ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 201 สารภาพ
บทที่ 201 สารภาพ
ไป๋ชิวหรานออกเดินทางไปรอบโลกกับเจียงหลานเป็นเวลานานถึงสิบปี
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เดินทางไปยังเกือบทุกสถานที่ที่รู้จักในยุคสมัยนี้ เยี่ยมชมภูเขาและแม่น้ำอันเลื่องชื่อ อีกทั้งไป๋ชิวหรานยังได้บันทึกปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ทั้งหลายภายในยุคเผ่าเทพไว้ในตำราภาพเล่มนั้นด้วย
เจียงหลานไม่ลืมเพิ่มคำว่า ‘ทะเล’ ลงในตำรา นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อของตำราเล่มนี้จึงกลายเป็นซานไห่จิง*[1]
ระหว่างทางไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานจะเข้าไปยังถิ่นอาศัยของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ที่ถูกจักรพรรดิตะวันออกไท่อีและจักรวรรดิสวรรค์กดขี่ข่มเหงไม่ว่าจะด้วยการเจรจากับผู้นำหรือปล้นเหล่าประชากรโดยตรงจากกองทัพเทพสวรรค์ที่เข้ามาปิดล้อม และกวาดล้างทำให้ความหนาของตำราเพิ่มขึ้นมาก
ในช่วงเวลานั้น ตำแหน่งของทั้งสองคนถูกเปิดเผยโดยเจตนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จักรพรรดิตะวันออกไท่อีส่งคนไปจับกุมพวกเขา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ แต่ภายใต้การคุ้มครองของไป๋ชิวหราน ทำให้เจียงหลานรอดพ้นจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า
ระยะเวลาสิบปีมานี้ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเจียงหลาน ทว่าช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ ในที่สุดก็จวนมาถึงจุดสิ้นสุด เพราะในวันหนึ่งหลังจากออกเดินทางร่วมกันครบสิบปีเต็ม ไป๋ชิวหรานก็ได้รับคำเตือนจากวิถีสวรรค์ ว่าไป๋ลี่เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการข้ามผ่านภัยพิบัติจากทัณฑ์สวรรค์
ทั้งสองจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวเดินทางกลับ ในคืนนั้นที่เดินทางกลับไปหาไป๋ลี่ ไป๋ชิวหรานก่อกองไฟขึ้นกลางป่า ปรุงน้ำแกงรสชาติหอมหวานให้กับเจียงหลาน จากนั้นจึงเริ่มตั้งท่าเข้าประเด็นเพื่อเปิดเผยบางสิ่ง
เขาใช้ไม้แหย่กองไฟ พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า
“หลานเอ๋อร์ คนน่ารำคาญที่คอยขัดขวางไม่ให้ข้าพูดและกระทำสิ่งต่าง ๆ เวลานี้เขาจะไม่มาคอยขัดขวางอีกต่อไปแล้ว”
“อืม”
เจียงหลานไม่รู้ว่าไป๋ชิวหรานหมายความถึงสิ่งใดกันแน่ ถึงกระนั้นยังตระหนักถึงบางสิ่งที่คล้ายว่าจะคลุมเครือ
ไป๋ชิวหรานหันมองสบตาเจียงหลาน พร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง
“ฉะนั้น หลานเอ๋อร์ หลังจากที่เราแต่งงานกันมานาน ในที่สุดข้าก็สามารถบอกข้อเท็จจริงกับเจ้าได้แล้ว”
“ข้อเท็จจริงอะไร?”
เจียงหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับ
“เจ้าเจอหญิงสาวนางอื่นที่ต้องตาต้องใจงั้นหรือ? เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นเสียหน่อย”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยถามมิใช่หรือ ว่าข้ามาจากไหน และเป็นใครกันแน่?”
“อ้อ ข้าเคยถามเช่นนั้นจริง”
เจียงหลานยิ้มและกล่าวต่อไป
“ทว่าข้าไม่ใส่ใจอยากรู้แล้วล่ะ”
“ต่อให้ไม่ใส่ใจอยากรู้แล้วก็ตาม แต่ข้ายังต้องพูดถึงมัน”
เมื่อเห็นว่าน้ำแกงในหม้อเกือบเดือดปุด ไป๋ชิวหรานจึงหยิบชามและตะเกียบออกมา ก่อนตักใส่ชามให้เจียงหลาน
เขาเป่าน้ำแกงร้อนระอุพร้อมใช้มือแตะก้นชามที่ยังร้อนอยู่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงสร้างชั้นเวทไว้ป้องกันความร้อนที่ก้นชามก่อนจะยกส่งให้กับเจียงหลาน
“ระวังร้อนด้วย”
เจียงหลานรับชามน้ำแกงมาเป่าก่อนจิบทีละนิด แม้ว่าไป๋ชิวหรานจะเติมเกลือเพียงเล็กน้อยลงในน้ำแกง ทว่ากลิ่นของสมุนไพรและความกลมกล่อมของสัตว์ป่ายังกรุ่นเจือจางเข้ามาในน้ำแกง ทำให้รสชาติเลิศรสยิ่ง
น้ำแกงร้อนไหลผ่านลงคอไปจนถึงท้อง ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน ทำให้จิตวิญญาณของเจียงหลานสดชื่นขึ้น
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางมีชีวิตชีวาขึ้นบ้างแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงหยิบกิ่งไม้อันเดิมขึ้นมา แหย่เข้าไปในกองไฟต่อไป ก่อนจะเริ่มต้นกล่าว
“หลานเอ๋อร์ ข้ามาจากยุคสมัยหลายพันปีหลังจากนี้ แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกอนาคต”
“อนาคต…”
เจียงหลานกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ทันใดนั้นพลันตระหนักถึงบางสิ่งขึ้นมาในหัวใจของตนเอง
ในช่วงสองสามปีแรกของการแต่งงาน นางกับไป๋ชิวหรานเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่จากกันและกันไม่น้อย นางสั่งสอนไป๋ชิวหรานให้มีความรู้มากมายเกี่ยวกับเทพเจ้า รวมไปถึงเรื่องราวของเผ่าเทพ เช่นเดียวกัน ส่วนชายหนุ่มยังสอนสั่งความรู้มากมายที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ภูมิปัญญาความรู้และเคล็ดวิชามากมาย เช่นเดียวกันกับการแสดงออกที่ผิดแปลกไปจากยุคสมัยของไป๋ชิวหรานในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้บ่อยครั้งเจียงหลานรู้สึกว่าชายหนุ่มช่างไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้เอาเสียเลยในบางแง่มุม
แนวคิดบางอย่างของไป๋ชิวหรานเป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ เช่นเดียวกันกับตอนที่เมื่อเขาได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงได้รับภารกิจต่าง ๆ นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง และมองดูนางด้วยความวิตกกังวล
หากเปลี่ยนเขาเป็นเทพเจ้าผู้เป็นบุรุษเพศองค์อื่น การแสดงออกเช่นนี้ไม่มีทางปรากฏขึ้น แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะรักใคร่ภรรยาของตนมากเพียงใด อีกทั้งเทพเจ้าที่เป็นบุรุษจะไม่รู้สึกผิดต่อภรรยาของตน แม้ว่าจะทำร้ายหญิงสาวของเผ่าพันธุ์อื่นเมื่อได้รับคำสั่งก็ตาม
เนื่องจากช่วงเวลานี้คือจุดสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งเผ่าเทพ การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งการเรืองอำนาจสูงสุดของเหล่าทวยเทพ แต่ยังเป็นจุดสูงสุดของสังคมระบอบปิตาธิปไตยอีกด้วย!
เพราะจากวิถีชีวิตของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี นอกเหนือจากพระสนมหวงหลงแล้ว เขายังแต่งงานกับเทพธิดามากมายให้เป็นพระสนมรองแล้วให้กำเนิดบุตรมากมาย ทั้งยังมีหญิงสาวจากทุกกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่ใช้พวกนางเป็นเครื่องระบายความใคร่อีกนับไม่ถ้วน
พระสนมหวงหลงรับรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ทว่าพวกนางไม่ได้แสดงออกซึ่งความขุ่นเคืองใจใด ๆ
มาถึงตอนนี้ หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ไป๋ชิวหรานกล่าว เจียงหลานจึงรู้สึกว่าหลายสิ่งหลายอย่างล้วนเชื่อมโยงกัน
“หมายความว่าเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดอยู่ในยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง…”
เจียงหลานมองไปยังไป๋ชิวหราน บังเกิดความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล
“เจ้าสูญเสียทุกสิ่งอย่างที่เคยคุ้น และข้ามมาสู่ยุคสมัยนี้ได้อย่างไร? ย้อนเวลามาได้อย่างไรกันแน่?”
“เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด ครั้งหนึ่งเคยแสวงหาความก้าวหน้าในระดับขั้นการฝึกตน กระทั่งบางสิ่งนำพาข้าไปยังสถานที่หนึ่งซึ่งยอดเยี่ยมเหลือล้น ที่แห่งนั้นได้พบกับระฆังของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีและได้ต่อสู้กับมัน จากนั้นจึงถูกพลังอำนาจของมันส่งข้ามาสู่ยุคสมัยนี้”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
ครั้นเห็นแววตาของเจียงหลาน แม้ว่าความมืดมิดอันมีเพียงแสงไฟสลัวจะทำให้มองเห็นสีหน้าของนางได้ยากเย็น ทว่าไป๋ชิวหรานยังล่วงรู้ว่านางกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นจึงเลื่อนมือไปแตะแก้มของนางพร้อมกล่าวว่า
“อย่าคิดกังวลจนเกินไป แม้ว่าจะข้ามผ่านเข้ามาสู่ยุคสมัยนี้โดยบังเอิญ ทว่าทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรสำหรับข้า อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจว่าชีวิตในอนาคตจะเป็นไปอย่างไร และยังได้พบกับเจ้า…”
“อุ๊ย!”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันอุทานขึ้นขัดจังหวะ
“น่าแปลกใจจริง ต้นรักเบ่งบานแล้วหรือนี่?!”
เสียงอุทานไร้ที่มาดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้เจียงหลานถึงกับสะดุ้งโหยง ถึงกระนั้นเกือบจะปล่อยให้ชามน้ำแกงร่วงลงพื้น ทว่าชายหนุ่มรีบช่วยนางจับขอบชามไว้อย่างรวดเร็ว
“ใครกัน?”
เจียงหลานกลับไปเผยสีหน้าท่าทีเย็นชาเช่นเดิมทันที ขณะโพล่งถาม
“ใจเย็นลงก่อนเถิด”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ จากนั้นจึงถอดหัวกะโหลกออกจากเข็มขัด แล้ววางมันไว้ตรงหน้าพวกเขา
ประกายดวงไฟสีเขียวสว่างวาบออกมาจากเบ้าตาของหัวกะโหลกนั้น จื้อเซียนเริ่มทักทายเจียงหลาน
“สวัสดี แม่สาวน้อย”
“เขาชื่อจื้อเซียน เป็นสหายของข้า”
ไป๋ชิวหรานแนะนำจื้อเซียนให้เจียงหลานได้รู้จัก
“เขาถูกลากออกจากยุคสมัยนั้นมาสู่ยุคสมัยนี้พร้อมกันกับข้า แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ก่อนหน้านี้จึงไม่สามารถออกปากพูดต่อหน้าผู้อื่นได้”
“ต้องขอโทษด้วยที่ข้าจัดจังหวะระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง”
จื้อเซียนเปล่งเสียงหัวเราะ
“ข้าเพียงประหลาดใจจนระงับไว้ไม่อยู่ที่ต้นไม้เหล็กต้นนี้กลับผลิดอกรัก ริเริ่มที่จะกล่าวถ้อยคำหวานชื่นกับหญิงสาวอื่น โดยไม่ต้องให้ข้าช่วยเหลือ… ที่จริงแม่สาวน้อยซูที่เป็นเจ้าสำนักเปิดเผยความรู้สึกต่อเขามานานสองนานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเขาพูดอะไรทำนองนี้เลยสักครั้ง เจ้าช่างน่าทึ่งเสียจริง ข้าขอชื่นชม ชื่นชม”
เจียงหลานกะพริบตาปริบ มองไปที่ไป๋ชิวหรานแล้วเอ่ยถามว่า
“เจ้าหมายความว่าเขามีคู่ครองอยู่แล้วในยุคสมัยนั้นอย่างนั้นหรือ?”
“แค่ก… แค่ก…”
ไป๋ชิวหรานกระแอมไอติดกันสองครั้ง จ้องเขม็งไปยังจื้อเซียนแล้วตอบนางว่า
“ไม่ใช่คู่ครองของข้าเสียหน่อย นางเป็นเพียง…”
ชายหนุ่มกล่าวด้วยความลังเล
“คนสนิทคนหนึ่งของข้าเท่านั้นเอง”
“โอ้”
ตอนนี้จื้อเซียนกลับแย้งขึ้นมา และเอ่ยถามเขา
“ข้าว่านะ ความตายของสวรรค์ริษยารุ่นแรกไม่ทำให้เจ้าฉลาดเฉลียวมากขึ้นเลยรึ? คิดว่าจะกล่าวว่าตนเองและแม่สาวน้อยซูผู้นั้นเป็นสหายกันเสียอีก”
“หยาบคายนัก”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับอย่างไม่อดทน
“เซียงเสวี่ยเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะจูบข้าก่อน หากไม่รู้ว่านางกระทำเช่นนั้นเพราะมีความนัยใดแอบแฝง คงไม่ใช่เพราะข้ามีสติปัญญาต่ำเพียงอย่างเดียว แต่คงจะปัญญาอ่อนเกินกว่าที่จะเข้าใจ”
หลังจากที่กล่าวจบ เขาจึงเหลือบมองไปยังเจียงหลานอีกครั้งด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความละอายใจ
[1] ซานไห่จิง คือ คัมภีร์แห่งภูเขาและท้องทะเล เป็นตำราที่บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ เทพนิยาย ตำนานเทพต่าง ๆ ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คาถามนตร์พิธีของมนุษย์โบราณ เรื่องธรรมชาติวิทยาของพันธุ์พืช สัตว์ สมุนไพร ภูมิศาสตร์ แร่ธาตุธรณีวิทยา มีเนื้อหาเกี่ยวกับแผ่นดิน ผืนน้ำ ภูเขา ทะเล แม่น้ำ