ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 204 ข้ายังมีสามหัวและหกแขน
บทที่ 204 ข้ายังมีสามหัวและหกแขน
กองทัพเทพเคลื่อนพลลงมาจากท้องฟ้า โถมกระหน่ำเข้าหาไป๋ชิวหรานราวกับคลื่นยักษ์!
ภายใต้คำสั่งของแม่ทัพเทพ ทหารกว่าครึ่งหนึ่งของกองทัพต่างชูหอกในมือขึ้นสูง พลังศักดิ์สิทธิ์พลันหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ก่อนจะออกแรงขว้างพวกมันออกไป
แต่แทนที่จะเล็งเป้าไปยังไป๋ชิวหราน กลับมุ่งโจมตีไปที่ไป๋ลี่ที่กำลังหลับตา เพื่อรวบรวมสมาธิเพื่อรับมือกับภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์
หอกที่ถูกพุ่งออกมาจากร่างกายใหญ่โตมโหฬารของเหล่าทวยเทพ เป็นประหนึ่งเสาเหล็กอันแข็งแรง หนา และหนักอึ้งเกินกว่าที่เผ่ามนุษย์จะต้านทานได้ หอกของเทพเจ้าเหล่านี้สามารถทำลายภูเขาสูงใหญ่ได้อย่างง่ายดายด้วยการพุ่งออกไปแต่ละครั้ง ไม่นับหอกที่กำลังพุ่งลงมาจากฟากฟ้าราวห่าฝนที่ตกกระหน่ำ ซึ่งเป็นภัยพิบัติร้ายแรงยิ่งสำหรับสิ่งมีชีวิตใดก็ตามในโลก!
ไป๋ชิวหรานพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าเคลื่อนตัวเองออกจากฝัก ก่อนจะเหาะวนไปมาอยู่ข้างกายเขา ระดมพลังแห่งปราณกระบี่ออกมาและหันหน้าไปขวางแนวหอกที่พุ่งลงมาไว้
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเองเสียงกึกก้องพลันดังขึ้นจากเหนือท้องฟ้า ลำแสงสว่างวาบของอสนีบาตฟาดลงมาผ่านกลุ่มเมฆภัยพิบัติ หมายผ่าไปยังตำแหน่งไป๋ลี่รวบรวมสมาธิอยู่ เด็กหนุ่มยกกระบี่ของตนขึ้นพร้อมตั้งรับทัณฑ์สวรรค์โดยไม่เกรงกลัว
ขณะที่อสนีบาตเปลี่ยนทิศทางผ่าลงพื้นดินแทน ปราณกระบี่ของไป๋ชิวหรานสับฝนหอกรอบแรกให้สลายไปจนสิ้น ปราณกระบี่ที่ยังหลงเหลือทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก่อนจะฟาดฟันกลับไปยังกลางกองทัพของเหล่าทวยเทพ!
แม่ทัพเทพที่ยืนหยัดอยู่หน้ากองทัพออกคำบัญชาการกองทัพเทพจึงเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งทันที ก่อนจะขว้างหอกใส่ไป๋ชิวหรานด้วยกระบวนท่าเดิม
ฝนหอกพุ่งตรงลงมา พร้อมกับพายุมรสุมที่โหมกระหน่ำกระทบพื้น ทำให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ทว่าจังหวะเดียวกันนั้น ไป๋ชิวหรานพลันรวบรวมดึงฝุ่นควันสีเหลืองฟุ้งตลบมาบดบังด้านหน้ากองทัพของเหล่าทวยเทพไว้
ทหารเทพหลายสิบนายที่เผชิญหน้าโดยตรงมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสยดสยอง ก่อนที่ทหารเทพที่อยู่ใกล้เขาที่สุดสองนายจะฟาดฟันเขาด้วยมีดยาวที่อยู่ในมือ
ทว่าไป๋ชิวหรานทำเพียงยกขาขึ้นและออกแรงเตะในแนวตรงเท่านั้น โลหิตของอีกฝ่ายกลับพุ่งกระฉูด พร้อมกับชุดเกราะของทหารเทพนายนี้ที่เว้าแหว่งจมลงไป ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นเสมือนลูกข่างขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งถอยลอยละลิ่วจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกองทัพเทพที่เหลือถูกเขาพลิกคว่ำแล้วเช่นกัน
ไป๋ชิวหรานหมุนกายมองไปรอบ ๆ กลางอากาศ สำรวจมองทั้งทางซ้ายและขวา ก่อนจะพบว่าตนถูกรายล้อมไปด้วยเทพเจ้าที่มีขนาดร่างกายสูงชะลูดยิ่งนัก เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงบิดมือหนึ่งครั้ง จนกระดูกเกิดเสียงลั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ทุกส่วนของร่างกายจะค่อย ๆ มีขนาดใหญ่โตขึ้น
ในที่สุดเขาก็สามารถเรียกใช้พลังเวทจากทั้งสวรรค์และโลกได้ หลังจากที่ได้ครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริง
ความสูงของเพิ่มทวียิ่งขึ้นจนถึงจุดที่สูงยิ่งกว่าทหารเทพสามัญเหล่านี้ จากนั้นยื่นมือออกไป กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีความเหมาะสมกับรูปร่างในปัจจุบันของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะจับยกมันสูงขึ้น
“เข้ามา เข้ามาสิ! มีเทพทั้งหมดกี่องค์ จงมารวมกันที่นี่เสียให้หมด!”
ไป๋ชิวหรานรีบวิ่งฝ่าเข้าไปกลางกองทัพเทพด้วยพลังแรงกายอันบ้าคลั่ง จากนั้นโลหิตพลันสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณเคล้ากับพายุมรสุมที่กำลังโหมกระหน่ำ เมื่อมองจากด้านบน พบว่าเขาสามารถสังหารกวาดล้างกองทัพเทพจนราบเป็นหน้ากลองได้อย่างราบรื่น!
โลหิตสีทองหยาดหยดลงมาจากฟากฟ้าอย่างต่อเนื่อง ตับของมังกรรวมถึงไขกระดูกของหงส์ไฟที่ทหารเทพเหล่านี้ได้บริโภคเสริมกำลัง ทำให้โลหิตกับซากศพของพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล ขณะที่ร่วงหล่นสู่พื้นดินอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ทั้งแผ่นดินเริ่มเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ไป๋ชิวหรานยังคงพุ่งเข้าสู่ใจกลางของกองทัพเทพอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง เหล่าทหารเทพที่อยู่รายรอบเริ่มล่าถอยด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่โซ่เส้นหนาหลายเส้นจะถูกกลุ่มเทพเจ้าเหล่านั้นโยนออกมาจาก และพันอยู่รอบกาย จากนั้นมัดกระชับไว้อย่างแน่นหนา พลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังจากโซ่ดังกล่าวนั้นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปิดกั้นพลังปราณอันเดือดพล่านภายในร่างกายชายหนุ่ม
ขณะเดียวกันนั้น ไป๋ชิวหรานสามารถระบุตัวตนของเทพอีกสององค์จากห้าองค์ที่คอยเฝ้าอารักขาอยู่รอบจักรพรรดิตะวันออกไท่อีได้แล้ว
หนึ่งในนั้นคือเทพเจ้าร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าเป็นมนุษย์ มีร่างกายเป็นนก ส่วนอีกองค์หนึ่งเป็นเทพเจ้าร่างยักษ์ที่มีผิวกายสีคล้ำเข้ม รูปลักษณ์ภายนอกน่าสะพรึงกลัว ผมและเคราเป็นสีแดง ทั้งยังมีสี่แขนงอกออกมา
“ไป๋ชิวหราน เจ้าคนทรยศ!”
พวกเขารีบจ้ำอ้าวตรงเข้าหาไป๋ชิวหรานทันที
“เทพแห่งไม้และเทพแห่งไฟ ช่างมีทักษะลูกเล่นที่ยอดเยี่ยม!”
เทพแห่งไม้เรียกเถาวัลย์เขียวขจีที่มีความยาวไร้ที่สิ้นสุดออกมา ส่วนเปลวไฟที่ลุกโชนของเทพแห่งไฟเริ่มเกาะและแผดเผาไปตามแนวเถาวัลย์ ทำให้เถาวัลย์กลายเป็นประหนึ่งเชือกไฟ!
เทพเจ้าร่างยักษ์ทั้งสองควบคุมเชือกไฟร่วมกันใช้ผูกมัดไว้บนร่างกายของไป๋ชิวหราน ก่อนที่เปลวไฟที่ยังลุกโชนไม่รู้จักมอดดับจะทำให้โซ่ที่มัดรอบกายไป๋ชิวหรานไว้ในตอนแรก… แปรเปลี่ยนเป็นเหล็กหลอมเหลวที่พร้อมจะสังหารชายหนุ่มให้แหลกเป็นจุณ
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานออกแรงเหวี่ยงแขนออกไปอย่างแรง นั่นทำให้ขั้นวิญญาณแท้จริงภายในร่างกายพลุ่งพล่านขึ้นมา เชือกไฟและโซ่ที่เทพเจ้าทั้งสองควบคุมขาดสะบั้นลงในทันที จากนั้นหันหลังกลับโดยพลันแล้วยกกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สีน้ำเงินในมือขึ้นสูง
แสงกระบี่สีน้ำเงินส่องแสงเย็นเยียบตัดผ่าน ตามด้วยศีรษะและร่างของเทพเจ้ายักษ์ทั้งสองที่ผ่าครึ่งออกจากกันแล้วล้มตึงลงกับพื้น!
“ความแข็งแกร่งของไป๋ชิวหรานไม่ใช่สิ่งที่ควรปรามาสอีกต่อไป”
ครั้นเห็นสิ่งนี้ เทพเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ข้างรถม้ามังกรของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีพลันร้องตะโกนด้วยเสียงต่ำทว่าทรงพลัง
“เหล่าเทพเจ้า มากับข้า!”
เขานำเทพเจ้าอีกสามองค์ที่เหลืออยู่ตรงเข้าไปในกลุ่มเมฆเพื่อโจมตีไป๋ชิวหรานโดยพร้อมเพรียงกัน เทพเจ้าทั้งสามองค์ก่อรวมกระแสลมพายุอันรุนแรง ยกภูเขาและแผ่นหินขนาดยักษ์บนพื้นดินขึ้น รวมถึงโบกมือเรียกใช้กระบี่อันน่าสะพรึงกลัวในมือ จากนั้นทั้งสามรวมพลังห้อมล้อมไป๋ชิวหรานไว้ ในขณะนี้ แม้แต่กลุ่มเมฆแห่งภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกวิถีสวรรค์เรียกมายังดูคล้ายถูกสุริยุปราคาบดบังจนมืดมิด!
ถึงกระนั้นไป๋ชิวหรานไม่ได้นำพา เขายกกระบี่ขึ้นเพื่อแยกผืนทวีปออกจากกัน พร้อมกับยกขาขึ้นทำลายภูเขารอบด้าน ไม่สนใจพลังน่าสะพรึงกลัวของกระบี่ ก่อนจะออกแรงทุบศีรษะของเทพเจ้าที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่อยู่นั้นด้วยหมัดเดียว
ไป๋ชิวหรานไม่สนใจศีรษะที่ขาด หรือร่างที่ล้มตึงลงตรงหน้า เขายังคงลากกระบี่ในมือพร้อมเดินหน้าต่อไป พุ่งเข้าหาเทพเจ้าผู้ทรงพลังอีกสององค์ ทว่าจังหวะนั้น ข้างหลังกลับมีใบหน้าดำคล้ำ ผมสีแดงเถือก ศีรษะตั้งตระหง่านอยู่บนบ่าถึงสามหัว เทพเจ้าร่างยักษ์ที่มีหกแขนปรากฏตัวขึ้น ถือเปลวไฟไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะขับเพลิงบรรลัยกัลป์ที่โหมแรงยิ่งกว่าเทพแห่งไฟ ตบมันเข้าไปยังร่างของไป๋ชิวหรานจากด้านหลัง
ตูม!
แรงระเบิดปะทุขึ้นรอบหนึ่งด้วยพลังงานความร้อนสูงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับเป็นพระอาทิตย์ดวงเล็กที่ส่องแสงสว่างอยู่กลางอากาศ คลื่นความร้อนอันรุนแรงโหมพัดผ่านไปทั่วบริเวณ กองทัพเทพที่ปักหลักอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนมากไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันเวลา ต่างถูกเผาจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ฝั่งกองทัพสวรรค์ประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ทว่าท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น จ้งหลีผู้เป็นคนกระทำการเคลื่อนไหวดังกล่าว มองไปยังแขนทั้งหกข้างของตนเองด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“นั่นอะไรกัน…”
“ช่างประจวบเหมาะเสียจริง?”
ลำคอของไป๋ชิวหรานพลันบิดเบี้ยวกลับด้านอย่างน่าหวาดกลัวยิ่ง ขณะที่หันไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางอันไร้ซึ่งความแยแส
“สามหัวหกแขนงั้นรึ? ข้าก็ทำได้เช่นกัน”
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยพลังปราณภายใน ผนวกกับเปลวไฟที่ให้ความร้อนอย่างมหาศาลที่จ้งหลีขับออกมา ก่อรวมเข้าโดยตรงกับขั้นวิญญาณแท้จริงของไป๋ชิวหราน เวลานี้ จ้งหลีเพิ่งจะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรกันแน่ที่กำลังบีบแขนของเขาอยู่
เสื้อผ้าของไป๋ชิวหรานปริแยกกระจายออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่บริเวณหลังจะปรากฏแขนพิเศษงอกออกมาเพิ่มขึ้นอีกหกแขนเช่นเดียวกันกับฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะใช้แขนเหล่านั้นคว้าจับแขนของอีกฝ่ายไว้
กร๊อบ!
ฝ่ามือของไป๋ชิวหรานกระชับแน่นเข้ากับแขนของจ้งหลี เขากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพราะแขนทั้งหกข้างถูกชายหนุ่มบดขยี้ ไม่นานโลหิตเริ่มไหลทะลักออกมา
“ฝ่าบาท!”
เทพเจ้าอีกสององค์ทั้งกังเฟิงและชานเยว่รีบพุ่งตรงเข้าโจมตีไป๋ชิวหราน เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชายหนุ่มจึงโยนร่างของจ้งหลีที่สิ้นฤทธิ์แล้วออกไป จากนั้นยกกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นกระชับไว้ในมือ
แสงเย็นเยียบจากกระบี่กวัดแกว่งไปมา จากนั้นเทพเจ้ายักษ์ทั้งสอง กังเฟิง และชานเยว่ถูกฟาดฟันผ่าร่างจนกระเด็นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เศษชิ้นเนื้อจะร่วงลงกระแทกสู่พื้นดิน
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มเดินย้อนกลับไปทางจ้งหลี
“อย่าสังหารข้า… โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
จ้งหลีพยายามอย่างยิ่งที่จะยกแขนทั้งหกที่ถูกหักบิดกระดูกจนโชกไปด้วยโลหิต เพื่อคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ชิวหราน
“แม่ทัพไป๋ ข้ามีศักดิ์เป็นหลานชายของภรรยาท่าน!”
ไป๋ชิวหรานหรี่ตามองเขา ก่อนจะกล่าวตอบ
“ที่แท้เจ้าก็คือเทพอัคคี ผู้สืบเชื้อสายมาจากจักรพรรดิเหยียน ข้าจดจำชื่อของเจ้าได้… จู้หรงใช่หรือไม่?”
“ใช่”
จ้งหลีฝืนเผยรอยยิ้มอันแสนประจบสอพลอบนใบหน้า พร้อมพยักหน้ารับถี่รัวด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“เป็นข้าเอง…”
นั่นถือเป็นการแสดงออกครั้งสุดท้ายของเขาก่อนที่เขาจะสิ้นชีพลง
“ข้าเคยได้ยินมาจากหลานเอ๋อร์ ว่าในโลกนี้หลงเหลือนางเพียงผู้เดียวที่สืบทอดเชื้อสายของจักรพรรดิเหยียน”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้น มองดูอีกฝ่ายที่จิตวิญญาณจวนจะหลุดลอยออกจากร่างอยู่รอมร่อ พร้อมกล่าวเสียงเบา
“ขอโทษด้วย เนื่องจากเจ้าทรยศต่อสายเลือด ซ้ำยังยอมจำนนต่อจักรพรรดิตะวันออก ดังนั้นจึงไม่นับเจ้าเป็นผู้สืบสกุลของจักรพรรดิเหยียนอีกต่อไป”