ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 200 น้ำผึ้งพระจันทร์ย้อนหลัง
บทที่ 200 น้ำผึ้งพระจันทร์ย้อนหลัง
หลังจากนั้น ไป๋ชิวหรานก็รั้งรออยู่ในโลกวิญญาณต่ออีกชั่วขณะหนึ่ง เพื่อจัดการกับวิญญาณหลายสิบตนที่ต้องการไปเกิดใหม่ แม้ว่าต้องการเกิดใหม่ แต่อย่าลืมเสียว่าตอนนี้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกถูกเขารวบรวมไว้ในภาพเขียนแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในสภาวะหลับใหล ดังนั้นหากต้องการเกิดใหม่อย่างรวดเร็ว… อาจจะเกิดไปเป็นคนในเผ่าพันธุ์อื่น
แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะนำพาพวกเขาเข้าสู่ดินแดนยมโลกแห่งสังสารวัฏทั้งหกเป็นการชั่วคราว แต่เพื่อให้มีสิทธิ์เลือกชีวิตในภพชาติใหม่… จึงให้อยู่ในสภาวะหลับใหลเป็นการชั่วคราว และรอจนกว่าให้เผ่ามนุษย์ในอนาคตเริ่มทวีจำนวนเพิ่มขึ้น ภายหลังจากนั้นกงล้อสังสารวัฏจึงจะนำพาดวงวิญญาณเหล่านั้นออกมาเพื่อเกิดใหม่
สิ่งนี้ยังทำให้ตระหนักได้ว่า เขาควรปลุกมนุษย์ในภาพเขียนให้ตื่นขึ้นเสีย เพราะแท้จริงแล้วการปล่อยให้นอนหลับตลอดไปเช่นนี้คงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
เพื่อให้มีการสืบทอดเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ต่อไป และผู้คนจะยังเจริญเติบโตได้อีก
ดังนั้นหลังจากจัดการกับเรื่องภายในของยมโลกแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงพาเจียงหลาน ไป๋ลี่และเจ้าลิงกลับสู่โลกเดิม ก่อนจะจากไป ไป๋ลี่กับภรรยาของเขาได้กล่าวร่ำลากัน ซึ่งเด็กหนุ่มเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคงไม่มีโอกาสที่พวกเขาทั้งสองได้อยู่ร่วมโลกกันอีกในฐานะคนรัก
ภายใต้สายตาของพยานเช่นไป๋ชิวหราน ทั้งคู่ต่างให้คำสาบานบริเวณข้างแม่น้ำสีเลือด ไป๋ลี่ให้คำมั่นว่าจะเพียรพยายามฝึกตนให้ดี หลังจากเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้แล้ว เขาจะกลับมาหาภรรยาอีกครั้ง ขณะที่ภรรยาของไป๋ลี่ก็ให้คำมั่นว่าตนจะเป็นวิญญาณที่ดีและจะคอยจัดการเรื่องในยมโลกต่อไป
ไป๋ชิวหรานยังทำสำเนาวิธีการฝึกตนไว้กับตัวเพื่อเป็นการติดตามผลหลังจากที่วิญญาณสามารถฝึกฝนจนบรรลุเป็นอมตะได้
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ทุกคนจึงย้อนกลับสู่โลกเดิมที่จากมา หลังจากปล่อยให้ไป๋ลี่แยกตัวออกไปฝึกฝนพร้อมกับเจ้าลิง ไป๋ชิวหรานก็เริ่มหวนคิดถึงปัญหาทางกายภาพของเจียงหลาน
ในระหว่างการปลีกวิเวก ขณะที่เจรจากับวิถีสวรรค์ครั้งหนึ่ง วิถีสวรรค์ได้สร้างร่างจุติของมนุษย์ขึ้นมาจากอากาศอันว่างเปล่า เขาเห็นกระบวนการก่อรวมร่างกายนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งชายหนุ่มตอบสนองต่อการกระทำนั้นอย่างทันท่วงที โดยใช้ความทรงจำอันไร้มนุษยธรรมของตนเองลอบจดจำกระบวนการก่อรวมร่างกายนั้น
ทว่านอกเหนือจากการจดจำหรือบันทึกไว้แล้ว ยังต้องมีการพิจารณาและทำการทดสอบอีก ทว่าไป๋ชิวหรานไม่กล้าใช้ร่างกายของเจียงหลานเพื่อเป็นวัตถุในการทดสอบเสียทีเดียว เพราะกลัวเหลือเกินว่าหลังจากนี้อาจพบเจอนางได้เฉพาะตอนที่ลงไปยังยมโลกเท่านั้น…
ดังนั้นภายในสามวันหลังกลับออกมาจากถ้ำ ไป๋ชิวหรานได้ย้อนกลับไปยังถ้ำหลังน้ำตกอีกครั้งเพื่อปลีกวิเวกฝึกตน
คราวนี้ในขณะที่กำลังศึกษาโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ ชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงภาพเขียนที่เผ่ามนุษย์กำลังหลับใหลอยู่ภายในให้กลายเป็นโลกใบเล็กที่เปรียบเสมือนสถานที่หลบภัยชั่วคราว
…
หนึ่งเดือนต่อมา ไป๋ชิวหรานถือบางสิ่งที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีขาวออกมาจากถ้ำหลังน้ำตก
ครั้งนี้เขากลับออกมาจากสถานที่เก็บตัวปลีกวิเวกในช่วงกลางวัน ดังนั้นเจียงหลาน ไป๋ลี่ และสาวรับใช้ที่อาศัยอยู่ในหุบเขาจึงเห็นพฤติกรรมของชายหนุ่ม ทุกคนต่างเกิดความสงสัยขึ้นจึงติดตามไป๋ชิวหรานไปยังด้านนอกกระท่อม
ไป๋ชิวหรานไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ทว่าเมื่อเห็นว่ามีผู้คนจำนวนมากที่เกิดความสงสัยใคร่รู้ เขาจึงวางสิ่งที่ห่อด้วยผ้าขาวนั้นไว้บนม้านั่งนอกกระท่อม
หลังจากที่ชายหนุ่มคลี่ห่อผ้าสีขาวออกแล้ว ทุกคนจึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าขาวนั้นเป็นร่างของเด็กหญิงมนุษย์ผู้หนึ่ง
นางมีใบหน้าสมส่วน รูปร่างดี แต่ร่างกายทั้งหมดเปลือยเปล่า เจียงหลานจับจ้องไปยังเด็กน้อยนั้นแล้วเลื่อนสายตาไปที่ไป๋ชิวหราน จิตใจพลันเกิดความสับสนเล็กน้อย
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาออกจากการปลีกวิเวกมาพร้อมกับเด็กน้อยร่างเปลือยเปล่า หรือนี่คือการสืบเชื้อสายของสวรรค์ในตำนาน?
“ชิวหราน เด็กน้อยผู้นี้เป็นใครกัน?”
เมื่อได้ยินคำถามของเจียงหลาน ไป๋ชิวหรานชี้ไปที่ร่างของเด็กตัวน้อยพร้อมเอ่ยตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้ารังสรรค์มันขึ้นมาสำเร็จแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของนางมีต้นแบบมาจากรูปลักษณ์ของสตรีที่เคยเห็นในตำราภาพมาก่อน ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
เนื่องจากที่แห่งนี้ยังมีบุรุษสองคนคือไป๋ลี่และไป๋ชิวหราน เจียงหลานจึงสั่งให้สาวรับใช้นำผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างของเด็กสาวตรงหน้าไว้ ก่อนจะเอ่ยถาม
“หมายความว่า… นี่คือกายมนุษย์ที่เจ้าสร้างขึ้นใช่หรือไม่?”
ขณะตั้งคำถาม ภายในใจของเจียงหลานพลันรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย การสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีความชาญฉลาดระดับสูงเช่นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยจักรพรรดิสวรรค์โบราณเมื่อหลายชั่วอายุคนก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ การกระทำของพวกเขายังได้รับความช่วยเหลือจากวิถีแห่งสวรรค์ ทว่าบัดนี้ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดที่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นได้อีก ต่อให้เป็นถึงจักรพรรดิตะวันออกไท่อีก็ไม่สามารถสร้างมนุษย์หรือเทพเจ้าขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้!
“ทว่ามันเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งหนึ่ง ข้าไม่ได้สร้างดวงวิญญาณของนางขึ้นแต่อย่างใด ตอนนี้จึงเป็นเพียงกายไร้ชีวิตที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก”
ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะ
“เหตุที่สร้างมันขึ้นมา… ก็เพื่อช่วยให้เจ้าสามารถใช้ร่างดูดซับปราณแห่งท้องทะเลได้”
เขามองไปยังเด็กสาวตัวน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนม้านั่ง พร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้เจียงหลาน
“เจ้ามีทางรอดแล้ว หลานเอ๋อร์”
ทว่าเจียงหลานกลับส่ายหน้าน้อย ๆ ไปมา
“เจ้ากล่าวราวกับข้ากำลังจะตายอย่างไรอย่างนั้น”
แต่เมื่อได้เห็นว่าไป๋ชิวหรานมีความสุขมากมายถึงเพียงนั้น เจียงหลานก็อดหัวเราะไม่ได้
“ยังมีสิ่งนี้อีก”
ไป๋ชิวหรานหยิบเอากระบี่ยาวออกมาจากถุงเก็บสมบัติ ตัวเรือนกระบี่มีลักษณะใสระยับราวกับก้อนผลึก ทั้งยังมีสายฟ้าแลบปลาบแปลบอยู่ภายใน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคือไม้ยาวสีทองที่มีประกายไฟล้อมรอบ
เขามอบกระบี่ยาวให้กับไป๋ลี่ และไม้ยาวทองคำให้กับเจ้าลิง
“จงฝึกฝนให้ดี นี่เป็นรางวัลที่อาจารย์มอบให้ อีกทั้งยังเป็นยุทธภัณฑ์เวทชิ้นแรกของเจ้าอีกด้วย”
ไป๋ชิวหรานให้กำลังใจมนุษย์หนึ่งคนและลิงหนึ่งตัว
“ตัวใบกระบี่ ข้าเติมแต่งอสนีบาตที่มาจากวิถีสวรรค์เข้าไปภายใน วันใดวันหนึ่งมันจะสามารถใช้กระตุ้นและรวบรวมพลังทรงอำนาจของฟ้าแลบฟ้าร้องเพื่อโจมตีศัตรูได้ ส่วนไม้ยาวนั้นมีเปลวไฟที่ไม่รู้จักมอดดับ เพียงโบกสะบัดเท่านั้นก็สามารถเรียกเปลวไฟเพลิงแห่งหงส์ไฟออกมาได้”
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์!”
ไป๋ลี่ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นยินดีไว้ได้ เจ้าลิงรีบคำนับไป๋ชิวหรานครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายหนุ่มนิ่งคิดไปอีกครั้ง ก่อนหยิบเอาขวดโหลบรรจุของเหลวที่ใสและแวววาวออกมาจากถุงเก็บสมบัติ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วเดินไปด้านข้าง ก่อนจะวางขวดโหลบรรจุของเหลวลงบนพื้นดิน
ครู่หนึ่งหลังจากที่ไป๋ชิวหรานรินสิ่งนั้นลงไป ตะขาบดำตัวใหญ่พลันเลื้อยออกมาจากผืนป่า ตะขาบตัวนี้มีรูปร่างผิดแปลกไปจากธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แขนขาและเปลือกของมันเริ่มหลุดลอกออก เห็นได้ชัดว่าได้รับการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มันมาถึงจุดตั้งขวดโหลแล้วเลื้อยอยู่รอบขวด ก่อนจะจุ่มหัวตัวเองลงไปดื่มของเหลวใสราวก้อนผลึกนั้น ไม่นานก็เลื้อยกลับเข้าไปในป่าดังเดิม
ไป๋ชิวหรานใช้สัมผัสเทวะเพื่อสังเกตการณ์สิ่งเหล่านี้และถอนสัมผัสเทวะกลับมา ก่อนจะหันไปกล่าวกับไป๋ลี่ เจ้าลิง และบรรดาสาวรับใช้
“จากนี้ข้าจะออกท่องเที่ยวรอบโลกกับหลานเอ๋อร์ พวกเจ้าจงฝึกฝนวิชาให้ดี อย่าวิ่งโร่ออกไปจากขอบเขตป้องกันแม้ว่างเว้นจากภารกิจ หากออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ล่ะก็… อาจถูกสวรรค์และโลกค้นพบก็เป็นได้”
ทุกคนพยักหน้ารับคำ ไป๋ลี่เอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์ ท่านและฮูหยินจะไปที่ใดหรือ?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ชายหนุ่มกลอกตาไปมา ก่อนที่เขาจะกล่าวถ้อยคำที่จื้อเซียนแนะนำว่า
“เราสองคนจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ย้อนหลังไม่ได้เชียวหรือ?”
ใบหน้าของเจียงหลานแปรเปลี่ยนแดงก่ำเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น ขณะที่ไป๋ลี่รีบโบกไม้โบกมือด้วยต้องการแก้ตัว
“ไม่มีความเห็น ไม่มีความเห็นเป็นอื่นขอรับ!”
หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดมหาสมุทรแห่งพลังปราณสำหรับเจียงหลานแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงพานางออกจากหุบเขา และเริ่มออกเดินทางไปทั่วโลก
เขาทำสิ่งนี้เพื่อจุดประสงค์สองประการ ซึ่งนอกเหนือไปจากการใช้เวลาในยุคนี้ให้มากที่สุดร่วมกับเจียงหลาน
ประการแรก คือการหาพันธมิตรให้มากที่สุดเพื่อไป๋ลี่และเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคต เพราะตำราภาพที่เขาใช้สำหรับเป็นที่อาศัยพักพิงชั่วคราวของมนุษย์กับกลุ่มกบฏที่ถูกจักรวรรดิสวรรค์กวาดล้างนั้น… เหลือพื้นที่ว่างอยู่อีกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ประการที่สอง เพื่อดึงดูดความสนใจของเทพเจ้าบนสวรรค์ เพราะสำหรับไป๋ลี่แล้ว ในสายตาของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ไป๋ลี่เป็นเพียงมดเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งเขาอาจตกเป็นเป้าหมายแรกของจักรพรรดิสวรรค์
ตรงข้าม หากเขากับเจียงหลานปรากฏตัวขึ้นทั่วทุกสารทิศในโลก สวรรค์และโลกอาจมองเห็น แม้แต่ความสนใจทั้งหมดทั้งมวลของจักรวรรดิสวรรค์คงจะถูกพวกเขาดึงดูดอย่างแน่นอน นั่นทำให้ไป๋ลี่กับเหล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มีเวลาในการพัฒนาระดับขั้นการฝึกตนให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ในระหว่างการเก็บตัวปลีกวิเวก เขาได้เปลี่ยนภาพเขียนให้กลายเป็นโลกขนาดเล็กอีกแห่งที่คล้ายคลึงกับสถานที่หลบภัยของเผ่ามนุษย์ และเผ่ามนุษย์ภายในก็ถูกเขาปลุกให้ตื่นขึ้นเช่นกัน จากนั้นได้สั่งสอนวิธีการฝึกตนเช่นเดียวกับที่เคยสอนให้กับไป๋ลี่
เวลานี้ไป๋ลี่จวนจะบรรลุผ่านขั้นผสานร่างเต็มที ด้วยพรสวรรค์ของเขา อาจใช้เวลานานกว่าสองถึงสามปี ก่อนที่จะสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์
การลงทัณฑ์จากสวรรค์เป็นอุปสรรคที่ไป๋ลี่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม แม้ว่าไป๋ชิวหรานไม่ได้ตั้งใจจะให้วิถีสวรรค์นำการทดสอบนี้กลับคืนมาก็ตาม
แม้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรับมือกับมันได้อย่างสมบูรณ์แบบดังเช่นเผ่าเทพ แต่อย่างน้อยภัยพิบัติก็เป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำหรับเหล่าเซียน ผู้ที่สามารถเอาชีวิตรอดพ้นจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์ได้ อย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งที่มากพอ
ในฐานะที่ไป๋ชิวหรานเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่สามารถเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์ในอดีต ชายหนุ่มจึงสามารถจินตนาการถึงขอบเขตภัยพิบัติของไป๋ลี่ได้ ต่อให้คาดว่าศิษย์ของตนอาจจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัตินั้นได้ ทว่าความโกลาหลของภัยพิบัติในเวลานั้นย่อมเอื้อให้เขารอดมาได้แน่นอน
หากถึงเวลานั้น จักรพรรดิตะวันออกไท่อีคงนำกำลังพลมากวาดล้างและปราบปรามด้วยตนเองอย่างไม่ต้องคาดเดา ซึ่งไป๋ชิวหรานจะรับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องพิทักษ์เด็กหนุ่มเอง และช่วงเวลานั้นจะเป็นวาระแห่งสงคราม!