงไม่รอดอีกแล้ว… ไม่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างเป็นอมตะเพื่อต่อสู้กับจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ข้าเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า… อายุขัยมีจำกัด ไม่เข้าใจ… สวรรค์สร้างข้าขึ้นมา ถึงแม้จะกำเนิดหลังจากจักรพรรดิตะวันออกไท่อี แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ดีพร้อมยิ่งกว่าเขา ในเมื่อสวรรค์ให้มาเกิดในโลกใบนี้ แล้วเหตุใดเขาถึงคอยช่วยเหลือจักรพรรดิตะวันออกไท่อีให้จัดการกับข้า? ครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่สามารถหาทางรอดได้ ข้าไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้! เผ่าพันธุ์นี้จะกลายเป็นวัวและม้าเพื่อรับใช้พวกเผ่าเทพ ข้าไม่อาจยินยอมได้!’
จื้อเซียนอ่านข้อความบรรทัดสุดท้ายจบ พลันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อ
“เขาตายตกไปแล้วอย่างแท้จริง”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
ไป๋ชิวหรานรักษาท่าทีนิ่งสงบ เขาติดตามเสาะหาหนทางสู่การบรรลุมานานกว่าสามพันปี แต่ท้ายที่สุดกลับต้องมารับรู้ว่าสวรรค์ริษยารุ่นแรกสิ้นอายุขัยลงที่นี่เสียแล้ว แทนที่จะผิดหวังและโกรธเกรี้ยว ทว่ากลับประหลาดใจที่พบว่าในใจไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวนใดนอกจากความว่างเปล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ขณะมองดูศพ ชายหนุ่มก็ได้แต่เผยรอยยิ้มขมขื่น พร้อมกล่าวกับตนเองว่า
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าชาตินี้ เราจะไม่มีทางเอาชนะสวรรค์ริษยาได้เลย?”
“ฟังข้าให้ดี”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จื้อเซียนจึงเอ่ยขึ้น
“สวรรค์ริษยารุ่นแรกตายตกไปแล้ว เราจึงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าเขาฝึกฝนขั้นวิญญาณแท้จริงได้อย่างไร เวลานี้ เจ้าคือผู้เดียวที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดและสูงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตน เช่นนั้นควรเชื่อมั่นในตัวเองให้มาก เส้นทางต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเองแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีขั้นวิญญาณแท้จริงอยู่ภายในร่างกาย ถึงแม้จะไม่ใช่จำนวนมหาศาล แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกหนึ่งความหวัง เอาล่ะ… กลับไปคุยกันก่อนเถอะ”
…
ไป๋ชิวหรานพาร่างไร้วิญญาณของสวรรค์ริษยารุ่นแรกขึ้นมาจากหลุมยักษ์ของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผิงไหล ก่อนจะฝังเขาไว้ข้างแผ่นหินที่จารึกไว้ว่า ‘เผิงไหล’
บางทีวิถีสวรรค์อาจจะถูกเขาระเบิดออกจนพังทลายไปแล้ว ขณะที่ออกมาจากที่แห่งนั้น วิถีสวรรค์ก็ไม่รบกวนหรือปิดกั้นเขาอีก
หลังจากฝังศพสวรรค์ริษยารุ่นแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงขึ้นเหยียบกระบี่วารีสารทกระจ่างล้ำเพื่อเดินทางออกจากกวยซือ แทนการกลับไปยังฝูซางเพื่อพบกับเทพอีกาสามขาและซีเหอ ชายหนุ่มเหาะทะยานตรงไปยังแผ่นดินใหญ่ทันที ระหว่างทาง วิญญาณของเขาประหนึ่งล่องลอยหลุดออกจากร่าง จื้อเซียนพยายามร้องเรียกหลายหน ทว่าไป๋ชิวหรานกลับไม่ตอบสนอง
ห้วงเวลาภายในซากปรักหักพังหวนคืนแตกต่างจากโลกภายนอก ตราบใดที่ยังไปไม่ถึงแผ่นดินใหญ่ ทั้งสองจะไม่มีทางรู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว ตอนที่พวกเขาเข้าไปเป็นเวลากลางวัน แต่ตอนออกมากลับเป็นเวลากลางคืน
ทั้งสองค่อย ๆ เหาะข้ามท้องทะเลไป แนวชายฝั่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า ทว่าไป๋ชิวหรานกลับไม่มีอารมณ์จะยินดีใด ๆ ทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ปลุกจิตวิญญาณของเขาคืนกลับมาได้คือกลิ่นฉุนไหม้ของบางอย่าง ไป๋ชิวหรานเพ่งสายตา พยายามกะพริบตามองไปยังทิศทางอันเป็นต้นเหตุของกลิ่นนั้น ก่อนที่จะพบเปลวเพลิงสูงเสียดฟ้าตรงมุมหนึ่งของชายฝั่งทะเล ทว่ากลุ่มควันดำทะมึนที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้พวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ ทั้งยังลอยสูงกระจายตัวกลายเป็นรูปร่างบิดเบี้ยวแปลกประหลาดกลางเวหา
ชายหนุ่มจำได้ว่าบริเวณแห่งนี้มีเผ่ามนุษย์ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมชายฝั่งทะเล และดินแดนตะวันออกแห่งนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของเขา ก่อนหน้านี้ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานยังเคยมาเยี่ยมเยียนเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ด้วยกัน
เขาหันกลับมาก่อนจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือถิ่นที่อาศัย ภายในหมู่บ้าน มีเทพเจ้าร่างสูงชะลูดกลุ่มหนึ่งกำลังทำการสังหารหมู่!
พวกเขาร่วมกันจุดไฟเผาหมู่บ้านให้วอดวาย พังกำแพงและบ้านเรือนทั้งหมดของหมู่บ้านด้วยอาวุธ เผ่ามนุษย์ในหมู่บ้านดังกล่าวส่งเสียงกรีดร้องวิ่งหนีตายไปรอบด้าน ทว่ากลับถูกเทพเจ้าที่กำลังเดินอยู่บนถนนขวางทางไว้
เทพเจ้าหลายองค์แสยะแยกเขี้ยวคำราม บ้างก็กดบรรดาหญิงสาวลงกับพื้นเพื่อกระทำสิ่งโสมมกับพวกนาง บ้างก็ไขว่คว้ามนุษย์โยนเข้าปากก่อนจะเคี้ยวกลืนลงคอ!
เผ่ามนุษย์ในหมู่บ้านทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้การกระทำอันทารุณของเหล่าทวยเทพ กลายเป็นภาพเหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่สุด
ไป๋ชิวหรานรีบร่อนลงสู่พื้นดิน จ้องเขม็งมองเทพเจ้าที่กระทำการไร้ศีลธรรมอยู่ภายในหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ ก่อนจะปรี่เข้าไปถาม
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?!”
เหล่าทวยเทพหันหน้าไปยังทิศทางของเสียงด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะลั่นพร้อมกล่าว
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นท่านแม่ทัพไป๋นี่เอง พวกเรามาที่นี่เพื่อปฏิบัติตามพระบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์ จัดการกับมนุษย์ที่ไร้ความจงรักภักดีเหล่านี้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรเบื้องล่าง ท่านแม่ทัพไป๋ ที่นี่มีมนุษย์หญิงสองสามนางหน้าตาสวยสดงดงาม เจ้าต้องการเรียกหาพวกนางหรือไม่? เผื่อจะได้ลิ้มรสชาติอื่นที่แตกต่างบ้าง”
“ได้”
ไป๋ชิวหรานกวักมือเรียกเขา
“เจ้ามานี่ซิ”
เทพเจ้าองค์นี้คิดว่าไป๋ชิวหรานคงจะมอบรางวัลให้เขาเป็นแน่ ดังนั้นจึงรีบรุดมายืนอยู่เคียงข้าง
ทว่าชายหนุ่มกลับตบหน้าเขาอย่างแรง ก่อนจะสอดฝ่ามือเข้าไปในปากของอีกฝ่าย แล้วปลดปล่อยปราณกระบี่ออกตัดศีรษะครึ่งซีกอย่างไม่ไยดี
“เจ้ากล่าวถูกต้อง”
ไป๋ชิวหรานเหวี่ยงศีรษะครึ่งซีกที่ติดอยู่กับมือทิ้งไปอีกทาง ก้าวข้ามศพที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะจ้องเขม็งมองดูเหล่าทวยเทพ
“ถึงเวลาแล้วที่ข้าควรลิ้มรสชาติที่แตกต่างบ้าง”
“แม่ทัพไป๋เสียสติไปแล้ว!”
หลังจากนั้นไม่นาน ภายในหมู่บ้าน เสียงกรีดร้องของเผ่ามนุษย์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงของเหล่าทวยเทพที่ร้องโหยหวนด้วยความสยดสยองอย่างไม่รู้จบ
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็โยนซากศพสุดท้ายของเทพเจ้าที่ฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ ทิ้งไป
เขาหันไปเรียกกระแสน้ำจากมหาสมุทรให้โถมขึ้นฝั่งเพื่อดับไฟ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน มองดูซากศพมนุษย์รอบกายที่ถูกกองทับถมเป็นภูเขาเลากา แล้วถอนหายใจออกอย่างสิ้นหวัง
กลิ่นเค็มของน้ำทะเล กลิ่นคาวเลือด กลิ่นควันไฟที่ยังไม่จางหายแม้เปลวเพลิงจะมอดดับ รวมถึงกลิ่นทุกชนิดผสานประดังประเดเข้าสู่จมูกขณะที่สูดลมหายใจ ทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย
คงนานพอควรแล้วที่เหล่าทวยเทพมาถึงที่นี่ ผู้คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ถึงตายตกไปจนสิ้น เหลือเผ่ามนุษย์อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ลมหายใจถี่กระชั้น ร่างสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง
ไป๋ชิวหรานยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบพู่กันและกระดาษออกมาจากถุงเก็บสมบัติ แล้วเริ่มเขียนภาพลงบนม้วนกระดาษเปล่า
ความคิดของชายหนุ่มสับสนปนเปเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร แผ่นดิน สวรรค์ โลก เผ่าเทพ เผ่ามนุษย์ สังคม บ้านเรือน นกและสัตว์อื่น ๆ ดอกไม้ พืชพรรณ แหล่งเพาะปลูก รวมไปถึงสถานที่ทำปศุสัตว์ โดยที่มือของเขาจรดปลายพู่กันขีดเขียนลงไปตามความคิดที่วุ่นวายเหล่านั้น บนกระดาษว่างเปล่าตรงหน้าเต็มไปด้วยทุกสิ่งดั่งใจต้องการ
สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่า คือการที่กล่าวได้ว่าลวดลายเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย ทว่าเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับกลายเป็นภาพวาดที่สมบูรณ์แบบบนม้วนกระดาษ เมื่อไป๋ชิวหรานกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ภาพเขียนก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว ห้วงมิติในภาพวาดถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน
ชายหนุ่มทำให้หมึกแห้งเหือดไป ก่อนจะส่งสัมผัสเทวะออกไปเป็นรัศมีวงกลมเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตที่ยังซ่อนตัวอยู่ในซากปรักหักพัง ขณะนั้นเอง เขายังรู้สึกว่ามีวิญญาณจำนวนมากที่ยังเร่ร่อน เดินเตร่ไปมาอยู่ในซากปรักหักพัง…
ยุคสมัยนี้ยังไม่มียมโลก วิญญาณเหล่านี้นานวันเข้าอาจถูกเทพเจ้ากลืนกิน หรือกลายเป็นอาหาร หรือไม่พวกเขาอาจหลบหนีไป ก่อนจะกลายเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่ในผืนป่า
ไป๋ชิวหรานยื่นมือออกไปเพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิตทีละคน ซึ่งผู้คนเหล่านั้นต่างมองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชายหนุ่มยังไม่มีอารมณ์จะอธิบายสิ่งใดในเวลานี้ ทำเพียงคลี่ม้วนกระดาษให้กางออก ก่อนจะบรรจุผู้รอดชีวิตและดวงวิญญาณทั้งหมดให้เข้าไปอยู่ในม้วนกระดาษ
เขาเดินออกจากหมู่บ้านไป เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด
“จื้อเซียน”
ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มกล่าวเสียงแผ่วเบา
“เจ้ากล่าวถูกต้อง บางทีเส้นทางในอนาคตข้างหน้า ข้าอาจเป็นผู้ที่บุกเบิกมันด้วยตัวเอง”
“เจ้าคิดหนทางออกแล้วหรือ?”
จื้อเซียนถามกลับด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ กระแสห้วงเวลาที่แตกต่างไป การแทรกแซงจากวิถีสวรรค์ ความเกลียดชังของเหล่าทวยเทพ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอุปสรรคขัดขวาง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าจะหยุดหรือยอมพ่ายแพ้”
ไป๋ชิวหรานก้มหน้าลงแล้วกล่าวต่อไป
“สิ่งที่ผูกมัดอยู่ในเวลานี้คือตัวของข้าเอง ข้าต่างหากที่พยายามหลีกหนีมัน… ปัญหาที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าทำได้หรือไม่ แต่จะทำสิ่งใดต่อจากนี้มากกว่า”
เมื่อเหลือบมองไปยังซากปรักหักพังเบื้องหลัง เขากระซิบ
“ให้มนุษย์ทุกคนบรรลุขั้นสร้างรากฐาน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกเผ่าเทพรังแกอีกต่อไป อุดมการณ์ของข้าต้องเป็นจริง!”
ชายหนุ่มกระชับม้วนกระดาษในมือแน่น ขณะเดินรุดไปข้างหน้า
เทพเจ้า… พวกแกมันเลวระยำสิ้นดี เห็นชีวิตมนุษย์เป็นเช่นหมูหรือหมา
เทพเจ้า… พวกแกไร้ซึ่งเลือดเนื้อหรือสามัญสำนึก… เข่นฆ่ามนุษย์ให้ล้มตายอย่างไร้ปรานี
เทพเจ้า… เช่นนั้นพวกแกกล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าหรือไม่!