ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 202 เปลวไฟแห่งมรดก
บทที่ 202 เปลวไฟแห่งมรดก
“อย่ากังวลไปเลย”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา เจียงหลานก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้
“ข้าเปล่าบอกว่าไม่พึงพอใจอย่างไรเสียหน่อย ข้าเองอยากบอกเช่นกันว่าจากช่วงเวลาที่แท้จริงของเจ้า ข้าเป็นเพียงคนที่มาทีหลัง… อีกทั้งเราสองคนยังเป็นเพียงสามีภรรยากันในนามเท่านั้น”
“ใช่แล้ว…”
เมื่อกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวไป๋ชิวหรานก็เกิดความลังเล หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงเอ่ยถามนาง
“หลานเอ๋อร์ เช่นนั้นเจ้าอยากแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรือไม่?”
เจียงหลานตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งสงบโดยที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน
“แน่นอน ตอนนี้ข้าหลงรักเจ้าเข้าแล้ว”
“โอ้”
จื้อเซียนอุทาน
“นี่คือเอกลักษณ์ในยุคเผ่าเทพหรอกหรือ? การสารภาพรักในยุคนี้ช่างตรงไปตรงมาเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานถูกสารภาพรักอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้นด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นของเจียงหลานที่มีต่อเขา เดิมทีบุรุษพรหมจรรย์อายุสามพันปีหวาดกลัวการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่ยิ่ง และตอนนี้ เขาแทบปริปากกล่าวคำใดไม่ออก
“แต่… แต่หลานเอ๋อร์ เจ้าเคยบอกข้าก่อนที่เราสองคนจะแต่งงานกันมิใช่รึ…”
“จริงอยู่ที่เคยบอกว่าข้าจะไม่มีวันตกหลุมรักเทพเจ้า แต่เจ้าเป็นเทพเจ้าเสียเมื่อไรล่ะ?”
เจียงหลานขัดจังหวะไป๋ชิวหราน และกล่าวต่อไป
“อย่าลืมเสียว่าข้าสืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิเหยียน กล้าได้กล้าเสีย ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นจะไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพในสิ่งที่ข้าต้องการจะพูดเชียวรึ… แล้วเจ้าล่ะ? ชิวหราน ตลอดช่วงระยะเวลาที่เราแต่งงานกันมา ข้าทำให้เจ้าตกหลุมรักบ้างหรือไม่?”
เมื่อกล่าวมาถึงเรื่องนี้ เจียงหลานพลันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ถึงแม้สีหน้าจะยังสงบนิ่ง ทว่าปลายเท้าขยับไปมาเพราะความไม่สบายใจเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน”
ไป๋ชิวหรานผ่อนลมหายใจยาว
“อันที่จริงแล้ว ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานกว่าสามพันปี ข้าเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรีเพียงสองคน คนหนึ่งคือคนสนิทที่บอกกล่าวให้รับรู้ก่อนหน้านี้ ส่วนอีกคนคือศิษย์สายตรง… ต่อมาก็มีสตรีอีกคนหนึ่งคือแม่นางหลี ซึ่งข้าเองไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงกระตือรือร้นจะเข้าหาถึงเพียงนั้น ทว่าข้ากลับไม่รู้สึกอะไรกับนาง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าความรักเป็นอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สองมือของเจียงหลานพลันขยำชายกระโปรงของตนไว้แน่น
“แต่ทุกครั้งที่เจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจะรู้สึกเป็นกังวลเสมอ ทุกครั้งที่เจ้าป่วยหรืออ่อนแอ ข้าจะรู้สึกเป็นทุกข์ ทุกครั้งที่ห่างจากไป ข้าจะรู้สึกคิดถึง ทุกครั้งที่ข้าถูกพรากไปจากเจ้า… จะรู้สึกเศร้าใจ และทุกครั้งหากมีสิ่งที่ดี ข้านึกอยากแบ่งปันความรู้สึกนั้นกับเจ้าตลอดเวลาเช่นกัน…”
ไป๋ชิวหรานลูบศีรษะตนเอง ก่อนกล่าวต่อไปอย่างไม่มั่นใจนัก
“สิ่งที่ข้ารู้สึกเหล่านี้ สมควรเรียกว่าเป็นความรักได้หรือไม่?”
“นี่แหละคือความรัก”
เจียงหลานพยักหน้าอย่างมีความสุข จากนั้นจึงเอนกายลงนอนซบบนตักของไป๋ชิวหราน
“แม่เจ้าโว้ย…”
จื้อเซียนอยู่ไม่ห่างจากไป๋ชิวหราน มองดูสองร่างที่กำลังซบพิงกันและกันภายใต้แสงไฟสลัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกพลางกระซิบกับตัวเอง
“ขอบคุณเจ้าแล้ว การที่ข้ามย้อนเวลามายังยุคเผ่าเทพ ข้าเป็นพยานได้ว่าเจ้าได้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ขึ้นมาสองสิ่ง ชีวิตนี้ของข้านับว่าไม่สูญเปล่า”
หลังจากนั้น ราวกับนางนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เจียงหลานผุดลุกขึ้นจากตักของไป๋ชิวหราน จากนั้นเอื้อมมือออกไปเพื่อดึงปิ่นปักผมหยกออกมาจากบริเวณหลังศีรษะของตนเอง
“ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า”
นางยื่นปิ่นปักผมไว้ตรงหน้าไป๋ชิวหราน
“หลานเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน?”
ชายหนุ่มหยิบปิ่นปักผมขึ้นมา แล้วกล่าวด้วยความตกตะลึง
“นี่คือสิ่งของชิ้นสำคัญที่ท่านแม่ของเจ้าทิ้งไว้ให้มิใช่หรอกหรือ?”
“ใช่แล้ว แต่เจ้าเก็บรักษามันไว้ให้ที ตราบใดที่ยังอยู่กับข้าสักวันมันต้องเสียหายเป็นแน่”
เจียงหลานมองสบตาไป๋ชิวหราน แล้วกล่าวต่อไป
“ข้ารู้ว่าที่เจ้าสารภาพความลับเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร… ถึงเวลาที่ต้องกลับไปแล้วใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงกระนั้นก็พยักหน้า
“ข้ายินดีจะรอเจ้า”
เจียงหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หากเจ้าต้องการกลับมาหาข้า จงมาพร้อมกับปิ่นปักผมนี้”
“ทว่าที่แห่งนั้นอยู่ในยุคสมัยที่ห่างออกไปหลายพันปี”
ไป๋ชิวหรานมองไปยังเจียงหลาน สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเทพเจ้า เรื่องใหญ่คือการนอนพักผ่อนและตื่นขึ้นเพื่อฝึกฝนฆ่าเวลา ประเดี๋ยวเวลาคงผ่านผันไปในไม่ช้า”
เจียงหลานเผยรอยยิ้มขณะกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“ถึงเวลานั้นแล้ว ยังสามารถแนะนำให้ข้ารู้จักกับบรรดาหญิงสาวที่สนิทสนมกับเจ้าในยุคนั้นให้ข้าได้รู้จักอีกด้วย”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น แต่เมื่อดูจากท่าทีที่เจียงหลานแสดงออก ดูเหมือนว่านางจะไม่ใส่ใจเรื่องพรรค์นี้อย่างแท้จริง… ทว่าเพียงอยากทำความรู้จักกับพวกนางอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น
ท้ายที่สุด ช่วงเวลาที่แตกต่างกันย่อมทำให้ความคิดแตกต่างกันไปด้วย
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดจึงเก็บปิ่นปักผมลงในถุงเก็บสมบัติ
“ข้าสัญญา”
“ดีมาก ตัดสินใจได้ดี”
เจียงหลานออกแรงบีบแก้มของไป๋ชิวหรานเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
“นี่คือเจ้าที่ข้ารู้จัก”
…
หลังจากผ่านไปสิบปี ไป๋ชิวหรานและเจียงหลานก็ย้อนกลับมายังหุบเขาอีกครั้ง
หุบเขายังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน สาวรับใช้หลายคนทำงานอยู่ในหุบเขา เกิดแปลงผักและดอกไม้นานาพันธุ์มากมายขึ้นในหุบเขา สภาพกระท่อมมีความประณีตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สาวรับใช้ทุกคนยังช่วยกันดูแลสวนผักพื้นที่หลายไร่ ซึ่งเจียงหลานสร้างขึ้นในอดีตได้เป็นอย่างดี ตัวกระท่อมที่พวกเขาสองคนเคยอาศัยอยู่ร่วมกันไม่ได้ทรุดโทรมลงแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าจะมีคนคอยเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน
เมื่อสาวรับใช้ในหุบเขาเห็นการกลับมาของไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน พวกนางทั้งหมดต่างกรูเข้ามารวมตัวกันด้วยความประหลาดใจระคนยินดี บางคนรีบวิ่งไปยังด้านหลังของหุบเขาเพื่อเรียกไป๋ลี่กับเจ้าลิงให้มาพบ
หลังจากที่ไม่ได้พบเจอเขาเป็นเวลาสิบปี ไป๋ลี่ดูมีร่างกายแข็งแรงกำยำขึ้นมาก เจ้าลิงขนสีเทาก็เติบโตขึ้นมากเช่นกันจนไม่สามารถนั่งยอง ๆ อยู่บนไหล่ของไป๋ลี่ได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อไป๋ชิวหรานและเจียงหลานนั้น ยังคงเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อมดังเช่นเมื่อสิบปีที่แล้ว
ในช่วงเย็น เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของไป๋ชิวหรานและเจียงหลาน สาวรับใช้ต่างกระวีกระวาดตระเตรียมโต๊ะอาหารที่ดูหรูหรายิ่งสำหรับเผ่ามนุษย์ในยุคสมัยนี้
หลังจากดื่มและรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงส่งเจียงหลานกลับไปยังกระท่อมเพื่อให้นางได้พักผ่อน จากนั้นจึงเรียกไป๋ลี่ให้ติดตามเขาออกไปเพียงลำพัง
ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางภายใต้แสงจันทร์ หลังจากเดินเป็นระยะทางไกลพอสมควรจนมาถึงแหล่งน้ำแห่งหนึ่งกลางหุบเขา ชายหนุ่มยืนหันหลังให้กับไป๋ลี่ พร้อมกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เวลาของอาจารย์ใกล้มาถึงเต็มที จากนี้เส้นทางในอนาคตภายภาคหน้าล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านอาจารย์”
เด็กหนุ่มโค้งคำนับไป๋ชิวหราน ก่อนกล่าวต่อไป
“หลังจากบรรลุเข้าสู่ระดับขั้นการฝึกตนนี้ ก่อนที่จะข้ามผ่านความทุกข์แห่งห้วงนิพพาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดินแดนแห่งความว่างเปล่า ข้าสามารถทำนายลางสังหรณ์บางอย่างได้อย่างแม่นยำไม่มากก็น้อย”
“ตั้งแต่ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์จวบจนถึงปัจจุบันนี้ เจ้าไม่เคยทำให้ผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำยังเก่งกาจยิ่งกว่าศิษย์พี่หญิงของเจ้าเสียอีก ฉะนั้นควรจะฝึกฝนต่อไปเพื่อให้มีช่วงชีวิตที่ยืนยาวยิ่งขึ้น”
ไป๋ชิวหรานเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นหันกลับมามองดูลูกศิษย์คนที่สอง ก่อนกล่าวเบา ๆ ว่า
“หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
“ศิษย์จะจำไว้”
ไป๋ลี่ก้มศีรษะลงขณะเอ่ยตอบ
“เช่นนั้น ก่อนที่จะจากไป ข้ามีของบางสิ่งต้องการมอบให้เจ้า”
ขณะที่ไป๋ชิวหรานกล่าว เขาหยิบสิ่งของสองสามอย่างออกมาจากถุงเก็บสมบัติ
ครั้งแรก เขาหยิบตำราเล่มหนาที่มีคำว่า ‘ซานไห่จิง’ เขียนไว้บนหน้าปกยื่นให้อีกฝ่าย
“นี่คือสหายร่วมรบของเจ้าในอนาคต หลังจากที่มาเยือนยังโลกนี้ ทุกเผ่าพันธุ์ในโลกที่เป็นกบฏต่อจักรวรรดิสวรรค์และ ‘ถูกกวาดล้าง’ แต่เพียงในนามล้วนอาศัยอยู่ในห้วงมิติซ้อนภายในตำราเล่มนี้”
ไป๋ลี่รับมาด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเก็บมันไว้ในสร้อยคอที่ดัดแปลงเป็นคลังเก็บสมบัติส่วนตัว นี่คือสมบัติที่เขาปรับแต่งขึ้นผ่านเวทที่ไป๋ชิวหรานเคยสอน
ชายหนุ่มหยิบม้วนภาพเขียนอีกชุดหนึ่งที่ผูกด้วยเชือกสีน้ำเงิน วางลงในมือของไป๋ลี่
“นี่คือสังคมทั้งหมดของเจ้า เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่รอดชีวิตจากการถูกเข่นฆ่าทั้งหมดบนโลกล้วนอาศัยอยู่ในโลกภายในภาพเขียนนี้… จงชี้แนะนำทางพวกเขาให้ดี”
ไป๋ลี่โค้งคำนับอีกครั้ง รับมันมาด้วยมือทั้งสองข้างแล้ววางลงชั่วคราว
ท้ายที่สุด ไป๋ชิวหรานหยิบแผ่นหินที่เป็นกระดานชนวนขนาดใหญ่สองสามแผ่นออกมาแล้ววางลงบนพื้น กระดานชนวนเหล่านั้นล้วนถูกจารึกด้วยเคล็ดวิชาการฝึกตนแทบทุกประเภท นับตั้งแต่วิธีการฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่การฝึกตนจนกลายเป็นเซียน ตั้งแต่การหลอมสร้างกายไปจนถึงการกลับสู่ซากปรักหักพังหวนคืน
“นี่คืออนาคตของมวลมนุษยชาติ ตราบใดที่พวกเขายังดำรงอยู่และฝึกตนอย่างขันแข็ง เผ่ามนุษย์จะบังเกิดซึ่งความหวัง”
ก่อนส่งมอบมันให้กับเด็กหนุ่ม ไป๋ชิวหรานเน้นย้ำว่า
“ต่อให้ถึงคราวสิ้นอายุขัย เจ้าจะต้องส่งต่อให้อยู่ในมือของมนุษย์ที่สามารถวางใจและเชื่อถือได้”
ไป๋ลี่คุกเข่าลงตรงหน้ากระดานชนวนหินสองสามแผ่นนั้น ก่อนจะคุกเข่าคำนับสามครั้ง และโขกศีรษะถึงเก้าครั้ง จากนั้นหยัดกายลุกขึ้นยืน ยกเอาแผ่นหินสองสามแผ่นนั้นเก็บเข้าไปในคลังเก็บสมบัติด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง
“ข้าไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ได้ย้อนเวลามาสู่ยุคนี้”
ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ตบไหล่ไป๋ลี่ ก่อนกล่าวกับเขาว่า
“ในวันที่เจ้าสามารถก้าวข้ามภัยพิบัติจากทันฑ์สวรรค์ไปได้ เราทั้งสองจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์ที่ยืนหยัดต่อสู้อยู่เคียงข้างกัน”