ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 20 คนแก่ขี้หลงขี้ลืม
บทที่ 20 คนแก่ขี้หลงขี้ลืม
“จี้หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงมอบให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” ตอนนี้ไป๋ชิวหรานอยู่ภายในจวนมหาราชครูที่เมืองหลวงของรัฐซ่างเสวียน สายตาจับจ้องไปยังจี้หยกในมือ
จี้หยกนี้เป็นเสมือนเครื่องแสดงตัวตนของสำนักกระบี่ชิงหมิง ไป๋ชิวหรานเองก็มีอยู่ชิ้นหนึ่งเช่นเดียวกัน ภายในบันทึกเป็นข้อความสั้น ๆ และอำนาจของผู้ถือครอง ดูจากรูปแบบของจี้หยกแล้ว เจ้าของจี้หยกชิ้นนี้น่าจะเป็นศิษย์สายในของสำนักกระบี่ชิงหมิง เพราะสองร้อยปีก่อนตอนที่พวกเขาลงจากสำนักไปท่องยุทธภพ มีบางคนที่ไม่ได้กลับไป
“ใช่ เดิมทีศิษย์ผู้นี้เป็นเพียงชาวนาในดินแดนตะวันตกตอนบนของรัฐซ่างเสวียน แต่เนื่องจากข้าร่ำเรียนกับอาจารย์จนสำเร็จภายในหนึ่งคืน จึงได้รับถ่ายทอดวิชายุทธ์มาจากอาจารย์ท่านก่อน”
แม้ว่ามหาราชครูฝูเชียนชิวจะมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน แต่เมื่อได้เห็นร่องรอยความเสียหายที่ถังโจ้วเสียทิ้งไว้ แม้ต้องเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหรานผู้มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ เขาก็ไม่กล้าที่จะละเลยอีกฝ่าย ทั้งยังตอบคำถามของไป๋ชิวหรานด้วยความสุภาพนอบน้อม
“น่าเสียดายที่ศิษย์ไม่อาจช่วยชีวิตท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไว้ได้”
“ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ผู้ฝึกตนต้องผ่านพ้นเคราะห์กรรมเป็นเรื่องสามัญ การพลัดพรากจากกันนับเป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเขาได้เสียสละชีพเพื่อช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ ยืนหยัดต่อสู้ในนามสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างสมเกียรติ สำนักกระบี่ชิงหมิงย่อมสรรเสริญเขา”
ไป๋ชิวหรานเก็บจี้หยกไว้ในอ้อมอก
“ข้าจะรับจี้หยกชิ้นนี้ไว้ เคล็ดวิชาที่เขาถ่ายทอดให้แก่เจ้าเป็นเคล็ดวิชาดั้งเดิมของสำนักกระบี่ชิงหมิง เจ้าจงฝึกฝนให้ดี ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าแล้วไม่ยากเลยที่จะกลั่นเม็ดยาทองคำเพื่อต่อชีวิตของตนให้ยาวนานขึ้น” ครั้นกล่าวมาถึงขั้นนี้ น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวเสริม “เจ้าควรถนอมมันไว้ให้ดี เคล็ดวิชาของสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นวิธีที่ถูกต้องและสามารถสร้างรากฐานได้จริง”
“ศิษย์จะจดจำไว้” ฝูเชียนชิวเอ่ยตอบ
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง…” ไป๋ชิวหรานเก็บจี้หยกกลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติแล้วกล่าวต่อว่า “นับตั้งแต่ข้าลงมาจากยอดเขา ได้ยินว่าเจ้ายุยงให้องค์จักรพรรดิซ่างเสวียนจัดเก็บภาษีจำนวนมากจากพลเมืองภายในรัฐเพื่อนำมันมาใช้ในการกลั่นยา นั่นเป็นความจริงหรือไม่?”
“เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นความจริง” ฝูเชียนชิวกล่าวตอบตามจริงด้วยความรู้สึกละอายไม่น้อย
“เจ้าจงแก้ไขวิธีการเสีย นอกเหนือจากการกินเม็ดยาเพื่อให้ผ่านเข้าสู่ขั้นการฝึกตนอีกระดับแล้ว อย่ากินเม็ดยาเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรโดยพร่ำเพรื่อ เข้าใจหรือไม่? หากไม่แล้วขั้นการฝึกตนจะไร้ซึ่งความเสถียร” ไป๋ชิวหรานสั่งสอนอีกฝ่ายด้วยท่าทีผ่อนคลาย จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ “ว่าแต่ เจ้ากลั่นยาอะไร?”
“เอ๊ะ?” ฝูเชียนชิวยกมือขึ้นเกาศีรษะตนเองก่อนกล่าวออกด้วยความประหลาดใจ “จริงสิ ข้ากลั่นยาชนิดใดกัน?”
ไป๋ชิวหรานสบตากับเขาเป็นเวลานานหลายอึดใจ ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าเขาสองครั้ง
“นี่! เคล็ดวิชามารควบคุมจิตใจยังหลงเหลืออยู่ภายในมโนสำนึกของเจ้าอีกรึ?!”
สิ่งที่เรียกว่าเคล็ดวิชามารควบคุมจิตใจ เป็นทักษะทางจิตวิญญาณระดับสูงของเหล่าผู้ฝึกวิชามาร ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษปีศาจผู้มีความสามารถอัศจรรย์เมื่อประมาณสองพันปีก่อน เคล็ดวิชาดังกล่าวแตกต่างจากเคล็ดวิชาอื่น ๆ ที่อาศัยเพียงพลังและจิตวิญญาณในการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น เคล็ดวิชานี้จะไม่นำจิตสำนึกของผู้ถูกร่ายเวทไป แต่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้ถูกร่ายเวทและชักนำพวกเขาทีละขั้นตอน เพื่อให้พวกเขากระทำในสิ่งที่ผู้ร่ายเวทต้องการจนกระทั่งสำเร็จลุล่วง
สุภาษิตโบราณเคยว่าไว้ เรียนรู้ใฝ่ดีมาสามปี ไม่สู้เรียนรู้ใฝ่ชั่วเพียงสามวัน บรรพบุรุษปีศาจใช้วิธีนี้ชักนำผู้ฝึกตนจำนวนมากที่ติดอยู่ในขั้นคอขวด*[1] เข้าสู่เส้นทางสายมาร และใช้เวลาเพียงไม่นานนักทำให้มันแพร่หลายในโลกของผู้ฝึกตน
เขาเคยได้ยินว่ามีลูกศิษย์สายตรงของเซียนชิงหมิงในสำนักกระบี่ชิงหมิงติดค้างขั้นการฝึกตนอยู่ตรงคอขวดระหว่างขั้นกลั่นลมปราณมานานกว่าหนึ่งพันปี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวของเขาอีกเลย…
หลังถูกฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าสองฉาด ฝูเชียนชิวก็รู้สึกวิงเวียนยิ่งนัก แต่เขาคิดว่าไป๋ชิวหรานคงต้องการตำหนิลงโทษเรื่องที่เขารีดนาทาเร้นเก็บภาษีจากชาวบ้านเพื่อนำมากลั่นยา ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขัดขืนแต่อย่างใด
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเห็นฝูเชียนชิวโคลงศีรษะ ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยถามต่อไป “เจ้าฟื้นคืนสติแล้วหรือ?”
“ฟื้น? ฟื้นอะไรกัน?” ฝูเชียนชิวเอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไม่ได้ตำหนิศิษย์หรอกหรือ?”
“ข้าจะเอ่ยถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ารีดไถภาษีจากชาวบ้านเพื่อนำมากลั่นยาให้กับจักรพรรดิซ่างเสวียน ยานั้นคืออะไร?” ไป๋ชิวหรานถามย้ำ
“ยาอะไรอย่างนั้นรึ?” ดวงตาของฝูเชียนชิววูบไหวเพราะความสับสน ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“จริงสิ ยาที่ข้าอุตส่าห์กลั่นขึ้นมา! ข้าไม่เคยร่ำเรียนวิธีการกลั่นยา ซ้ำยังไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน แล้วเหตุใดข้าถึงกลั่นยาชนิดนั้นขึ้นได้?!”
“เช่นนั้นเม็ดยาอยู่ที่ใดเล่า?” ไป๋ชิวหรานยื่นมือไปตรงหน้าพลางพลิกไปมาพร้อมกล่าว “นำออกมาให้ข้าดูหน่อย”
ฝูเชียนชิวหยิบเม็ดยาออกมาให้ไป๋ชิวหราน เขาเปิดมันออกและพบว่ามันถูกกลั่นขึ้นจากตัวยาที่เขาขาดไป ยาที่ใช้กันทั่วไปที่เหล่าผู้ฝึกตนนิยมใช้เพื่อฝึกฝนวิทยายุทธ์ ทั้งยังมียาอายุวัฒนะที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งอีกด้วย
ดูเหมือนว่าถังโจ้วเสียจะอยู่ในสุสานที่มืดมิดมานานตลอดหลายปี ทำให้ปราณวิญญาณของเขาอ่อนแอจนต้องสร้างเสริมขนานหนัก
“เสียของ…” ไป๋ชิวหรานรู้สึกเจ็บปวดในใจเล็กน้อย แม้พบเม็ดยาที่กลั่นอย่างสมบูรณ์ ทว่าเขาไม่สามารถสกัดวัตถุดิบสำคัญจากเม็ดยานี้ได้อีกต่อไป ทำได้เพียงเผาเม็ดยาเหล่านี้ทิ้งไปด้วยเปลวเพลิงวิญญาณเท่านั้น
“เอาล่ะ ข้าต้องกลับไปแล้ว เจ้ามีโอกาสฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักกระบี่ชิงหมิง จึงนับว่าเจ้าก็เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงแล้วครึ่งหนึ่ง ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์เพื่อทดแทนชีวิตของเขา เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าควรช่วยเหลือจักรพรรดิซ่างเสวียนอย่างเต็มความสามารถในหนทางที่ถูกต้องและพึงควร”
หลังจากทำลายเม็ดยานี้ทิ้งไป ไป๋ชิวหรานก็ลุกขึ้นก่อนกำชับสั่งมหาราชครูอีกครั้ง
“เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดใช้เคล็ดวิชาควบคุมจิตใจของเจ้าอีก ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาชิงหมิงหลอมเวทให้กับเจ้า ต่อไปนี้จงฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อเสริมสร้างจิตวิญญาณของเจ้าให้เข้มแข็ง เมื่อบรรลุแล้วเจ้าจะไม่พลาดท่าให้กับผู้ใดอีก”
—
หลังจากจัดการเรื่องสุดท้ายกับมหาราชครูเรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิวหรานก็เดินทางออกจากจวนมหาราชครูเพื่อมุ่งตรงกลับสู่ยอดเขา
ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกคล้ายหลงลืมบางสิ่ง ทว่านึกอย่างไรก็นึกไม่ออกจึงตัดสินใจปล่อยวางไปเสียและจดจ่ออยู่กับการเดินทางเท่านั้น
ไป๋ชิวหรานขึ้นขี่ม้า บังคับมันให้ค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าไปยังชานเมืองของรัฐซ่างเสวียน ขณะนั้นบริเวณริมถนน เขาเห็นถังรั่วเวยสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองขนห่านนั่งคอยอยู่
องค์หญิงนั่งอยู่บนพื้นที่โล่งด้านข้างถนนพร้อมกับสาวรับใช้สองนาง มีการกั้นม่านบังตาเอาไว้ ณ ที่นี้พร้อมสรรพ โต๊ะภายในกระโจมมีสุราและอาหารชั้นดีวางเรียงราย เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานขี่ม้ามาด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ถังรั่วเวยจึงเผยรอยยิ้มสดใสขณะกล่าวทักทายเขา
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องสัญจรโดยการขี่ม้า ไป๋ชิวหราน ครั้งนี้ข้าขอเป็นฝ่ายเชิญให้เจ้าร่วมดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานนั่งอยู่บนหลังม้า เขาเอียงคอมองพลางเปล่งเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เขาลงจากม้ามานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถังรั่วเวย สาวใช้จัดการผูกม้าให้เขา จากนั้นทั้งสองจึงนั่งหันหน้าเข้าหากัน ตอนนี้องค์หญิงแห่งซ่างเสวียนแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นสตรี ทว่ายังคงแสดงท่าทางที่เคยปลอมตัวเป็นชายรินสุราให้เขาจนเต็มจอก
“ในเมื่อเจ้าต้องการจากไป ข้าผู้นี้คงไม่อาจรั้งเจ้าไว้ ทว่าคุณงามความดีที่เจ้าทำล้วนเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของรัฐซ่างเสวียน ในฐานะองค์หญิง ถึงอย่างไรข้าก็ต้องตอบแทนเจ้า”
ถังรั่วเวยยกจอกสุราขึ้นพร้อมกล่าวว่า “ข้ารู้ดีว่าภายในดินแดนซ่างเสวียนคงไม่มีสิ่งใดที่เข้าตาเจ้า ดังนั้นสุราแก้วนี้ถือเป็นเครื่องแสดงถึงความกตัญญูจากข้า ข้าขอดื่มคารวะเจ้า!”
องค์หญิงแสดงท่าทางองอาจห้าวหาญเกินสตรีนางหนึ่งพลางจิบสุราชั้นดีจนหมดจอกในอึกเดียว แต่แล้วกลับถูกรสชาติสุราทำพิษจนต้องสำลักไอออกมาทันที
เมื่อเห็นท่าทางของนาง ไป๋ชิวหรานจึงยกยิ้มด้วยความขบขันและดื่มสุราที่นางรินให้จนหมด
“แค่ก…แค่ก” ถังรั่วเวยแลบลิ้นเล็กน้อยและใช้มือโบกไปมาต่างพัดไปพลาง
“ข้าไม่เข้าใจเลย เหตุใดบุรุษเช่นพวกเจ้าจึงชื่นชอบดื่มของมึนเมาเหล่านี้นัก?”
“ข้าไม่อาจล่วงรู้ว่าผู้อื่นคิดเห็นอย่างไร ทว่าตัวข้าดื่มเพียงเพราะต้องการจรรโลงอารมณ์เท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานวางจอกสุราในมือลง “ดังนั้นตอนนี้ ความคิดของแม่นางถังที่มีต่อผู้ฝึกตนและสำนักกระบี่ชิงหมิงน่าจะแปรเปลี่ยนไปจากเดิมแล้วใช่หรือไม่?”
“จริงอย่างที่เจ้าว่า” ถังรั่วเวยพยักหน้า “อย่างน้อยในบรรดาผู้ฝึกตนก็ยังมีผู้ยึดมั่นคุณธรรมเช่นเจ้าอยู่ด้วย”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้ม “ทุกกลุ่มล้วนเป็นเหมือนกัน มีทั้งส่วนดีและส่วนที่ไม่ดี ในหมู่พันธมิตรผู้ฝึกตนสายธรรมทั่วใต้หล้า แต่ละช่วงเวลามักมีผู้ที่ตั้งตนว่าอยู่เหนือกว่า หลอกลวงผู้ที่ต่ำต้อยกว่าอยู่เนือง ๆ และแม้แต่ในสำนักสายมารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด ก็มีมารที่มีนิสัยซื่อตรงหนึ่งหรือสองคนปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว ถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนเป็นผู้ฝึกตนเช่นเดียวกัน ดังนั้นย่อมมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสามัญ”
“สักวันข้าจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้” ถังรั่วเวยกล่าวตอบพลางครุ่นคิดตาม
จากนั้นทั้งสองก็เลื่อนจอกสุราออกไปตรงหน้าสลับกันไปมา กระทั่งอาหารที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะค่อย ๆ หมดลงท่ามกลางบรรยากาศอันสุขสำราญ
ช่วงท้ายมื้ออาหาร สีหน้าขององค์หญิงแสดงถึงความมึนเมาเล็กน้อย นางสูดลมหายใจรับเอากลิ่นหอมก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไป๋ชิวหราน เพื่อเป็นการอำลา ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถเอ่ยถามคำถามได้หนึ่งข้อ”
“คำถามเกี่ยวกับสิ่งใดก็ได้อย่างนั้นหรือ?” ไป๋ชิวหรานถามย้ำ
ถังรั่วเวยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “คำถามใดก็ย่อมได้”
“เช่นนั้น…” ไป๋ชิวหรานกวาดสายตาสำรวจหน้าอกของถังรั่วเวย จากนั้นจึงประสานมือคารวะ “แม่นางถังเคยร่ำเรียนวิชาเซียนที่เรียกว่าเคล็ดวิชาปรับแต่งกายาหรือไม่? วิชาเซียนนี้ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อนโดยคนรู้จักเก่าแก่ของข้า ทว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว ข้าจึงใคร่ไถ่ถามจากเจ้าแทนเขา”
“เคล็ดวิชาปรับแต่งกายาอย่างนั้นรึ?” อาจเป็นเพราะความมึนเมาของถังรั่วเวย ทำให้นางได้แต่อ้าปากค้างราวลืมสงวนกิริยา
“นั่น…นั่นคือสิ่งใดกัน? ข้าไม่เคยร่ำเรียนทั้งยังไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“เอ๊ะ?” ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามต่อไปด้วยความสงสัย “หากเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดลักษณะทางเพศขององค์หญิงจึงได้แตกต่างไปจากเดิมมากถึงเพียงนี้เล่า?”
ทันทีที่กล่าวจบ ไป๋ชิวหรานพลันรู้สึกว่าร่างของหญิงสาวที่เคยนุ่มนวลอ่อนน้อมกลับระเบิดจิตสังหารและแรงกดดันออกมาอย่างรุนแรง จนแม้แต่เขาเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อย
—
“นี่ออกจะชัดเจนว่าเป็นการอภิปรายเชิงวิชาการที่จริงจังมาก แล้วเหตุใดแม่นางถังถึงได้โกรธเคืองขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้?”
ขณะก้าวเดินไปบนเส้นทางสายหลัก ไป๋ชิวหรานยังรู้สึกสับสนมึนงงไม่หาย
ครู่นี้ถังรั่วเวยระเบิดจิตสังหารออกแล้วได้แต่ระดมทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่ง หนำซ้ำยังกรีดร้องเสียงดังลั่นเพื่อระบายอารมณ์โกรธเคืองราวกับถูกเขารังควานจับจุดอ่อนได้อย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะไม่หวาดกลัวนาง แต่เขาก็ไม่อยากพัวพันกับหญิงสาวคนหนึ่งมากจนเกินควร ดังนั้นเขาจึงวิ่งหลบหนีออกมาโดยไม่ใส่ใจแม้แต่จะควบขี่ม้า ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ห่างจากรัฐซ่างเสวียนเป็นระยะทางกว่าหลายร้อยจั้งแล้ว
“หัวใจสตรีช่างยากแท้หยั่งถึงราวก้นมหาสมุทรเสียจริง” ไป๋ชิวหรานยังคงไม่เข้าใจ ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจยาวเท่านั้น
เมื่อไม่มีม้าแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงเร่งความเร็วของฝีเท้าขึ้นอย่างอิสระ เขาเดินชมทิวทัศน์สองข้างทางไปพลาง ไม่นานก็เดินห่างออกมาจากจุดเดิมประมาณยี่สิบถึงสามสิบลี้ จนมาถึงดงใต้ต้นไผ่
เมื่อมาถึงที่นี่ ไป๋ชิวหรานพลันรู้สึกถึงพลังหยินที่เย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เขามองไปยังทิศทางที่พลังหยินหลั่งไหลออกมาด้วยความประหลาดใจ และพบว่าเชวียหลิงยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของอีกฝ่ายบึ้งตึงทั้งยังเขียวคล้ำ สายตาจับจ้องมองมายังเขา
“ชะตาเล่นตลกกันหรืออย่างไร?!” ไป๋ชิวหรานกล่าวออกด้วยความคาดไม่ถึง
“วันนี้เจ้ามาพบข้าด้วยเหตุใด?”
“ไป๋ชิวหราน เจ้าหลงลืมสิ่งใดไปหรือไม่?” เชวียหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าลงจากยอดเขาในครั้งนี้ นอกจากเพื่อขั้นสร้างรากฐานแล้วยังมีจุดประสงค์อื่นอีกหรือไม่?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรแน่? นอกจากขั้นสร้างรากฐานแล้ว ชีวิตนี้ของข้าจะยังมีจุดประสงค์อื่นใดอีก ข้า…” ไป๋ชิวหรานเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน หยดเหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมาจากหน้าผาก “นั่น…คืออะไรกัน? อายุขัยของข้ายังไม่ถึงขีดจำกัดมิใช่หรอกหรือ?”
“มันถึงขีดจำกัดแล้ว” เชวียหลิงยิ้มเยาะพลางสะบัดโซ่วิญญาณในมือ “หมดสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่เจ้าดื่มกินร่ำสุรากับสตรีนางนั้น”
“อืม…” ไป๋ชิวหรานพยายามก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าจริงจัง
“เชวียหลิง ข้ากับเจ้ารู้จักกันมานานนับสองพันปีแล้ว เจ้าควรเชื่อถือในตัวข้า”
เชวียหลิงเหยียดยิ้ม “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ทันใดนั้นพื้นดินโดยรอบพลันปริแตกออกพร้อมกับเหล่าทูตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีระดับขั้นพลังไม่เท่ากัน นับตั้งแต่สัมภเวสีเร่ร่อนไปจนถึงวิญญาณระดับแม่ทัพโดยมีเชวียหลิงเป็นผู้นำ ทุกคนตนต่างล้อมรอบไป๋ชิวหรานไว้ตรงกลาง
“ไป๋ชิวหราน!”
ว่าแล้วยมทูตผู้ที่มีกรรมร่วมกันกับไป๋ชิวหรานมาตลอดระยะเวลาหนึ่งพันกว่าปีก็โยนโซ่เหล็กออกไป มันแปรเปลี่ยนกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่บดบังไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า
“วันนี้ข้าจำต้องใช้วิธีซุ่มโจมตีเพื่อกำราบเจ้าให้จงได้!”