ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 207 บางทีระบบยมโลกของเจ้าอาจรวนแล้วกระมัง
บทที่ 207 บางทีระบบยมโลกของเจ้าอาจรวนแล้วกระมัง?
หลังจากที่ไป๋ชิวหรานและจักรพรรดิตะวันออกไท่อีหายตัวไปจากโลกนี้ เจียงหลานยังคงอาศัยอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางตามคำกำชับของไป๋ชิวหรานก่อนที่เขาจะจากไป นางร้องขอให้อีกาสามขาและมารดาแห่งดวงอาทิตย์ช่วยแผ่แสงสว่างสดใสของดวงอาทิตย์ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนเกาะขนาดเล็กใต้รากของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขากลายร่างไปเป็นสัตว์อสูรต่างเผ่าพันธุ์ในอนาคต
ส่วนภายในปราสาทสวรรค์ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ปราสาทสวรรค์ก็ถูกปกครองโดยผู้ดูแลทั้งสองที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน คือลู่อู๋กับอิงเจา เทพเจ้าทั้งสองเลือกบุตรชายคนหนึ่งให้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่ ส่วนพระสนมหวงหลงจะอาศัยอยู่หลังม่านแขวน และได้รับการปรนนิบัติอย่างดีตามสมควร รักษาการณ์ระบอบการปกครองที่สั่นคลอนของปราสาทสวรรค์เป็นการชั่วคราว
ทว่าหลังจากเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เช่นจักรพรรดิตะวันออกไท่อีสิ้นพระชนม์ ปราสาทสวรรค์ก็ไม่สามารถรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเช่นครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการสิ้นพระชนม์ของจู้หรง จักรพรรดิแห่งทิศใต้ จักรพรรดิอีกสามคนที่เหลือต่างก็พยายามยึดครองดินแดนและทรัพย์สินที่เขาทิ้งไว้ วางอุบายซึ่งกันและกัน ฝ่าฝืนคำสั่งของจักรวรรดิสวรรค์ เทพเจ้าแห่งเก้าหน่วยสวรรค์ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นใหม่ ก็อ่อนแอเกินกว่าจะรักษาอำนาจโดยรวมของจักรวรรดิสวรรค์ไว้ได้
การต่อสู้กันเองของเผ่าเทพบนสวรรค์ ทำให้เทพทั้งสามองค์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางได้รับความสงบสุข ทั้งยังมีเวลาสำหรับการที่เผ่ามนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่น ๆ บนโลกจะเกิดการบ่มเพาะจนแข็งแกร่งขึ้นตามเจตจำนงของไป๋ชิวหราน ส่วนไป๋ลี่รับหน้าที่ส่งต่อเจตนารมณ์อันกล้าแกร่งถ่ายทอดไปยังมวลมนุษยชาติ
จากการที่ได้พบกับไป๋ชิวหรานผู้เป็นอาจารย์บนเนินเขา ไป๋ลี่จึงจัดวาง ‘ภูเขา’ และ ‘มนุษย์’ ให้อาศัยอยู่เคียงข้างกัน ทั้งยังสร้างชื่อขึ้นใหม่ว่า ‘เซียน’ เพื่อเรียกขานแทนตัวไป๋ชิวหรานผู้เป็นอาจารย์ ส่วนตัวเขาเองถูกผู้คนเรียกขานว่าบรรพชนเซียน และเป็นจักรพรรดิเซียนในเวลาต่อมา
หลังจากกาลเวลาผันผ่านไปเกินกว่าจะนับได้อย่างแม่นยำ ไป๋ลี่เติบใหญ่จนกลายเป็นผู้นำของเผ่ามนุษย์ เขาได้พาเจ้าลิงซึ่งบัดนี้กลายเป็นบรรพชนแห่งเผ่าอสูรมายังต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง เพื่อขอพบเจียงหลาน
“ฮูหยินขอรับ ในไม่ช้านี้ ผองเราพร้อมแล้วที่จะเริ่มสงครามกับเผ่าทวยเทพอย่างเป็นทางการ”
ไป๋ลี่ยังคงมีรูปลักษณ์ภายนอกนอบน้อมสุภาพเช่นในอดีต ทว่าตอนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฐานะมั่นคง ทั้งยังแบกรับความรับผิดชอบไว้อย่างมหาศาล เขาโค้งคำนับเจียงหลาน ก่อนจะยื่นจี้หยกซึ่งสลักคำว่า ‘ลี่’ ลงในฝ่ามือของนาง
“เหตุการณ์ต่อจากนี้ล้วนเต็มไปด้วยภยันตรายที่ไม่อาจคาดเดา หากลี่ตายตกไปแล้ว โปรดส่งมอบจี้หยกนี้ให้กับท่านอาจารย์หากได้พบกับเขาในอนาคต โปรดแจ้งว่าไป๋ลี่ไม่คู่ควรกับคำสั่งสอนของเขา ทว่าหากลี่ยังมีชีวิตอยู่… วานท่านโปรดมอบจี้หยกนี้ให้กับท่านอาจารย์เช่นกัน เพื่อเป็นสิ่งแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ให้เขาใช้จี้หยกนี้เป็นสิ่งรับรองเพื่อค้นหาไป๋ลี่ แล้วไป๋ลี่จะตอบแทนพระคุณยิ่งใหญ่ของท่านอาจารย์ด้วยสุดกำลังแรงกายที่มี”
“ได้สิ”
เจียงหลานที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์และกลายเป็นเซียนเช่นกัน ยอมรับจี้หยกของไป๋ลี่ไว้และยังคงอาศัยอยู่ในฝูซางเช่นเดิม
จากนั้นความแปรปรวนครั้งยิ่งใหญ่ของช่วงชีวิตก็ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ถึงกาลแห่งการสิ้นสุดของยุคเผ่าเทพ เหล่าทวยเทพล่มสลายซึ่งนำไปสู่การเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่
…
หลังจากข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา ไป๋ชิวหรานและจื้อเซียนก็ถูกโยนออกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาและร่วงตกลงสู่โลกในยุคสมัยปัจจุบัน
เดิมทีแม้ว่าจักรพรรดิตะวันออกไท่อีจะรวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่มี ผสานกับความแข็งแกร่งของเขา ทว่านั่นยังไม่เพียงพอที่จะส่งไป๋ชิวหรานกับจื้อเซียนกลับมาสู่ยุคเดิม ไป๋ชิวหรานคิดว่าสิ่งนี้อาจก่อให้เกิดประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนและผิดพลาดสืบมานับพันหรือหลายร้อยปี ทว่าเวลานั้นเมื่อพลังงานสำรองของจักรพรรดิตะวันออกไท่อีกำลังจะดับสูญ เจตจำนงแห่งวิถีสวรรค์พลันปรากฏขึ้นโดยตรงในแม่น้ำแห่งกาลเวลา เพิ่มเชื้อเพลิงให้กับพลังอำนาจดังกล่าว แล้วส่งทั้งสองกลับคืนสู่ยุคสมัยเดิม
ทั้งสองกลับไปสู่โลกปัจจุบันในที่สุด ไป๋ชิวหรานพบว่าตนเองและจื้อเซียนกำลังยืนหยัดอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่แตกระแหงออกเป็นเสี่ยงภายในสุสานเหล่าทวยเทพ
ดวงดาวที่เคยเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้าแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เช่นกัน ก่อนจะกลายเป็นก้อนหินขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ลอยล่องอยู่เหนือท้องฟ้านี้อย่างไร้จุดมุ่งหมาย เหนือบริเวณด้านบนสุดของท้องฟ้า ระฆังจักรพรรดิตะวันออกที่เคยอยู่ในสภาพสมบูรณ์กระจัดกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดแน่ หากเป็นเพราะการกระทำของไป๋ชิวหราน ก็เป็นเพราะมันถูกทำลายโดยปราณกระบี่ที่เขาปลดปล่อยออกไปก่อนที่จะถูกเนรเทศห้วงเวลา หรืออาจถูกทำลายเพราะดูดซับพลังงานมากเกินไปจนไม่สามารถทานทนได้
“ผ่านมานานเพียงใดกัน…”
ไป๋ชิวหรานกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความว่างเปล่า พยายามมองหาทางช้างเผือกในอดีตกาล
“ไม่อาจล่วงรู้ ดูจากลักษณะดังกล่าวแล้ว… คงเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เรามาถึงสุสานเหล่าทวยเทพกระมัง”
จื้อเซียนตอบกลับ
“อาจคลาดเคลื่อนไปจากเดิมด้วยประการบางอย่าง แต่ข้าคาดเดาว่าอย่างมากที่สุดไม่ควรเกินห้าสิบปี”
ไป๋ชิวหรานพบเรือลำเล็กที่พวกเขาเคยพายเข้ามาหยุดอยู่กลางทางช้างเผือก จากนั้นจึงหันหลังกลับอุ้มหัวกะโหลกจื้อเซียนขึ้นไปบนนั้น แล้วพายเรือกลับไปยังทิศทางที่แล่นเข้ามา
ขณะที่มาถึงสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ร่างกายของเขาก็ไม่มีพละกำลังเหลือเฟือ ดังนั้นจึงทำได้เพียงขอให้หลีจิ่นเหยาเป็นผู้พายเรือแทน ทว่าตอนนี้ที่กลับมา เขาสามารถพายเรือได้ด้วยพละกำลังของตนเอง อาจกล่าวได้ว่าอย่างน้อยการเข้ามาในครั้งนี้ก็ไม่เสียเปล่า
โชคดีที่ทางช้างเผือกไม่ถูกทำลายลงเพราะการต่อสู้ระหว่างเขากับเทพเจ้ายักษ์แห่งทางช้างเผือก ไป๋ชิวหรานจึงประสบความสำเร็จในการพายเรือทวนกระแสกลับไปยังลำธารสายก่อนหน้า จนมาถึงบริเวณนอกสุสานเหล่าทวยเทพ ณ ใจกลางของถิ่นทุรกันดารกลางป่า
ทันทีที่ออกจากถ้ำ ไป๋ชิวหรานพลันเหลือบไปเห็นจมูกขนาดใหญ่บนท้องฟ้าต่อหน้าต่อตา มันกำลังขยับสูดดมอากาศรอบหุบเขา ทำให้เขาตื่นตกใจยิ่งเสียจนแทบปาไม้พายออกไป
หลังจากเขาออกมาได้แล้ว จมูกใหญ่นั้นดูเหมือนจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง จู่ ๆ มันก็ลุกพรวดขึ้น ไป๋ชิวหรานจึงมองเห็นลักษณะได้อย่างชัดเจน มันเป็นอสูรร่างยักษ์ที่มีความสูงกว่าหลายร้อยจั้ง มีจมูกปกคลุมทั่วร่าง
ทว่าปากของอสูรยักษ์ตนนี้กลับอยู่เหนือหน้าท้องเสมือนกระเป๋าใบใหญ่ หลังจากได้กลิ่นของไป๋ชิวหราน มันส่งเสียงคำรามลั่น ทันใดนั้นเจ้าอสูรยักษ์หลายตนที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไปปรากฏขึ้นล้อมรอบหุบเขาใกล้เคียงไว้ทั้งหมด!
“เฮ้ พวก”
ไป๋ชิวหรานวางไม้พายลงแล้วไปยืนอยู่บนหัวเรือ ก่อนจะกล่าวกับอสูรยักษ์เหล่านั้น
“อย่าเสียแรงเปล่าไปเลยน่า”
อึดใจเดียวต่อมา ซากศพของอสูรยักษ์เหล่านั้นพลันร่วงลงเป็นแนววงกลมรอบหุบเขาในพริบตา!
ไป๋ชิวหรานเช็ดเลือดอสูรบนฝ่ามือตนเองออก ก่อนจะผูกเรือไม้เข้ากับหลักไม้ที่อยู่ในตำแหน่งเดิม
“อสูรยักษ์เหล่านี้ดูคล้ายคลึงกับพวกเทพเจ้าเล็กน้อย”
กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าเหาะทะยานขึ้นสู่เวหา เดินทางออกจากหุบเขา เหาะเหินตรงไปยังทิศทางของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ระหว่างทางไป๋ชิวหรานที่เหยียบยืนอยู่บนกระบี่บินได้พูดคุยกับจื้อเซียน
“ข้าสงสัยว่าพวกมันถูกเทพเจ้าสร้างขึ้นมาหรือไม่”
“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ทว่ามีสติปัญญา เกรงว่าอาจเป็นปีศาจที่เทพเจ้าสร้างขึ้นในช่วงหลังของสงคราม”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน กระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าได้พาพวกเขาเหาะข้ามแม่น้ำสลายวิญญาณ ขณะยืนอยู่เหนือแม่น้ำแห่งนี้ ไป๋ชิวหรานลดสายตามองลงไป และพบว่าแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวนี้ช่างคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก
“หยุดมองเถอะ”
จื้อเซียนกล่าว
“เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่น้ำสายนี้เป็นชิ้นส่วนของทางช้างเผือก… ที่เจ้าฉีกกระชากทิ้งลงมาในตอนนั้นหรือไม่?”
“ข้าจำได้ว่ามันเคยมีมังกร เต่าทมิฬ และสัตว์อื่น ๆ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยพึมพำขณะเหาะข้ามผ่าน
“ทว่าสัตว์ในแม่น้ำสายนี้มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดขึ้นกว่าเดิมมากนัก… เผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของพวกมันหายไปไหนหมด?”
“ไม่อาจล่วงรู้ บางทีอาจถูกย้ายไปอาศัยอยู่ในอีกโลกหนึ่ง หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นได้”
ทั้งสองเหาะข้ามแม่น้ำสลายวิญญาณ ทันใดนั้นไป๋ชิวหรานก็มองเห็นเงาร่างสีขาวคดเคี้ยวที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ถัดจากแม่น้ำสลายวิญญาณ
ขณะที่ชายหนุ่มเหาะเข้าไปใกล้ เงาร่างสีขาวค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ที่แท้ก็เป็นเชวียหลิงผู้มีใบหน้าเย็นชาตลอดกาลกำลังโบกมือให้เขา
ไป๋ชิวหรานหยุดการเหาะเหินด้วยความสงสัย ก่อนจะร่อนกระบี่ลงด้านข้างเชวียหลิง แล้วเอ่ยถามเขาว่า
“อะไรกัน? เจ้ามาดักรอพบข้าด้วยเหตุใด?”
“อืม”
เชวียหลิงพยักหน้า หยิบสมุดเล่มเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วเปิดออก จากนั้นชี้ไปยังหน้าแรกของสมุดเล่มนั้น และถามไป๋ชิวหรานกลับ
“ข้าควรถามไถ่เจ้ามากกว่า… ว่าทำสิ่งใดลงไปกันแน่?”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นมองตามหน้ากระดาษนั้น พบว่ามีรายชื่อของเขาถูกเขียนอยู่ ทว่ารายละเอียดในด้านอายุขัยกลับกลายเป็นว่าติดลบเป็นเวลาสองปี
“เรื่องนี้… ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
ไป๋ชิวหรานหันหน้าไปพร้อมกล่าวว่า
“บางทีระบบยมโลกของเจ้าอาจจะผิดแปลกไปแล้วกระมัง?”