ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 2 การกลั่นลมปราณสามพันปี
บทที่ 2 การกลั่นลมปราณสามพันปี
ไป๋ชิวหรานเป็นชื่อที่มีอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณในสำนักกระบี่ชิงหมิง เมื่อสามพันปีก่อน กองทัพปีศาจได้เข้าโจมตีสิบมณฑลและเก้าเขตปกครอง เวลานั้นสำนักบ่มเพาะพลังหลักส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจากสงครามอย่างมาก และไม่สามารถฟื้นฟูได้ทัน
ในโลกที่กำลังโกลาหล ได้มีผู้ใช้กระบี่ซึ่งมากด้วยพรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น เขาเรียกตัวเองว่าชิงหมิงและกระบี่คู่กายชิงเฟิง เขาได้ปราบปีศาจและนำความสงบสุขกลับคืนมายังเก้าเขตปกครองสำเร็จ หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางไปยังภูเขาชิงหมิงในกู่โจวเพื่อเปิดสำนักและรับศิษย์ที่มีพรสวรรค์
ไป๋ชิวหรานเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของเซียนชิงหมิง เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บได้จากสนามรบโดยเซียนชิงหมิง ก่อนที่เซียนชิงหมิงจะพบตัว อีกฝ่ายกำลังเดินไปมาในสนามรบเพื่อเก็บของจากศพหาเลี้ยงชีพ
เนื่องจากเขามีพลังวิญญาณธาตุไม้ระดับสวรรค์ เขาจึงได้รับการช่วยเหลือโดยเซียนชิงหมิงและพาไปยังสำนักเพื่อรับเป็นศิษย์ลำดับที่สาม
พรสวรรค์ของไป๋ชิวหรานสูงอย่างมาก อีกทั้งยังมีสติปัญญาระดับต้น ๆ ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด เขาเริ่มฝึกเมื่ออายุสิบขวบ และได้เปิดจุดชีพจรของการรวบรวมลมปราณทั้งห้า จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริง
ในเวลานั้นสำนักกระบี่ชิงหมิงรวมถึงโลกมนุษย์ที่ประสบภัยจากปีศาจต้องการยอดฝีมืออย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเป็นความหวังสูงสุดของผู้คน และอาจเป็นถึงเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงคนที่สอง
แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานดำเนินการบ่มเพาะพลังตามความหวังของผู้คน เขาตั้งสมาธิและบ่มเพาะพลังต่อไปจนถึงอายุสิบเจ็ด และกลายเป็นผู้ฝึกตนที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยสามารถบรรลุระดับที่สิบของขั้นกลั่นลมปราณได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้
เซียนชิงหมิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เขาถึงกับยอมยกเลิกแผนการรับมือภัยพิบัติทั้งหมดที่เพื่อออกมาทำโอสถให้ไป๋ชิวหราน
โอสถวิเศษเสริมรากฐานพลังถูกกลั่นขึ้นโดยอาจารย์และยังมีบรรดาศิษย์ที่คาดหวังในตัวเขา ในคืนนั้น ไป๋ชิวหรานจึงทำการปิดประตูบ่มเพาะพลังเพื่อบุกทะลวงสู่ขั้นต่อไป
แต่เขากลับบรรลุระดับที่สิบเอ็ดของขั้นกลั่นลมปราณ
ในเวลานั้นทุกคนไม่ได้คิดอะไรมากนักโดยคิดว่ามันเป็นเพียงเพราะพรสวรรค์ของไป๋ชิวหราน แม้แต่เจ้าสำนักชิงหมิงก็ยังปลอบโยนเขาโดยบอกว่า ในอดีตนั้นมีผู้ฝึกตนมากมายที่เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น บางคนบรรลุไปถึงขั้นที่สิบห้าของขั้นกลั่นลมปราณ จากนั้นจึงค่อยบรรลุไปสู่รากฐานการบ่มเพาะพลัง
หลังจากผ่านไปสามพันปี ผลที่ได้ก็คือเจ้าสำนักชิงหมิงสามารถบรรลุขั้นเซียนและเข้าสู่โลกเซียนสำเร็จ หลังจากนั้นศิษย์พี่ของเขาได้ก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนัก แต่ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากพยายามบรรลุขั้นเซียน ศิษย์น้องลำดับที่หกของเขาสามารถบรรลุขั้นพลังก่อนเขาและเป็นผู้คิดค้นวิชากระบี่ล่องวายุ
สำหรับไป๋ชิวหราน ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในขณะนั้น เขาบรรลุขั้นกลั่นลมปราณไปจนถึงระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบสี่
จวบจนวันนี้ แม้แต่เด็กน้อยที่เขาพาเข้าสำนักก็เดินทางลงจากเขาไปเมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว หรือบางคนก็กลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและแยกตัวไปฝึกฝนเพื่อรอรับมือกับภัยพิบัติ มีเพียงเขาที่ยังคงดิ้นรนอย่างไม่ลดละเพื่อบรรลุรากฐานการบ่มเพาะพลัง
—
หลังจากเจ้าอสูรอัสนีถูกไป๋ชิวหรานตัดศีรษะไป เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ตอบสนองทันทีและสั่งให้ศิษย์สายตรงรีบมาทำความสะอาด จากนั้นได้เชิญไป๋ชิวหรานเข้าไปยังยอดเขาหลัก
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ลุงที่ช่วยสำนักไว้”
หลังจากมาถึงลานประชุมของยอดเขาหลัก เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้พาพวกผู้อาวุโสคนอื่นเข้ามาโดยยังไม่ให้พวกเขานั่ง แต่ให้ที่นั่งหลักแก่ไป๋ชิวหรานแทน
“มิเช่นนั้นหากเทียบขั้นพลังกับเจ้าอสูรอัสนีเมื่อครู่ พวกเราคงไม่สามารถเอาชนะมันได้โดยง่ายแน่นอน นอกจากจะสร้างความเสียหายให้สำนักแล้ว มันยังจะเป็นภัยต่อผู้คนอีก”
“ไม่เป็นไร” ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ในรุ่นของข้าที่อาจารย์รับเข้าสำนักเหลือข้าเพียงคนเดียว มันย่อมเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องดูแลคุ้มภัยให้สำนักและคนรุ่นหลัง”
“โชคดีที่การจู่โจมของสัตว์อสูรครั้งนี้ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ แต่ประตูสำนักคงต้องใช้เวลาซ่อมแซมพอควร”
ผู้อาวุโสคนที่สามด้านขวาเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ แล้วการคัดเลือกศิษย์พรุ่งนี้ล่ะ?”
“เลื่อนออกไปก่อนสามเดือน”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็กล่าวต่อ “สัตว์อสูรอัสนีโจมตีและทำลายแผนการที่เราเตรียมไว้สำหรับคัดเลือกลูกศิษย์ ไม่ต้องห่วง พวกเราจะจัดการเรื่องนี้ให้รวดเร็วที่สุด ส่วนผู้ที่มาสมัครเป็นศิษย์ให้พักที่เมืองเสวียนเจี้ยนข้างล่างตีนเขาก่อน สำนักกระบี่ชิงหมิงจะจ่ายค่าที่พักและค่าอาหารให้ในช่วงสามเดือนนี้เอง”
“ยังมีอาคมป้องกันของภูเขาที่ต้องซ่อมอยู่อีกด้วย”
ผู้อาวุโสหก ชิงอวิ๋น กล่าวอย่างอ่อนโยน
“นอกจากนั้นตอนพวกผู้อาวุโสต่อสู้กับเจ้าอสูรอัสนี ปราณกระบี่และแรงกระแทกได้ทำลายอาคารไปหลายแห่ง รวมถึงโกดังเก็บวัสดุสองหลัง คาดว่าวัสดุภายในนั้นน่าจะได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้ก็ต้องรีบซ่อมแซมให้เร็วที่สุด”
“ตกลง เรื่องจะถูกมอบหมายให้เจ้า ชิงอวิ๋น จงนำศิษย์ที่ดูแลอยู่ไปซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด ข้าจะให้ หลิวอวิ๋น จัดการเรื่องเงินทุนที่จำเป็นเอง” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อออกคำสั่งอย่างใจเย็น
“รับทราบ”
ชิงอวิ๋นและหลิวอวิ๋น ทั้งสองคือผู้อาวุโสหญิงของสำนักกระบี่ชิงหมิง หลังจากรับคำสั่ง ทั้งสองก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและคนในสำนักได้หารือกันเรื่องเหตุการณ์ล่าสุด และจัดทุกอย่างให้เป็นระเบียบอีกครั้ง
ในระหว่างการสนทนานี้ ไป๋ชิวหรานไม่ได้กล่าวสิ่งใดและมองดูอย่างเงียบ ๆ เมื่อทุกอย่างจบ เขาจึงถอนหายใจออกมา
“เวลาผ่านไปรวดเร็วจนเด็กหนุ่มหน้าตายในตอนนั้นกลายเป็นผู้นำของคนรุ่นต่อไปแล้ว”
“ทั้งหมดนี้ก็เพราะมีอาจารย์ลุงคอยดูแล”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวกับไป๋ชิวหรานอย่างจริงใจ
ในตอนที่เขาได้รับเลือกให้เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไป เขาก็ได้พบกับการล้อมกรอบจากพวกสำนักมารและสำนักบ่มเพาะพลังอื่น ๆ เมื่อเข้าตาจนอย่างแท้จริง ไป๋ชิวหรานได้เป็นผู้เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้
“ข้าโล่งใจที่มีเจ้าอยู่ที่นี่”
ไป๋ชิวหรานยิ้มรับแล้วกล่าวว่า “ข้าจะลงเขาพรุ่งนี้”
“เหตุใดอาจารย์ลุงถึงจะลงจากเขาตอนนี้?” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเอ่ยถามทันที
“พิธีคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักกระบี่ชิงหมิงกำลังจะจัดขึ้น และสัตว์อสูรเพิ่งเข้าโจมตีสำนัก สำนักอื่นคงได้รับข่าวนี้แล้ว หากไม่มีอาจารย์ลุงดูแลสำนัก ข้ากลัวว่าอาจจะเกิด…”
“เจ้ากลัวงั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานถามกลับ
“สำนักทั้งห้าในห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรม บอกข้าซิว่ามีใครบ้างที่เจ้าสู้ไม่ได้?”
“นี่…” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อครุ่นคิด “ข้าคิดว่า บางที…บางทีอาจจะเป็นข้าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา”
“พวกตาแก่ทั้งสี่ในโลกมาร มีใครบ้างที่เจ้าสู้ไม่ได้?” ไป๋ชิวหรานถามอีกครั้ง
“อืม…” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อลังเล “ข้าคิดว่า…ข้าคิดว่าข้าเก่งกว่าพวกเขาทั้งหมด…”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะกลัวสิ่งใด!” ไป๋ชิวหรานสะบัดมือขณะพูด
“ดังนั้นข้าคงไม่เชื่อว่าเจ้าและบรรดาผู้อาวุโสจะจัดการคัดเลือกต่อไม่ได้หรอกใช่หรือไม่?”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพยักหน้าและเอ่ยถามอีกครั้ง “แต่เหตุใดอาจารย์ลุงถึงจะลงเขางั้นหรือ? ตั้งแต่ท่านย้ายไปอยู่ยอดเขาชีซิง ท่านก็ไม่ได้ลงจากเขามาหลายร้อยปีแล้ว”
“ข้ารู้สึกว่ากำลังจะบรรลุขั้นพลัง”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งนี้ ใบหน้าไป๋ชิวหรานได้เผยท่าทีแห่งการคาดหวังออกมา
“ข้ารู้สึกว่าจะบรรลุรากฐานพลังได้ในครั้งนี้ แต่มันจำเป็นต้องใช้สมุนไพรบางชนิดช่วยเหลือ ดังนั้นข้าจึงต้องลงเขาเพื่อไปหามัน”
“อีกแล้วหรืออาจารย์ลุง” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยิ้ม “ครั้งสุดท้ายที่ท่านพูดเช่นนี้ ผลก็คือไก่ที่เลี้ยงไว้ออกไข่มาสองร้อยปีจนสามารถกลายเป็นโอสถได้แล้ว แต่ท่านยังคงอยู่ขั้นกลั่นลมปราณและมีแค่ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น ท่านทราบหรือไม่? ก่อนที่ศิษย์พี่จะปิดประตูบ่มเพาะพลัง เขาจับมือข้าพร้อมกล่าวด้วยน้ำหูน้ำตาว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นอาจารย์ลุงบรรลุขั้นพลังแน่นอน”
ไป๋ชิวหรานกำหมัดแน่นพร้อมเผยใบหน้ามืดมน
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว!”
เขาคว้าคอเสื้อของเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อโดยไม่สนใจผู้อาวุโสรอบด้าน
“ข้ากำลังจะลงจากเขา จงเอาเงินมาให้ข้า! อีกอย่าง ดูเหมือนเจ้าจะมีหญ้าเทียนซินอยู่ด้วย เอามาให้หมด”
“อาจารย์ลุง” ใบหน้าของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อถึงกับบูดบึ้ง
“หากท่านต้องการเงิน ข้าสามารถจัดการให้ได้ แต่หญ้าเทียนซินนั้นหาได้ยากยิ่ง แม้แต่สำนักกระบี่ชิงหมิงยังหาในคลังไม่ได้ เช่นนั้นจะให้ข้าไปหามาให้ท่านจากแห่งใดกัน…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าพบพืชชนิดหนึ่งระหว่างปีนกำแพงลงเขาเมื่อสามสิบปีก่อน เจ้าปิดบังข้าไม่ได้หรอก” ไป๋ชิวหรานชี้ไปยังเจวี๋ยอวิ๋นจื่อขณะกล่าว
“นอกจากนั้นเจ้ายังไม่ได้ฝึกฝนวิชาพิษ หากจะให้มันมีประโยชน์ก็เอามาให้ข้าเสีย”
“เอ่อ…ไว้ข้าจะไปหาจากงานประมูลปราณเที่ยงธรรมครั้งต่อไปให้ก็แล้วกัน” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยังคงปฏิเสธ
“นอกจากนั้นท่านคงบรรลุขั้นพลังไม่ได้หรอก เอาไปก็เสียของเปล่า ๆ …”
“อย่าพูดไร้สาระ จะเอามาให้ข้าหรือไม่?” ไป๋ชิวหรานถามอีกครั้ง
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อลังเลและส่ายหัวในท้ายที่สุด
“ตกลง สรุปว่าเจ้าจะไม่ให้สินะ”
ไป๋ชิวหรานหันหลังเดินออกไปพร้อมบ่นพึมพำ
“เช่นนั้นข้าจะไปหาเสี่ยวหลิวอวิ๋นเพื่อขอให้นางจัดการเรื่องเงินเอง อีกอย่างข้าจะคุยกับนางเรื่องที่เจ้า เสวียนอวิ๋น ฝูอวิ๋น แล้วก็ไป๋อวิ๋นแอบดูนางและชิงอวิ๋นอาบน้ำที่แม่น้ำหวังเยว่เมื่อสามร้อยปีก่อน…”
ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสี่ และผู้อาวุโสห้าถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ยิน
“ท่านเจ้าสำนัก!”
ผู้อาวุโสรอง เสวียนอวิ๋นจื่อ ลุกขึ้นโดยพลัน
“อาจารย์ลุงปกป้องดูแลสำนักกว่าสามพันปี ตอนนี้เขาต้องการเพียงหญ้าพิษกระจ้อยร่อยนั่น เหตุใดท่านถึงไม่ให้เขา?”
“ถูกต้อง”
ผู้อาวุโสสี่เองก็เห็นด้วยกับเสวียนอวิ๋นจื่อ
“ตั้งแต่สมัยเก่าก่อน อาจารย์ลุงดูแลพวกเรามาอย่างดี ในฐานะศิษย์ของสำนัก ข้าว่าพวกเราควรแสดงความกตัญญูแก่อาจารย์ลุง”
“เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองถึงดูตื่นตระหนกนัก?”
ใบหน้าของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อยังคงท่าทีเฉยเมย
“นี่ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
ผู้อาวุโสห้า ไป๋อวิ๋นจื่อ กล่าวอย่างจริงจัง
“ยิ่งกว่านั้นท่านยังเป็นคนนำพวกเราไปเองในตอนนั้น หากหลิวอวิ๋นและชิงอวิ๋นโกรธขึ้นมา ท่านจะเป็นคนที่รับเคราะห์มากที่สุด”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อมองไปยังศิษย์น้องทั้งสามที่ทรยศโดยไม่มีข้อกังขาใด พวกเขายอมแพ้ให้กับคำพูดราวกับปีศาจของอาจารย์ลุงอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังปีศาจตนนั้นที่กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และท้ายที่สุดเขาก็ต้องถอนหายใจ
“อาจารย์ลุง ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์รุ่นน้องของท่าน แต่อย่ารีดไถกันเช่นนี้” เจ้าสำนักชิงหมิงกล่าวอย่างเที่ยงธรรม
“ท่านต้องการสิ่งใด ข้าจะให้คนนำสิ่งที่ท่านต้องการไปมอบให้ที่ยอดเขาชีซิงเอง ท่านจะมาบีบคั้นกันตรง ๆ เช่นนี้ไม่ได้!”