ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 203 ไปตายซะ! จักรพรรดิตะวันออกไท่อี
บทที่ 203 ไปตายซะ! จักรพรรดิตะวันออกไท่อี
หลังจากที่เจียงหลานอาศัยอยู่ในหุบเขาต่อไปอีกเป็นเวลานาน ไป๋ชิวหรานจึงตัดสินใจส่งนางไปพำนักยังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง ซึ่งมารดาแห่งดวงอาทิตย์ซีเหอและเทพอีกาสามขาจินวูอาศัยอยู่
เทพธิดาทั้งสองไม่ได้ถามไถ่เหตุผลอย่างละเอียด แต่ยอมรับดูแลเจียงหลานอย่างไม่เห็นแก่ตัวเลยแม้แต่น้อย ไป๋ชิวหรานให้คำมั่นสัญญากับพวกนาง ว่าในเวลาอันสั้นนี้ จักรพรรดิตะวันออกไท่อีจะไม่สามารถกักขังหรือควบคุมสองแม่ลูกที่อาศัยอยู่เหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางได้อีกต่อไป เมื่อถึงเวลาแล้วทั้งสองจะเป็นอิสระ
ส่วนบรรดาสาวรับใช้ที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีมอบเป็นรางวัลให้กับเขา… ก็ได้รับทางเลือกจากเขาเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะติดตามรับใช้เจียงหลานต่อไป ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง หรือติดตามไป๋ลี่ ร่วมต่อสู้ในสงครามเพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในท้ายที่สุด สาวรับใช้ครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดเลือกที่จะติดตามเจียงหลานไปอาศัยอยู่ภายในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง นั่นเป็นเพราะพวกนางค่อนข้างสนิทสนมกับเจียงหลาน อีกทั้งหญิงสาวยังปฏิบัติต่อพวกนางเป็นอย่างดีราวเป็นลูกสาวแท้ ๆ จึงเกิดความลังเลไม่อยากออกห่างจากเจียงหลาน
ส่วนสาวรับใช้อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ พวกนางเลือกที่จะติดตามไป๋ลี่ เป็นเพราะในวันปกติล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมคติอันแรงกล้าของเขา ทั้งยังชื่นชมความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจติดตามไป ทว่าสาวรับใช้เหล่านี้ที่เลือกติดตามไป๋ลี่กลับถูกปฏิเสธในที่สุด ไป๋ชิวหรานให้พวกนางเข้าไปอยู่ภายในห้วงมิติซ้อนอันเป็นสถานที่หลบภัยชั่วคราวในภาพเขียน ก่อนจะส่งมอบให้เด็กหนุ่มเพื่อความปลอดภัยของพวกนางเอง
แม้แต่เจ้าลิงที่ไม่เคยแยกตัวออกห่างจากไป๋ลี่ตลอดเวลาที่พบกัน ยังถูกชายหนุ่มบังคับให้เข้าไปอยู่ในห้วงมิติของภาพเขียน เวลานี้ภายในหุบเขาแห่งเดิม นอกจากหัวกะโหลกจื้อเซียนที่ต้องติดสอยห้อยตามเขาอยู่ตลอดเวลาแล้ว จึงเหลือเพียงไป๋ลี่และไป๋ชิวหรานสองคนเท่านั้น
เด็กหนุ่มปลดปล่อยห้วงสมาธิและภวังค์ความคิดของตน มุ่งเตรียมที่จะฝ่าฟันภัยพิบัติจากทัณฑ์สวรรค์อย่างเต็มที่ ขณะที่ไป๋ชิวหรานวนเวียนอยู่ภายในหุบเขาคอยปกป้องเขา และเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้
ชายหนุ่มเช็ดถูกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าด้วยผ้าขาวสะอาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ใบกระบี่สีฟ้าครามของมันสะท้อนแสงจันทร์บนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกสงบนิ่งและอดทนอย่างล้ำลึกประหนึ่งห้วงมหาสมุทร
ในอีกไม่กี่วัน จักรพรรดิตะวันออกไท่อีคงจะมากำจัดชายหนุ่มด้วยตนเองเป็นแน่ ไป๋ชิวหรานรู้ดีแก่ใจ แม้ว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีจะไม่สามารถส่งเขากลับไปยังโลกอนาคตได้ แต่ถึงอย่างไรวิถีสวรรค์ย่อมช่วยเหลือโดยการพาเขากลับไปยังยุคสมัยที่จากมา
ในยุคสมัยนี้ ช่วงเวลาของไป๋ชิวหรานดูเหมือนว่ามีมากมายอย่างเหลือเฟือ แต่แท้จริงแล้วมันผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก คัมภีร์ลึกลับเกี่ยวกับห้วงเวลาเหล่านั้นคลุมเครือ ซ้ำยังทำความเข้าใจได้ยาก ทำให้ไม่สามารถสรุปกับควบคุมกฎแห่งกาลเวลาได้ในช่วงเวลาอันสั้น
ดังนั้นเมื่อวิถีสวรรค์กับจักรพรรดิตะวันออกไท่อีส่งตัวเขากลับไป ไป๋ชิวหรานอาจไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่เพื่อเอาตัวรอดเช่นเดียวกับสมัยก่อนที่จะเรียนรู้เวทคาถาแห่งห้วงอวกาศ และถูกระฆังของจักรพรรดิตะวันออกรังแกด้วยกระบวนเคลื่อนย้ายห้วงมิติ
แต่ก่อนหน้านั้น เขาคิดจะปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่หลังจากห่างหายจากการต่อสู้ไปนาน สังหารเทพเจ้าทุกองค์ที่เข้ามาขวางทาง เพราะทุกครั้งที่สังหารเทพเจ้าหนึ่งองค์ เผ่ามนุษย์ที่นำโดยไป๋หลี่ จะสูญเสียเลือดเนื้อน้อยลงหนึ่งคนในอนาคตข้างหน้า
อย่างน้อยหากวันนั้นมาถึง เขาต้องสังหารจักรพรรดิตะวันออกไท่อีลงให้จงได้
เมื่อมองไปยังแสงเย็นเยียบที่สะท้อนจากใบกระบี่ ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดในใจอย่างเงียบเชียบ
เวลาที่รอคอยอย่างจดจ่อมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ห้าวันต่อมา ไป๋ลี่สามารถบรรลุผ่านไปอีกขั้นหนึ่งได้สำเร็จ ในขณะเดียวกัน การดำรงอยู่ของโลกทั้งใบคล้ายว่าจะรับรู้ มันนำพาพายุมรสุม และฝนฟ้าคะนองอันน่าสะพรึงกลัวเคลื่อนมารวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาขนาดเล็กแห่งนี้ทันควัน
สถานที่อันมีหุบเขาเป็นศูนย์กลาง รัศมีหลายพันลี้รอบทิศล้วนเต็มไปด้วยเมฆฝนฟ้าคะนองที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับเสียงมังกรคำราม คราวนี้วิถีสวรรค์ไม่สามารถซ่อนเร้นตำแหน่งแท้จริงให้รอดพ้นจากสายตาของศัตรูได้อีกต่อไป
“พบมันแล้ว! สถานที่กบดานของเจ้าโจรนั่น!”
เทพเจ้าทั้งสองที่รับหน้าที่เฝ้าดูท้องฟ้าได้ยินเสียงฟ้าร้องคำราม จึงรีบรายงานตำแหน่งที่ตั้งของหุบเขาแห่งนั้นให้จักรพรรดิตะวันออกไท่อีรับทราบอย่างรวดเร็ว
“พบมันแล้วอย่างนั้นรึ?”
หลังจากลดม่านลง ร่างกายอันแข็งแกร่งของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์จนเต็มความสูง ก่อนจะออกคำสั่ง
“ลู่อู๋ อิงเจา จักรพรรดิสวรรค์แห่งทิศทั้งสี่ จงอยู่ในปราสาทสวรรค์แห่งนี้คอยรับคำสั่งจากข้า จ้งหลีและเทพเจ้าอีกหกองค์ จงนำกองทัพเทพแห่งจักรวรรดิสวรรค์ทั้งทัพอสนีและทัพอัคคี ตั้งกระบวนรบไปพร้อมกันกับข้า!”
…
กลุ่มเมฆพายุคะนองเหนือท้องฟ้าก่อตัวกันจนกลายเป็นกระแสน้ำวน พลังทำลายล้างของมันยิ่งใหญ่ ไป๋ชิวหรานเคยเห็นนักพรตเต๋าชิงหมิงผู้เป็นอาจารย์เผชิญกับภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์มาก่อน ทว่าไป๋ลี่กลับต้องรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ที่สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าถึงสิบเท่าในการข้ามผ่านความทุกข์ของห้วงนิพพาน
วิถีสวรรค์เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่มีต่อไป๋ลี่ ภัยพิบัติจากทัณฑ์สวรรค์ครั้งนี้หมายเอาชีวิตคนให้ถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็อาจเป็นความตายหนแรกจากเก้าชีวิต
นอกจากนี้ยังอยากจะใช้โอกาสที่ไป๋ลี่กำลังจะข้ามผ่านความทุกข์แห่งห้วงนิพพาน เพื่อล้มล้างเผ่าเทพให้สิ้นซากไปเสีย มีเพียงผู้ที่ผ่านด่านทดสอบอันโหดร้ายนี้เท่านั้นถึงจะสามารถบรรลุเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์เช่นนี้ไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากมันกล้าหาญพอจะพรากเอาชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตายของไป๋ชิวหรานไป แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นคนแรกที่จะยืนหยัดและต่อสู้กับมันอย่างแน่นอน
ภายในกระแสน้ำวนเหนือชั้นบรรยากาศ จู่ ๆ พลันเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น ไป๋ชิวหรานสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เข้าแทรกแซงธรรมชาติอย่างชัดเจน สายตาของเขาทะลุผ่านกลุ่มเมฆฝนฟ้าคะนอง ในที่สุดจึงสามารถมองเห็นกองทัพเทพที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือเมฆเหล่านั้น
กองทัพเทพที่เต็มไปด้วยทหารเทพจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงเทพเจ้าหลายองค์ยืนอยู่บนหัวแถว ถัดไปคือเทพดาราผู้ทรงพลัง ชั้นบนเหนือกลุ่มเมฆขึ้นไป มีเทพเจ้าห้าองค์ยืนเรียงหน้ากระดานขนาบอยู่ทางซ้ายขวา เฝ้าอยู่ด้านข้างรถม้ามังกรที่มีม่านแขวนปิดอยู่ ซึ่งไม่นับเทพเจ้าทั้งห้า ถัดจากรถม้ามังกร มีเทพเจ้าผู้หนึ่งที่แม้แต่ลมหายใจยังแข็งแกร่ง ส่วนหลังม่าน คงเป็นจักรพรรดิตะวันออกไท่อีที่ประทับอยู่บนรถม้ามังกร
“แห่กันมาแล้วหรือ?”
ไป๋ชิวหรานหันศีรษะมองตามขึ้นไป เหนือกระแสพายุรุนแรงราวน้ำวน หนึ่งในเทพเจ้าทั้งเก้าหน่วยสวรรค์เป็นเทพสายฟ้าผู้มีส่วนหางเป็นมังกร เขากำลังแสยะยิ้มพร้อมจุดเปลวไฟขึ้น โดยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองในการดูดซับพลังส่วนหนึ่งจากสวรรค์และโลกอันไร้ขอบเขตภายในเมฆฝนฟ้าคะนอง จากนั้นจึงใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติเพื่อเคลื่อนตัวไปยังทิศทางของไป๋ลี่ลอยข้ามศีรษะของเขาไป
ขณะเดียวกัน กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าที่อยู่ในฝักด้านหลังไป๋ชิวหรานเหยียดตัวออกมา ปล่อยปราณกระบี่เพื่อสกัดกั้นความรุนแรงจากการโจมตีของเทพสายฟ้า
พายุฝนฟ้าคะนองยังคงดำเนินต่อไปในชั้นบรรยากาศ จากนั้นสายฟ้าพลันแยกตัวออกเป็นสองส่วนด้วยปราณกระบี่ของไป๋ชิวหราน แตกแขนงพ้นจากยอดศีรษะของไป๋ลี่ไปอย่างหวุดหวิด ฟาดฟันเข้าตรงยอดเขาที่ขนาบข้างทั้งทางซ้ายและขวา ทลายภูเขาทั้งสองจนแหลกลาญออกเป็นเสี่ยง!
โลหิตเทพเจ้าสีทองอร่ามหยดลงมาจากฟากฟ้า ก่อนที่ครึ่งร่างท่อนบนที่เป็นมนุษย์ และร่างอีกครึ่งท่อนที่เป็นมังกรจะร่วงหล่นลงจากกลุ่มเมฆฝนฟ้าคะนอง หลังจากถูกอสนีบาตฟาดผ่าจนไหม้เกรียม ร่างของพวกเขาทั้งหมดกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทถึงสองครั้ง!
เทพสายฟ้าเพิกเฉยต่อเทพเจ้าจากทั้งเก้าหน่วยสวรรค์ที่สิ้นชีพไป ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพ่งตรงไปยังตำแหน่งของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ก่อนจะโค้งกายพร้อมผายมือออก
“ฝ่าบาทเสด็จมาไกลยิ่งนัก เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ลูกศิษย์ของกระหม่อมที่กำลังจะก้าวข้ามความทุกข์แห่งห้วงนิพพาน นับว่าทรงงานหนักเกินความจำเป็น เคยมีคำกล่าวหนึ่งว่าไว้ สุภาพบุรุษควรปิดปากเงียบขณะดูหมากรุก*[1] ไม่คาดคิดว่าเราต้องมาพูดคุยกันเรื่องพื้นฐานของกาลเทศะ คนของฝ่าบาทฉวยโอกาสกระทำเรื่องหยาบช้า กล่าวตามตรงว่าช่างเลวทรามไร้มารยาทยิ่งนัก”
“ข้าไม่ได้พบเจอเขามานานกว่าสิบปีแล้ว ฝีปากของแม่ทัพไป๋ยังน่ารำคาญอยู่วันยังค่ำ”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีแค่นเสียงหัวเราะเบา ๆ จากนั้นหันไปมองดูดวงอาทิตย์ที่อยู่อีกฟากฝั่งผ่านกลุ่มเมฆเหล่านั้น ก่อนที่กลุ่มเมฆจะแยกตัวออกจากกันเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ กระทั่งแสงสว่างลอดผ่านเมฆดำทะมึนเหล่านั้นสำเร็จทั้งยังเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทว่าในชั่วพริบตาต่อมา บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าภัยพิบัติที่ตนสร้างขึ้นถูกท้าทายอำนาจ เจตจำนงแห่งวิถีสวรรค์จึงเข้าแทรกแซงทันที ทำให้เมฆฝนฟ้าคะนองที่ถูกแยกออกเคลื่อนมาปิดสนิทกันอีกครั้ง สกัดกั้นเทพเจ้าให้อยู่แต่เพียงเบื้องหลังกลุ่มเมฆหนาทึบ
ทั่วทั้งบริเวณเงียบเชียบ
เหนือชั้นเมฆ บรรยากาศโดยรอบของเผ่าเทพพลันเงียบสงัด ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรเล็ดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว
ภายใต้ก้อนเมฆ ไป๋ชิวหรานได้แต่ชี้ไปที่ท้องฟ้า พร้อมกับหัวร่องอหายจนร่างกายโอนเอนไปมา
“ข้าบอกพระองค์แล้ว ฝ่าบาท”
ชายหนุ่มพยายามยับยั้งความขบขันของตนเอง ขณะที่กล่าวกับจักรพรรดิตะวันออกไท่อี
“สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นเพราะกรรมชั่วที่พระองค์ทรงก่อไว้แต่แรก หากพระองค์ปั้นเส้นผม สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าเทพคงไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้”
“ช่างน่าเสียดายยิ่ง”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีทำหูทวนลมต่อคำกล่าวอันยืดยาวของไป๋ชิวหราน เขาออกคำสั่งให้กองทัพเทพเคลื่อนกำลังพลลงจากชั้นเมฆไปสู่กลางอากาศ ก่อนจะมองลงไปยังชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า
“แม่ทัพไป๋ เจ้ามีพลังมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ เช่นนั้นควรจะเพลิดเพลินอยู่กับความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความมั่งคั่งพร้อมกับพวกเราเผ่าเทพตลอดไป… ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดถึงตัดสินใจทำเช่นนี้? มีประโยชน์ใดสำหรับเจ้าที่ยอมเป็นกบฏต่อสู้กับข้าเพื่อพวกมนุษย์ที่เป็นเสมือนมดปลวกเหล่านั้น?”
“มีประโยชน์ใดงั้นรึ?”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้า
“กล่าวกันตามตรงว่าไม่ได้ประโยชน์ใดเลย ข้าวิ่งแจ้นไปหาพวกเขาทุกวัน เผชิญกับความทุกข์ลำบากไม่น้อย จนเส้นผมหงอกไปทั่วทั้งศีรษะ แต่ถึงอย่างไร… ข้าก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับพวกเขา”
“เป็นไปไม่ได้!”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อียื่นคำขาดกับไป๋ชิวหราน
“แม่ทัพไป๋ วันนี้เจ้าต้องจบชีวิตลงที่นี่!”
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ฝ่าบาท วันนี้พระองค์ต้องตายตกลง ณ ที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน”
ไป๋ชิวหรานชูมือขึ้นสูงไปตรงหน้าของจักรพรรดิตะวันออก ก่อนจะชูนิ้วกลางขึ้นมาอย่างบ้าระห่ำ
“ไปตายซะ! ไอ้บ้าจักรพรรดิตะวันออกไท่อี!”
[1] สุภาพบุรุษควรปิดปากเงียบขณะดูหมากรุก = เปรียบเปรยว่าผู้ที่ดูคนเล่นหมากรุกโดยไม่แทรกแซงหรือชี้นำ นับเป็นบุรุษที่รู้กาลเทศะ เป็นนัยสอนว่าเราควรเรียนรู้ที่จะพูดให้น้อยลงและรับฟังให้มากขึ้น