ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 195 ห้าอาณาจักร
บทที่ 195 ห้าอาณาจักร
ไป๋ชิวหรานตระหนักถึงบางสิ่งในใจ หลังจากส่งเจียงหลานกลับไปยังกระท่อมเพื่อพักผ่อนแล้ว เขาจึงกลับไปยังถ้ำหลังน้ำตกเพื่อทำการฝึกฝนต่อไป
“ทำความเข้าใจสวรรค์และโลก แล้วทำให้ตนเองกว้างใหญ่เท่าเทียมกัน”
ไป๋ชิวหรานพร่ำบ่น
“ถ้าหากลองสร้างโลกขึ้นในคฤหาสน์ม่วงเล่า จะเกิดสิ่งใดขึ้น?”
ทันใดนั้นเขาจึงกระทำตามสิ่งที่ตนครุ่นคิด ขั้นวิญญาณแท้จริงเริ่มรวมตัวกันเป็นคฤหาสน์ม่วงที่มีลักษณะเสมือนจริง จากนั้นเริ่มอนุมานจากระดับสูงสุดของขั้นเซียนปฐพีทันที โดยสร้างโลกขึ้นจากภาพที่เคยพบเห็น
ดินแดนอันกว้างใหญ่เริ่มทอดยาวจากเบื้องล่างของหอคอยมหาเซียนเป็นครั้งแรก และเติมเต็มคฤหาสน์ม่วงทั้งหมด ภายในกระบวนการขยายอาณาจักร ชายหนุ่มได้เรียกใช้อักขระศักดิ์สิทธิ์ร่วมด้วย การกระทำนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกลับบางประการ และดูเหมือนการที่อาณาจักรทั้งหมดขยายใหญ่ขึ้น คฤหาสน์ทั้งหมดก็ได้กว้างขวางขึ้นตามไปด้วย
“มันได้ผล!”
ไป๋ชิวหรานลอบรู้สึกยินดีไม่น้อย ก่อนที่จะขยายขนาดต่อไป จนกระทั่งทั่วทั้งแว่นแคว้นและทวีปในโลกนี้ถูกสร้างซ้ำขึ้นภายในคฤหาสน์ม่วง
แน่นอน ด้วยปริมาตรทางพื้นที่ อาณาจักรผืนนี้ต้องเป็นขนาดย่อส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากการคิดคำนวณ การมาถึงสถานะนี้ ระดับขั้นการฝึกตนของผู้ฝึกตนสามัญอาจจะสามารถข้ามไปยังระดับที่เทียบได้กับเทพเจ้าทั่วไป หรือแม้แต่เหนือกว่าเล็กน้อย
“อาณาจักรแห่งนี้ เรียกว่าแคว้นโฮ่วถู!”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดในใจ พร้อมบันทึกลงในกระดานชนวนในขณะเดียวกัน
ชายหนุ่มไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะควบแน่นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่อยู่โดยรอบทวีปและผืนโลก ขณะเดียวกันผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองก็ดีขึ้นเช่นกัน
“ส่วนอาณาจักรแห่งนี้ เรียกว่าแคว้นชางไห่”
หลังจากสร้างแคว้นชางไห่เสร็จสิ้น สายตาของไป๋ชิวหรานพลันเลื่อนลงไปที่พื้นดิน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนวิธีอีกสองขั้นตอน ย้ายตำแหน่งของสองอาณาจักรแรกไปยังจุดศูนย์กลางของคฤหาสน์ม่วง จากนั้นก็สร้างโลกที่ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ขึ้น
เป็นดินแดนแห่งยมโลก สังสารวัฏหกวิถีของดวงวิญญาณ
ไป๋ชิวหรานไม่อาจทราบโครงสร้างเฉพาะเจาะจงของสังสารวัฏหกวิถี ทว่าเคยได้ยินเชวียหลิงหยิบยกมันมาเพื่อข่มขู่เขา นั่นจึงทำให้พอรู้สถานะของสังสารวัฏหกวิถีอยู่บ้าง
ตราบใดที่อยู่ภายในคฤหาสน์ม่วงที่จำลองขึ้นจากด้วยขั้นวิญญาณแท้จริง เขาก็ไม่เกรงกลัวผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ดังนั้นจึงสามารถจัดสรรได้ตามต้องการ
เมื่อรวมกับกฎแห่งกรรมและความตายที่จื้อเซียนเคยชี้แนะ เขาเริ่มพยายามเร่งกระบวนการอย่างต่อเนื่อง ในกระบวนการของความพยายามนั้น ทำให้ทำความเข้าใจในชีวิตกับความตายอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น กระทั่งประสบความสำเร็จในการสร้างสังสารวัฏหกวิถีอันเรียบง่ายภายในคฤหาสน์ม่วงได้สำเร็จ
หลังจากนั้น เป็นเวลานานพอสมควร เขาได้ทำให้สังสารวัฏหกวิถีสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เสร็จสิ้นการสร้างอาณาจักรนี้แล้ว ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าต้องจัดการตั้งชื่ออาณาจักรแห่งนี้ในขั้นสุดท้าย
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด จื้อเซียนเฝ้าสังเกตการณ์อย่างนิ่งเงียบด้วยความประหลาดใจ
“ส่วนอาณาจักรแห่งนี้ เรียกว่าแคว้นหลุนฮวาย!”
ไป๋ชิวหรานยังคงสรุปต่อไป นอกเสียจากแผ่นดินโลก มหาสมุทร และยมโลกแล้ว ยังมีท้องฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด เขาจึงสร้างท้องฟ้าขึ้นเหนือพื้นที่ในคฤหาสน์ม่วง พร้อมด้วยดวงดาวที่เปล่งแสงประกายแพรวพราวอยู่เต็มท้องฟ้า ในที่สุด ไป๋ชิวหรานก็นึกลังเลไปชั่วครู่ เพราะยังไม่ได้สร้างปราสาทสวรรค์ขึ้นเหนือท้องฟ้าแต่อย่างใด
ทว่าเขากลับยกหอคอยมหาเซียนและปราณวิญญาณขึ้นสู่เหนือท้องฟ้าแทน เพื่อทำให้อาณาจักรดังกล่าวสมบูรณ์แบบ
“อาณาจักรนี้ เรียกว่าแคว้นหวงเทียน!”
ไป๋ชิวหรานชะงักด้วยความลังเลไปอีกชั่วครู่ ในที่สุดจึงสร้างสถานที่อันมีลักษณะคล้ายคลึงกับเขตแดนซากปรักหักพังหวนคืน ณ บริเวณด้านล่างของคฤหาสน์ม่วงในช่องว่างเบื้องล่างของสังสารวัฏทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับซากปรักหักพังหวนคืนนั้นไม่ลึกซึ้งเพียงพอ อาณาจักรนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพียงครึ่งส่วนเท่านั้น ก่อนที่จะหยุดยั้งการก่อสร้างอย่างกะทันหันเมื่อภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผิงไหลปรากฏขึ้น
“อาณาจักรแห่งนี้ เรียกว่าแคว้นกวยซือ”
หลังจากสร้างดินแดนนี้และจำลองทุกสิ่งจนสมบูรณ์แล้ว ไป๋ชิวหรานก็ค้นพบว่าศักยภาพของอาณาจักรเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติสวรรค์เช่นในปัจจุบัน ทำให้เขาเข้าใจทันทีว่าตนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มแบ่งกระดานชนวนออก ก่อนที่จะสลักบันทึกแผนที่ของอาณาจักรที่เขาสร้างขึ้นลงบนกระดานชนวนแผ่นใหม่อย่างละเอียดครบถ้วน
…
ขณะเดียวกัน ในโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ถือกำเนิดขึ้นในโลก ฟ้าแลบฟ้าร้องรวมถึงอสนีบาตพลุ่งพล่านอยู่เหนือแผ่นฟ้าอย่างต่อเนื่อง แม้แต่เทพสายฟ้ายังควบคุมได้ยากยิ่ง
“เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”
ภายในปราสาทสวรรค์เต็มไปด้วยความโกลาหล เหล่าทวยเทพล้วนตื่นตระหนก จักรพรรดิตะวันออกไท่อีทอดสายตามองออกไปอย่างเคร่งขรึม
จับสังเกตจากพลังของวิถีแห่งสวรรค์ที่หยิบยืมมา เขารู้สึกว่าเจตจำนงทางจิตวิญญาณบางอย่างคล้ายจะรวมตัวกันอยู่ที่ไหนสักแห่งเหนือผืนโลก ทว่าแม้แต่วิถีสวรรค์ยังไม่อาจค้นหาพบ ดังนั้นจักรพรรดิตะวันออกไท่อีจึงไม่สามารถระบุตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้
…
ทันทีที่ไป๋ชิวหรานเพิ่งแกะสลักแผ่นหินอันเป็นกระดานชนวนเสร็จ จู่ ๆ บางสิ่งพลันปรากฏขึ้นในถ้ำเขาปิดผนึกไว้
ดูเหมือนว่าสิ่งดังกล่าวจะแห่แหนมาจากทั่วทุกมุมโลกยกเว้นตำแหน่งที่ไป๋ชิวหรานอยู่ ทุกอนุภาคพื้นฐานที่ประกอบรวมขึ้นเป็นโลกใบนี้รอบกายเขา… มีความประสงค์ใคร่จะห่อหุ้มเขาไว้ภายใน
หลังจากสิ่งนี้ปรากฏขึ้น ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ามัน ‘ให้ความสนใจ’ กับเขาในทันที ทว่าหลังจากเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นชายหนุ่ม สิ่งดังกล่าวคล้ายว่าจะตกตะลึง จากนั้นก็ล่าถอยกลับออกไปทันทีราวกับกระแสน้ำ
“โธ่เอ๊ย อย่าหนีไปนะ!”
ไป๋ชิวหรานลืมตาขึ้นพร้อมร้องตะโกน
“เจ้าคือวิถีแห่งสวรรค์มิใช่หรือ ออกมาเผชิญหน้าข้าสิ!”
ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนองกลับมาทั้งสิ้น
“นี่…”
จื้อเซียนไม่รู้ว่าควรกล่าวคำใดดี
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นวิถีสวรรค์อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
ไป๋ชิวหรานยังคงไม่ยอมแพ้ และยังคงร้องเรียกด้วยเสียงตะโกนต่อไป เขารู้ดีว่าวิถีสวรรค์จะต้องได้ยินอย่างแน่นอน
“ออกมาเถิด ‘วิถีสวรรค์’ ข้าเพียงต้องการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับเงื่อนไขบางอย่าง”
“วิถีสวรรค์ อย่ามัวหลบหน้าอยู่เลย ครั้งนี้ข้าจะไม่ต่อสู้กับเจ้าแล้ว”
ภายหลังจากโน้มน้าวอีกฝ่ายโดยหยิบยกเหตุผลมากล่าวมากกว่าสิบอย่าง ถึงอย่างไรวิถีสวรรค์ก็ไร้วี่แววว่าจะตอบสนอง ไป๋ชิวหรานจึงเริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว จึงวางมือลงบนพื้นแล้วเริ่มข่มขู่
“หากเจ้าไม่ยอมออกมาแต่โดยดี ข้าจะพลิกแผ่นดินนี้เสีย”
แน่นอนว่าชายหนุ่มเพียงกล่าวเพื่อข่มขู่เท่านั้น ต่อให้ทำได้จริง แต่เขาไม่มีวันทำอย่างแน่นอน ทว่าคราวนี้คล้ายท่าทีของไป๋ชิวหรานดูจริงจังไม่น้อย ทำให้วิถีสวรรค์พลันกระชากหวนย้อนกลับมาประหนึ่งกระแสน้ำ จากนั้นจึงส่งกระแสความคิดโต้ตอบกับเขา
“เจ้าต้องการอะไร?”
เมื่อครุ่นคิดตามถ้อยคำของอีกฝ่ายเพียงไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็เข้าใจสาส์นที่วิถีสวรรค์ส่งตรงถึงเขาทันที
ดังนั้นชายหนุ่มจึงตอบกลับไป
“ไม่มีอะไรมาก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ข้าเพียงอยากสร้างข้อตกลงเท่านั้น”
กระแสเจตจำนงของวิถีสวรรค์ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นไป๋ชิวหรานพลันรู้สึกถึงพลังปราณทางจิตวิญญาณในบริเวณรอบพื้นที่ทั้งหมด ก่อนที่มันจะรวบรวมไปยังจุดหนึ่งกลางอากาศ ภายใต้กฎเกณฑ์และกลวิธีอันยอดเยี่ยมบางอย่าง พลังปราณทางวิญญาณนั้นก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ในไม่ช้า ตรงหน้าไป๋ชิวหราน ปรากฏร่างมนุษย์ศีรษะล้านปราศจากเส้นผมและอวัยวะสืบพันธุ์ก็ปรากฏขึ้น…
ก่อนที่กายเนื้อนั้นจะเปลี่ยนลักษณะอีกครั้ง ร่างกายเริ่มจากลักษณะทางสรีรวิทยาของบุรุษ ตามด้วยเส้นผมสีขาวยาวสลวยที่งอกอยู่เหนือศีรษะ รวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เกิดจากความว่างเปล่าที่เคลื่อนเข้ามาห่อหุ้มร่างกายไว้
ไม่นานนัก ต่อหน้าไป๋ชิวหราน มนุษย์ผู้หนึ่งที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกันกับเขาทุกประการก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไป๋ชิวหรานพลันเลิกคิ้วขึ้นโดยสัญชาตญาณเพื่อแสดงความรังเกียจ
จากนั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ถึงอารมณ์ไม่พึงใจของเขา จึงแปรเปลี่ยนรูปร่างมนุษย์ไปอีกครั้ง บริเวณเนินอกเริ่มสูงชันขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเพศสภาพจากบุรุษเป็นสตรีผมขาวผู้งดงาม
สีหน้าของไป๋ชิวหรานยังคงเผยความแปลกแปร่งอยู่เล็กน้อยในคราวนี้ แต่ในที่สุดเขาก็ไม่แสดงความรังเกียจอีกต่อไป
ดังนั้นร่างกายของหญิงสาวจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันบริสุทธิ์ว่า
“สวรรค์ริษยา เจ้าอยากจะกระทำข้อตกลงใดกับเรา?”
“สวรรค์ริษยางั้นรึ?”
จื้อเซียนที่กำลังสังเกตการณ์อยู่เช่นกันรู้สึกประหลาดใจ
“มันไม่รู้จักชื่อแซ่ของเจ้าด้วยซ้ำหรือนี่?”