ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 194 ขั้นเหนือเซียน
บทที่ 194 ขั้นเหนือเซียน
ไป๋ชิวหรานเข้าสู่สมาธิ เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับระดับขั้นการฝึกตนหลังจากกลายเป็นเซียนแล้ว แม้ว่าระดับขั้นจะอยู่ในระดับที่น่าอับอายยิ่ง ทว่าในแง่ของพลังปราณทั้งหมดภายในร่างกาย เขาเชื่อว่าตนเองไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเซียนในรุ่นหลัง ดังนั้นหากเป็นเพียงการจำลองและอนุมานขั้นการฝึกตน การเรียกใช้ขั้นวิญญาณแท้จริงในร่างกายก็นับว่าเพียงพอแล้ว
จื้อเซียนบอกเล่าให้เขารับรู้ถึงลักษณะของขั้นการฝึกตนหลังจากกลายเป็นเซียนปฐพี ในยุคสมัยของเซียนปฐพี หลังจากผ่านขั้นมหายานในคฤหาสน์ม่วงแห่งเซียนปฐพี จะมีแก่นของจิตวิญญาณขนาดเล็กปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกตน ซึ่งระดับขั้นนี้เรียกว่า ‘หอคอยมหาเซียน’
หอคอยมหาเซียนที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนแรกเป็นเพียงภาพหลอน ซึ่งผู้ที่เป็นเซียนปฐพีจำเป็นต้องเติมพลังทางจิตวิญญาณของหอคอยเซียนผ่านการฝึกฝน ให้มันควบแน่นเป็นรูปร่าง และเมื่อการบรรลุสู่หอคอยมหาเซียนได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่จนถึงจุดสูงสุด มันจะกลายเป็นขั้นการฝึกตนที่สมบูรณ์แบบมหาศาลของขั้นเซียนปฐพี
สำหรับเซียนปฐพีและผู้ครอบครองสรีระเซียน ไม่ควรมีช่องว่างของความแตกต่างในช่วงเริ่มต้น ยกเว้นว่าจะได้รับพลังปราณแห่งจิตวิญญาณเซียนเพื่อหลอมสร้างกายของตนเอง ทั้งสองสิ่งล้วนเป็นเซียนที่พัฒนาขึ้นมาจากเผ่ามนุษย์ที่เพียรพยายามฝึกฝน
ไป๋ชิวหรานจัดการกับขั้นวิญญาณแท้จริงของตน พร้อมก่อสร้างโครงสร้างของคฤหาสน์ม่วงของผู้ฝึกตนสามัญขึ้นมาตรงหน้า จากนั้นจึงอนุมานทีละขั้นตอน จากขั้นกลั่นลมปราณไปจนถึงขั้นมหายาน จากนั้นทำตามวิถีทางของเซียนปฐพี อนุมานมันขึ้นเป็นความสมบูรณ์แบบมหาศาลของขั้นเซียนปฐพี
ชายหนุ่มเพ่งมองไปยังผู้ฝึกตนเซียนที่นั่งอยู่บนหอคอยมหาเซียนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สำหรับโอกาสในการบรรลุ ไป๋ชิวหรานคิดว่าหอคอยมหาเซียนนี้อาจถูกสร้างขึ้นหลังจากบรรลุสู่ขั้นเซียนได้แล้วเท่านั้น ทั้งยังสามารถขัดเกลาได้เหมือนยุทธภัณฑ์ ส่วนขั้นการฝึกตนสามารถขัดเกลาเพิ่มได้ด้วยการฝึกฝนให้มากขึ้น หมายความว่าหอคอยมหาเซียนยังสามารถกลายเป็นยุทธภัณฑ์แห่งโชคชะตา ที่สามารถใช้โจมตีหรือแม้แต่ป้องกันได้… นั่นเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่ง
คิดแล้วก็ต้องริเริ่มลงมือ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือออกไปยังหอคอยมหาเซียนและเริ่มขัดเกลา
เนื่องจากมันเป็นมวลสารพลังปราณที่ควบแน่นเป็นทุนเดิม จึงไม่จำเป็นต้องใช้ปราณอัคคีในการปรับแต่ง ใช้เพียงเปลวเพลิงกับปราณวิญญาณจากภายในคฤหาสน์ม่วงเท่านั้น ไป๋ชิวหรานคาดว่านอกจากเขาแล้ว คฤหาสน์สีม่วงของผู้ฝึกตนคนอื่นคงไม่สามารถต้านทานสิ่งนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงข้ามขั้นตอนนี้ไป แล้วเริ่มเขียนอักขระลงบนหอคอยมหาเซียนโดยตรง
เขาเริ่มต้นด้วยอักขระโบราณอันเป็นพื้นฐานที่สุด ไป๋ชิวหรานเขียนอักขระลงไปเพียงบรรทัดเดียว เนื่องจากเพียงจำลองเป็นผู้ฝึกตนสามัญ ก่อนจะทำการจารึกลงไปทีละขั้นตอน กลวิธีนี้ใช้ได้ผลจริงสำหรับตัวเขา แรงกระตุ้นสู่การบรรลุขั้นการฝึกตนภายในคฤหาสน์ม่วงนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอักขระที่ถูกจารึกไว้
ไป๋ชิวหรานสลักจารึกอักขระพื้นฐานทั้งหมดที่รู้จักลงไป จากนั้นจึงเริ่มจารึกอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เรียนรู้มาจากโครงสร้างของคัมภีร์เทพด้วยความช่วยเหลือของเจียงหลาน
ผลคือ การจารึกถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์เพียงสองคำนั้นไม่เพียงพอ คฤหาสน์ม่วงแทบระเบิดออกเพราะมันไม่สามารถยึดมั่นไว้ได้!
ชายหนุ่มลองเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะอีกสองสามอย่าง และทำการทดลองทีละอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการแบ่งจารึกถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำออกเป็นสี่ส่วน เพราะเจียงหลานเคยมีสถานะเทพแห่งท้องทะเล ทำให้เขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำมากกว่าสิ่งอื่น
“ทำไม่ได้…”
ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะตั้งท่ายอมแพ้ การใช้กลวิธีนี้ แม้แต่อักขระศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำที่สามารถให้ผลลัพธ์ดีที่สุดยังอยู่ในระดับของแม่ทัพเทพธรรมดาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจใช้เป็นวิธีการเสริมความแข็งแกร่งได้
เขายกมือขึ้นเพื่อปลดปล่อยปราณกระบี่ ฟาดฟันหินชนวนบนผนังของหุบเขาเพื่อจารึกวิธีนี้ไว้
จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงเปลี่ยนแปลงไปใช้วิธีคิดแบบอื่น
เนื่องจากการบรรลุสู่ขั้นหอคอยมหาเซียนไม่อาจทำได้โดยง่าย คราวนี้เขาจึงเริ่มต้นด้วยการใช้ปราณวิญญาณที่เป็นต้นกำเนิดแหล่งพลังปราณของผู้ฝึกตน ตามเป็นความจริงแล้ว มันควรต้องปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้งด้วยการปรับปรุงขั้นการฝึกตนเสียใหม่
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่ารูปลักษณ์โดยสามัญของปราณวิญญาณคือผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นเซียนที่ควรจะได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ดังนั้นชายหนุ่มคิดจะเปลี่ยนแปลงแค่ในส่วนของสาระสำคัญเท่านั้น
ครั้งแรก เขาใช้วิธีที่โง่เขลาที่สุด ซึ่งก็คือการอัดพลังปราณที่ก่อรวมขึ้นเป็นวิญญาณตั้งต้น
เป็นผลให้หลังจากที่ปราณวิญญาณถูกไป๋ชิวหรานบีบอัด ในที่สุดมันก็กลายเป็นร่างสีทองในคฤหาสน์ม่วง ก่อนจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีหลังจากการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
ไป๋ชิวหรานกุมขมับตนเอง ก่อนจะเปลี่ยนแปลงกลวิธีเสียใหม่ ครั้งที่สองถือว่าปราณวิญญาณเป็นเสมือนบุคคลผู้หนึ่ง จากนั้นจึงใช้พลังปราณแห่งจิตวิญญาณเพื่อขัดเกลาอุปกรณ์บางอย่างสำหรับเขา เช่นเดียวกันกับการควบแน่นเพื่อที่จะบรรลุสู่ขั้นหอคอยมหาเซียน
ในช่วงแรก มันประสบความสำเร็จ หลังจากที่ผู้ฝึกตนถือกระบี่และสวมชุดเกราะเข้าต่อสู้ มันจึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่หลังจากทำเช่นนั้น ระดับการเสริมกำลังกลับอยู่ในวงจำกัด ไป๋ชิวหรานเกือบจะเอาชนะผู้ฝึกตนคนนั้นได้ แต่ในที่สุดมันกลับกลายเป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่เคลื่อนไหวได้… จึงสามารถสรุปได้ว่าผลลัพธ์ของวิธีนี้ไม่ดีเช่นเดียวกันกับการจารึกอักขระลงบนหอคอยมหาเซียนโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การทดลองเส้นทางสู่การบรรลุขั้นเซียนจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไป๋ชิวหรานไม่คิดจะท้อถอย วิธีนี้ยังไม่มีประโยชน์แม้แต่จะใช้เป็นวิธีการเสริมกำลัง หลังมันถูกโยนทิ้งไปแล้ว เขาก็เริ่มทำการทดลองด้วยวิธีการใหม่…
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไป๋ชิวหรานปลีกวิเวกอยู่ในสถานที่ลึกลับระหว่างน้ำตกมาเกือบปีแล้ว ในแต่ละวันเมื่อเจียงหลานไม่มีงานใดต้องทำ นางจะออกไปเหม่อมองดูน้ำตกสักพักหนึ่งจนกว่าดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ก่อนจะกลับไปยังกระท่อม
แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานไม่เคยรับรู้เรื่องนี้ ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาได้ทดลองวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่จัดการกับหอคอยมหาเซียน จัดการกับปราณวิญญาณ หรือแม้แต่วิธีการที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์ม่วงทั้งหมด
ชายหนุ่มยังคิดที่จะให้ผู้ฝึกตนจำลองสร้างเส้นใยพิเศษทั้งแปดขึ้นในร่างกายของเขา นั่นคือคฤหาสน์ม่วงในจุดหลิงไถ แล้วปล่อยให้ผู้ฝึกตนทำการฝึกฝนร่างกายตนเองอีกครั้ง วัฏจักรนี้ดำเนินต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าวนเวียนเหมือนตุ๊กตาล้มลุก
เพียงแต่ผลจากการทำสิ่งนี้ คือเสี่ยงต่อการที่ผู้ฝึกตนอาจถูกปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นในภายหลัง ซึ่งปราณวิญญาณของผู้ฝึกตนสามัญย่อมไม่อาจทานทนต่อการถูกเขาทดลองได้บ่อยครั้ง
หลังจากทำการทดลองนานหลายปีติดต่อกัน ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าเขาถูกครอบงำทีละน้อย
นั่นทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจยุติการทดลองและล่าถอยชั่วครู่ แล้วเดินออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ
ทันทีที่เขาเดินออกมาจากน้ำตกก็พบว่าเจียงหลานยืนอยู่ข้างแหล่งน้ำที่น้ำตกหลั่งไหลลงมา สายตาของนางจับจ้องมองเหม่อไปยังน้ำตกประหนึ่งตกอยู่ในห้วงภวังค์
เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างคนต่างชะงักค้างกันไปครู่หนึ่ง
“ข้าเพิ่งมาที่นี่โดยบังเอิญ… ช่างบังเอิญเสียจริงที่ได้พบเจ้า”
ใบหน้าของเจียงหลานแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเอ่ยถาม
“เจ้าเสาะหาวิธีบรรลุผ่านได้แล้วหรือยัง?”
“ยัง”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้า เมื่อเห็นปฏิกิริยาอึดอัดใจของเจียงหลาน เขาจึงไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าจะพาไปเดินเล่นสักหน่อย”
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ไป๋ชิวหรานไม่ยอมให้เจียงหลานเดินทางกลับไปเพียงลำพัง ทว่าเหาะทะยานไปพร้อมนางและร่อนลงบนภูเขาใกล้เคียง
หลังจากที่พลังปราณแท้จริงแผ่กระจายออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นปราการปิดกั้นการมองเห็นที่อาจมาจากท้องฟ้า ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเหนือยอดเขา และเริ่มก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า
“ต่อให้ข้าจะเกลียดชังเหล่าทวยเทพเพียงใด”
เจียงหลานมองดูดวงดาวที่ส่องประกายแสงอยู่บนท้องฟ้า รู้สึกทึ่งกับมันเล็กน้อย
“ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาได้สร้างบางสิ่งอย่างสวยงามยิ่งนัก”
“ถึงกระนั้นสิ่งที่สร้างขึ้นก็เพื่อเฉพาะพวกพ้องของตนเพลิดเพลินไปกับความงดงามเหล่านี้ตลอดไป”
ไป๋ชิวหรานเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อไป
“ในอนาคต เผ่ามนุษย์ของเราจะสร้างท้องฟ้าที่งดงามยิ่งกว่าพวกเขา”
ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่บริเวณริมหน้าผา จากจุดนี้ พวกเขาสามารถมองเห็นขอบฟ้าจรดสุดขอบโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
“งดงามเหลือเกิน”
เจียงหลานกล่าวยกย่อง
“อืม งดงามมาก…”
ไป๋ชิวหรานมองดูธรรมชาติของสวรรค์และโลกนี้ ฉับพลันดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มจดจำประโยคคำสั่งสอนแรกที่นักพรตเต๋าชิงหมิงผู้เป็นอาจารย์เคยกล่าวไว้นับตั้งแต่เขานำพาตนเองเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตน
‘สิ่งที่เรียกว่าการเรียนรู้สัจธรรม การแสวงหาเต๋า การฝึกตน รวมถึงการแสวงหาตัวตนที่แท้จริง คือการทำความเข้าใจสวรรค์และโลกอย่างถ่องแท้ ดูดซับพลังแห่งสวรรค์กับโลกไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ ร่างกายมนุษย์มีศักยภาพมหาศาล ด้วยอานุภาพแห่งสวรรค์กับโลก หากสามารถดึงศักยภาพออกมาให้ร่างกายกว้างใหญ่เฉกเช่นเดียวกัน การกลายเป็นเซียนนั้นสามารถกระทำได้ภายในความคิดเดียวเท่านั้น’