ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 206 แล้วพบกันใหม่
บทที่ 206 แล้วพบกันใหม่
“ต่อให้จะอยู่ยงคงกระพันเพียงใด เจ้าก็ไม่ใช่ศัตรูของห้วงแห่งกาลเวลา”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีวางระฆังขนาดใหญ่ที่เขาถืออยู่ มองไปยังไป๋ชิวหรานที่นิ่งค้างอยู่ท่ามกลางโลกสีเทา ก่อนจะกล่าวกับตนเองต่อไป
“พลังเช่นนี้ สามารถดึงดูดผู้ใดก็ตามเข้าสู่แม่น้ำแห่งกาลเวลา แม้แต่วิถีแห่งสวรรค์ยังไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ตามใจชอบ”
ขณะถือระฆังเดินเข้าไปใกล้ร่างของไป๋ชิวหรานทีละก้าว ฝ่ามือว่างเปล่าอีกข้างหนึ่งของเขาเริ่มระดมพลังศักดิ์สิทธิ์อันน่าสะพรึงกลัวจากภายในร่างกาย
แสงสีทองสว่างจ้า รวมถึงแสงสว่างจากดวงดาวเลื่อนเข้ามาบรรจบกันบนฝ่ามือของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีวงโคจรของกลุ่มดาวขนาดเล็กรวมตัวกันอยู่ในฝ่ามือ
“แม่ทัพไป๋ ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งยิ่งนัก หากแกนกลางของดวงดาวถูกจุดชนวนขึ้นภายในกะโหลกศีรษะของเจ้า ข้าใคร่รู้เหลือเกินว่าจะทนทานต่อได้มากน้อยเพียงใด”
จากนั้นเขาผลักมันออกไปด้วยฝ่ามือเดียว ฝ่ามือเริ่มขยายขนาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ส่งพลังออกไปเป็นครั้งแรก ฝ่ามือนั้นมีขนาดเท่ากับเทพเจ้าสามัญเท่านั้น แต่เมื่อเคลื่อนไปจนเกือบถึงบริเวณศีรษะของไป๋ชิวหราน ฝ่ามือนั้นกลับใหญ่โตเสียยิ่งกว่าแนวเทือกเขาในโลกมนุษย์!
แกนกลางของดวงดาวที่เต็มไปด้วยพลังงานเดือดพล่านพลันทวีพุ่งสูงขึ้นจากการขยายตัวของฝ่ามือ เมื่อเห็นว่าแกนกลางดวงดาวกำลังจะกดเข้าไปในศีรษะของไป๋ชิวหรานผ่านทางเบ้าตา และควรจะถูกกักขังให้ติดอยู่ภายในโลกสีเทาไปชั่วนิรันดร์ แต่ไป๋ชิวหรานกลับมาอยู่ตรงกลางกลับขยับเคลื่อนไหวเสียแล้ว
ตรงกันข้าม จักรพรรดิตะวันออกไท่อีกลับไม่สามารถตอบสนองหรือเคลื่อนไหวใด ๆ ได้อีกต่อไป ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือออกไปเพื่อคว้าฝ่ามือของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีเอาไว้ ขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งกระชับด้ามกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าในมือไว้แน่น ก่อนจะออกแรงจ้วงแทงต่อไป แสงกระบี่สีน้ำเงินพลันส่องประกายเจิดจ้า ปลายกระบี่คมกริบแทงทะลุผ่านศีรษะของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี!
ฉับพลัน จักรพรรดิตะวันออกไท่อีรู้สึกว่าปลายกระบี่คมกริบทั้งยังเย็นเฉียบ ทิ่มแทงเข้าไปกลางส่วนสมองผ่านบริเวณระหว่างคิ้ว… ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตามมาทำให้ต้องกรีดร้องโหยหวนดังลั่น
“อ๊ากกกกก!”
เขาจับบาดแผลที่มีโลหิตทะลักล้นออกมาจากหน้าผากตนเองไว้ ก่อนจะเอนกายไปด้านหลังอย่างสิ้นท่า ทว่ามืออีกข้างของไป๋ชิวหรานกลับเอื้อมไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้แน่น
ชายผู้นี้สามารถเอาชนะห้วงแห่งกาลเวลาได้อย่างไรกัน?
ในเมื่อไม่สามารถสลัดให้หลุดพ้นได้ จักรพรรดิตะวันออกจึงทำได้เพียงตัดแขนตนเองในข้างที่ไป๋ชิวหรานกำลังจับคว้าไว้ด้วยมือเดียวทิ้งไป
ขณะเดียวกัน บาดแผลกลางหน้าผากและบริเวณฝ่ามือเริ่มสมานเข้าด้วยกันจนมีสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว แขนข้างที่ตัดทิ้งไปพลันสร้างกระดูกและเลือดเนื้อห่อหุ้มไว้ด้วยตัวของมันเอง ฝ่ามือใหม่งอกเงยขึ้นจากส่วนที่ตัดทิ้งไปเมื่อครู่
“ฝ่าบาท ความสามารถในการเยียวยาร่างกายของท่านช่างรวดเร็วนัก”
ไป๋ชิวหรานโยนฝ่ามือที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีตัดทิ้งลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง ก่อนจะเหาะทะยานติดตามจักรพรรดิตะวันออกไท่อีไปอย่างไม่ลดละ
“สิ่งนี้คือฐานะทางปุโรหิตของท่านเช่นกันงั้นหรือ? หรือฉกฉวยมาจากเทพเจ้าองค์อื่นด้วยวิธีการอันไม่ชอบธรรมกันแน่?”
ห้วงแห่งกาลเวลาที่กำลังกดขี่ข่มเหงร่างกายของเขารุนแรงยิ่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับแรงกดดันที่วิถีสวรรค์สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นให้อยู่ภายใต้แม่น้ำแห่งกระแสเวลาแล้ว การปิดกั้นที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีสร้างขึ้นในขณะนี้… นั่นถือเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับชายหนุ่มที่จะเอาตัวรอด
อย่างไรก็ตาม ความเร็วของไป๋ชิวหรานยังได้รับผลกระทบจนเชื่องช้าลงในระดับหนึ่ง ภายในความแตกต่างเชิงเวลาและพื้นที่ แม้ว่าอุโมงค์อวกาศจะถูกเปิดออก ทว่าไม่สามารถใช้วิธีเคลื่อนย้ายมวลสารได้อย่างรวดเร็ว ทำได้เพียงค่อย ๆ ผลักกระแสกาลเวลาออกไปพร้อมกับติดตามจักรพรรดิตะวันออกไท่อี
“อย่าตามข้ามานะ! ไอ้คนทรยศ!”
จักรพรรดิตะวันออกเคลื่อนร่างกายของตนขึ้นสูง ก่อนจะโบกมือเรียกหมอกพิษขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ไป๋ชิวหรานคุ้นเคยกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุเต็มแน่นอยู่ภายในหมอกพิษดังกล่าว เห็นได้ชัดว่าฐานะทางปุโรหิตนี้เคยเป็นของท่านปู่ของเจียงหลาน
ไป๋ชิวหรานแค่นเสียงหัวเราะเยาะ ดูดเอาหมอกพิษที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีปลดปล่อยออกมา ก่อนจะพ่นกลับไปพร้อมกับน้ำลายที่เจือปนอยู่ด้วย
ขั้นวิญญาณแท้จริงของไป๋ชิวหรานปะปนอยู่ในน้ำลายที่พ่นออกไป ทำให้สามารถทำลายโซ่ตรวนของห้วงแห่งกาลเวลาที่คอยฉุดรั้งไว้ได้สำเร็จ ก่อนจะเหาะไปประชิดตัวจักรพรรดิตะวันออกไท่อีได้ในเวลาอันสั้น
อีกฝ่ายเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยกแขนขึ้นเพื่อสกัดกั้น ทว่าน้ำลายที่เจือปนอยู่ในหมอกพิษที่ไป๋ชิวหรานสูดเข้าไปและพ่นออกมาอีกครั้ง สาดกระเซ็นกระทบกับแขนเสื้อกว้างของเสื้อคลุมมังกรที่จักรพรรดิตะวันออกไท่อีสวมใส่ กระทั่งมันเริ่มสึกกร่อน พิษกัดเซาะแขนเสื้อเข้าไปยังด้านในอันเป็นกายเนื้อของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีทันที หนำซ้ำแขนของเขายังเริ่มสึกกร่อนกินเข้าไปถึงกระดูก
“บัดซบ! เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดประเภทใดกันแน่?!”
เมื่อถูกผลักดันจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันสิ้นหวัง จักรพรรดิตะวันออกไท่อีจึงไม่ใส่ใจที่จะรักษาภาพลักษณ์ของผู้ปกครองสูงสุดแห่งห้าทิศเก้าหน่วยสวรรค์อีกต่อไป ในเวลานั้นเขาตะคอกใส่ไป๋ชิวหรานด้วยความโกรธเคือง
“วิถีสวรรค์ส่งเจ้าให้มาทำลายข้าหรืออย่างไร?!”
ไป๋ชิวหรานเกียจคร้านเกินกว่าจะตอบคำของอีกฝ่าย เขาค่อย ๆ เคลื่อนกายเข้าไปใกล้
ขณะเหาะเหินอยู่นั้น ชายหนุ่มทำการถอนแขนพิเศษหลายสิบข้างที่งอกเงยออกมาจากด้านหลัง ผ่านการเรียกใช้เคล็ดวิชาหลอมสร้างกาย เพื่อจดจ่อพลังทั้งหมดไปยังการควบแน่นของปราณกระบี่
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีไม่รู้ว่าตนควรเสาะหาพลังอำนาจจากไหนอีก เพราะทุ่มเทพลังศักดิ์สิทธิ์ไปที่การเยียวยาร่างกายของตนเองทั้งหมดแล้ว หากต้องการสังหารไป๋ชิวหราน เขาจำเป็นต้องทำลายทั้งร่างกายกับจิตวิญญาณของตนเองในทันที และจะไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดอีก
“ไอ้คนทรยศ!”
จักรพรรดิตะวันออกไท่อีถูกไป๋ชิวหรานบีบบังคับให้ลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปยังเหนือท้องฟ้า จนทำให้ไม่มีทางหลบหนีอื่นอีก เขาจำใจขบกรามแน่น ก่อนจะยกระฆังจักรพรรดิตะวันออกในมือขึ้นสูง
“กระหายใคร่สังหารข้ามากนักรึ? ดี! ต่อให้ข้าตายตกไป เจ้าก็ไม่มีวันได้ทำเช่นนั้น!”
เขารวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดจากภายในร่างกาย พร้อมกับรวบรวมพลังอำนาจจากสวรรค์และท้องฟ้าเข้าไปในระฆังจักรพรรดิตะวันออก ก่อนที่ระฆังสีทองอร่ามจะปลดปล่อยแสงสีทองสว่างเจิดจ้าออกมาทันที พร้อมกับเปล่งสั่นสะเทือนทุ้มต่ำทรงพลัง
เคร้ง… เคร้ง… เคร้ง!
เสียงสั่นของระฆังที่เขาคุ้นเคยดังขึ้น ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ากาลเวลาและพื้นที่โดยรอบเริ่มบิดเบี้ยวไปจากเดิมเล็กน้อย
ชายหนุ่มยกกระบี่ขึ้นสูง กระบี่ปลดปล่อยพลังปราณมหาศาลออกมา ก่อนที่เขาจะจ้วงแทงออกไป!
สายรุ้งสีขาวโพลนพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า ขณะเดียวกันจักรพรรดิตะวันออกไท่อียกระฆังใบใหญ่ขึ้นสูงเช่นเดียวกัน
“สั่งเสียบรรดาคนที่เจ้ารักว่าตนเองกำลังจะจากไปตลอดกาลเสีย! ไอ้คนทรยศ!”
ระฆังจักรพรรดิตะวันออกเปล่งเสียงจากการสั่นสะเทือนก้องดังกังวานที่สุดเท่าที่เคยเป็น กาลเวลากับพื้นที่พลันสับสนวุ่นวาย พื้นที่ในปัจจุบันถูกฉีกแยกออกเป็นชิ้น ๆ จนเกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ จากนั้นไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนต่างถูกมันกลืนกินเข้าไป
ขณะเดียวกันนั้น ปราณกระบี่ของไป๋ชิวหรานพุ่งแทรกมาถึงร่างกายของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีแล้วเช่นกัน ปราณกระบี่ดังกล่าวแทงทะลุผ่านระฆังจักรพรรดิตะวันออกไปเจาะผ่านจนเกิดเป็นหลุมลึกขึ้นกึ่งกลางของอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ ก่อนจะทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีอย่างบ้าคลั่ง!
“ครืน…”
ปราณกระบี่ที่ทิ่มแทงทะลุกึ่งกลางจุดสำคัญของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีพลันแผ่ขยายออกกว้าง ด้วยปราณกระบี่นี้ พายุที่โหมอย่างบ้าคลั่งรุนแรงของปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นโดยฉับพลัน ฉีกร่างกายจักรพรรดิตะวันออกไท่อีออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาหลุดลอยออกจากร่างตนเองในทันที แปรเปลี่ยนกลายเป็นกระแสน้ำอันมหาศาลที่สาดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง กาลเวลาที่หยุดนิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิมเพราะไร้ผู้ควบคุม ทั้งโลกได้เห็นการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่โดยทั่วกัน
จุดสีทองปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พลังศักดิ์สิทธิ์และฐานะปุโรหิตนับไม่ถ้วนที่จักรพรรดิตะวันออกเคยแย่งชิงมากลายเป็นดาวตกไร้ค่า จากนั้นจึงค่อย ๆ ลัดเลาะไปตามวิถีการโคจรตามครรลองในห้วงอวกาศ ผ่านไปเพียงไม่นานฐานะทางปุโรหิตเหล่านั้นที่เคยได้มาด้วยวิธีการอันไม่ชอบธรรมสูญสลายไปจนหมดสิ้น บ้างก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ โดยปราณกระบี่ของไป๋ชิวหรานและกลายเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
เหล่าทวยเทพที่ยังปักหลักซ่อนอยู่ในปราสาทสวรรค์ ต่างตกตะลึงระคนสับสน
ภายในหุบเขา เสียงอสนีบาตแห่งภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์ครั้งสุดท้ายได้ฟาดผ่าลงมาทำลายหุบเขาทั้งหมดจนแหลกลาญออกเป็นเสี่ยง ๆ การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่นั้นกินพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับหุบเขาทั้งหมด จากนั้นกลุ่มเมฆพายุฝนฟ้าคะนองจึงสลายไปอย่างเชื่องช้า
ไม่กี่อึดใจต่อมา ภายใต้ซากปรักหักพังของหุบเขาที่มีฝุ่นควันตลบคลุ้งไปทั่ว ชายผู้หนึ่งที่มีรอยฟกช้ำอยู่ทั่วร่างกาย เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและเลือดที่ไหลซึมออกมาจากผิวหนังปีนขึ้นมาจากซากพวกนั้นได้สำเร็จ
เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนพิงกระบี่ด้วยความเหนื่อยอ่อน สายตามองไปยังจุดแสงขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ก่อนจะคุกเข่าลงตรงนั้นเพื่อโขกศีรษะคำนับถึงสามครั้ง
เหนือยอดไม้ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง ซีเหอ อีกาสามขา และเจียงหลานต่างมองเห็นมวลพลังงานขนาดใหญ่บนท้องฟ้าที่ปะทุขึ้นเมื่อจักรพรรดิตะวันออกไท่อีถูกสังหารจนสิ้นชีพเช่นเดียวกัน มารดาแห่งดวงอาทิตย์และเทพดวงอาทิตย์รู้สึกตกตะลึงยิ่งนัก ขณะที่เจียงหลานได้แต่เช็ดหยดน้ำใสจากบริเวณมุมตาของตนเอง พร้อมกล่าวกระซิบกับตนเองเสียงแผ่วหวิว
“คนโง่ แล้วพบกันใหม่”