ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 208 เกือบเทียบเท่าขั้นสร้างรากฐาน!
บทที่ 208 เกือบเทียบเท่าขั้นสร้างรากฐาน!
“หึ ไป๋ชิวหราน อย่ามัวพูดจายอกย้อนกับข้าที่นี่”
เชวียหลิงโยนสมุดแห่งชีวิตและความตายทิ้งไป ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าต่อสู้กับข้าเรื่องนี้มานานกว่าสองพันปี เจ้ามีลูกเล่นแพรวพราวเช่นไร… มีหรือข้าจะไม่รู้? เจ้าต้องเกี่ยวข้องกับกลอุบายในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!”
ชายหนุ่มเพียงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมผิวปาก ไม่คิดตอบคำถามของเชวียหลิง
“เอาล่ะ ข้อผิดพลาดนี้อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในยมโลกของเรา”
เชวียหลิงพ่นลมอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหยิบกระดาษสีขาวอีกแผ่นหนึ่งที่มีการบันทึกสูตรการบวกลบไว้มากมาย
“แต่อย่าได้คิดว่ายมโลกจะเพิกเฉยต่อข้อมูลของเจ้า เพราะเมื่ออ้างอิงตามเวลาก่อนที่สมุดแห่งชีวิตและความตายจะถือกำเนิดขึ้น อายุขัยของเจ้าสิ้นสุดลงตั้งแต่บัดนั้นแล้ว!”
ไป๋ชิวหรานเลื่อนสายตาเข้าไปมองให้ชัดเจนขึ้น จากบันทึกข้างต้นแล้ว ความจริงแล้วอายุขัยของเขายังคงติดลบเป็นเวลาถึงสองปี
ก่อนหน้านี้ซูเซียงเสวี่ยเคยสรรหาโอสถอายุวัฒนะมาให้ได้ดื่มหนึ่งหม้อเป็นการชั่วคราวเพื่อผ่อนปรนอายุขัยลง ซึ่งตามจริงแล้วมันควรหมดฤทธิ์ลงเมื่อประมาณสองสามปีก่อนจริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่โอสถอายุวัฒนะที่ถูกปรุงขึ้นจะหมดประสิทธิภาพลง
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มอยากรีบกลับไปยังสำนักกระบี่ชิงหมิงมากกว่ามาต่อล้อต่อเถียงกับเชวียหลิงในดินแดนทุรกันดารแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า
“อันที่จริงเราสองคนมีมิตรภาพต่อกันยาวนานมาหลายปี…”
“ไม่มีมิตรภาพใดทั้งนั้น อย่าได้คิดจะใช้มันเป็นข้ออ้าง”
ทันทีที่ไป๋ชิวหรานอ้าปาก เชวียหลิงก็ล่วงรู้ลึกไปจนถึงลิ้นไก่ว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไร ดังนั้นจึงเอ่ยขัดจังหวะโดยทันที
“ก็ได้”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ที่จริงแล้วเจ้าคงไม่ทันล่วงรู้ การฝึกฝนในครั้งนี้ของข้าก้าวหน้าไปมากโข เวลานี้กลายเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นสร้างรากฐานแล้ว เจ้าต้องเพิ่มอายุขัยของข้าต่อไปอีกสองร้อยปีด้วยซ้ำ”
การบรรลุเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน นับเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ฝึกตนประการหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่อายุขัยของพวกเขาเหล่านั้นจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นสองถึงสามร้อยปี
“ขั้นการฝึกตนเพิ่มขึ้นงั้นรึ? เจ้าล้อเล่นกับกาลเวลาแห่งยมโลกหรืออย่างไร?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นเสียหน่อย?”
เมื่อเห็นว่าท่าทางการแสดงออกของไป๋ชิวหรานค่อนข้างจริงจัง เชวียหลิงจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า
“เอาล่ะ ต่อให้จะได้รับอายุขัยเพิ่มเติมเมื่อบรรลุขั้นสร้างรากฐาน เช่นนั้นต้องพิสูจน์ว่าตนเองบรรลุขั้นสร้างรากฐานจริงหรือไม่?”
เขาเหลือบมองไปที่ไป๋ชิวหรานด้วยไม่วายสงสัย
“ขั้นสร้างรากฐาน? เจ้าเนี่ยนะ?”
“อะไรกัน? เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?!”
ไป๋ชิวหรานตะเบ็งเสียงค้านดังลั่นทันที
“เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลาถึงเพียงนั้นเลยรึ?”
“ฮ่า ๆ”
แม้จะหัวเราะ แต่น้ำเสียงและท่าทีของเชวียหลิงยังคงเฉยเมย
“หมายความเช่นนั้นแหละ”
“หึ ดูสีหน้าหยิ่งยโสของเจ้าสิ”
ไป๋ชิวหรานพับแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะกล่าวต่อไป
“วันนี้ตาลุงเช่นข้าจะทุบใบหน้าของเจ้าให้หายเย็นชาเสียที รับชมให้ดี นี่คือขั้นวิญญาณแท้จริงของข้า!”
เขาร้องตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกางฝ่ามือออก ทันใดนั้นแสงสว่างวาบแห่งขั้นวิญญาณแท้จริงพลันไหลเวียนออกมารวมกันบนฝ่ามือนั้น
“อะไรกัน?”
เชวียหลิงมองไปที่ฝ่ามือของไป๋ชิวหรานด้วยความประหลาดใจยิ่ง
“ขั้นวิญญาณแท้จริงของจริงหรือนี่?”
“จะเป็นของปลอมได้อย่างไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานออกแรงตบฝ่ามือไปด้านข้าง ขั้นวิญญาณแท้จริงพลันควบแน่นกลายเป็นรอยประทับของฝ่ามือพร้อมกับเปล่งเสียงคำรามดังสนั่น ภูเขาขนาดใหญ่ด้านข้างระเบิดออกจนเกิดเสียงดังกึกก้องจากแรงกระทบกระเทือน บรรดาสัตว์ป่าวิ่งแตกรังลงมายังเชิงเขาราวประสบภัยพิบัติ บางส่วนถูกฝังอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังของภูเขาที่พังทลายลง!
สิ่งที่ไป๋ชิวหรานเรียกใช้ในเวลานี้คือขั้นวิญญาณแท้จริงที่มีความบริสุทธิ์ยิ่ง ถึงกระนั้นเชวียหลิงก็ยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบคันฉ่องออกมาจากแขนเสื้อพร้อมกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“มาเถอะ ให้ข้าตรวจสอบมหาสมุทรแห่งพลังปราณดูหน่อย”
“จะมาละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้าได้อย่างไรกัน!”
ไป๋ชิวหรานปฏิเสธไม่ทันขาดคำ ทว่าเชวียหลิงใช้คันฉ่องส่องทะลุไปยังมหาสมุทรแห่งพลังปราณของเขาเสียแล้ว จากมุมมองของเชวียหลิง มหาสมุทรแห่งพลังปราณที่กำลังเดือดปุดปรากฏขึ้นบนคันฉ่อง ทว่าครู่ต่อมา ไป๋ชิวหรานกลับเรียกขั้นวิญญาณแท้จริงออกมาปิดกั้นการตรวจสอบของเขา!
อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเชวียหลิงเฉียบคมและรวดเร็วยิ่งกว่า ในช่วงเวลาคับขัน เขาจึงยังคงเห็นสถานการณ์ภายในมหาสมุทรพลังปราณของไป๋ชิวหรานอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงกล่าวอย่างโกรธเคือง
“เจ้าเรียกสภาวะเช่นนี้ว่าบรรลุขั้นสร้างรากฐานแล้วงั้นรึ? เก้าจากสิบส่วนของมหาสมุทรพลังปราณล้วนเป็นเพียงพลังวิญญาณที่แท้จริง!”
“ข้าครอบครองขั้นวิญญาณแท้จริงหนึ่งในสิบส่วนยังไม่เพียงพออีกหรือ?”
ไป๋ชิวหรานถามกลับด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“มีมันในครอบครองเพียงหนึ่งส่วนก็เกือบเทียบเท่ากับขั้นสร้างฐานแล้ว!”
“หลักพื้นฐานของระดับขั้นการฝึกตนถือเป็นข้อตัดสินเอกฉันท์”
เชวียหลิงบ่นอุบ
“อย่างน้อยแปดในสิบของพลังปราณที่แท้จริงในมหาสมุทรแห่งพลังปราณยังนับเป็นส่วนที่มากกว่า เจ้าไม่สามารถปัดเศษขึ้นหรือนับว่าบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้อยู่ดี”
“เช่นนั้นข้าคงบรรลุอยู่ในขั้นเสมือนสร้างรากฐาน”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“นี่ ข้าไม่คิดเอาเปรียบเจ้าไปตลอดหรอกน่า ให้เวลาข้าต่อไปอีกยี่สิบปีเถิด”
เมื่อเห็นสายตาซื่อสัตย์ที่ประกอบกับคำกล่าวว่า ‘ข้าไม่คิดเอาเปรียบเจ้า’ ของเขา เชวียหลิงจึงหยุดพร่ำบ่นและเอ่ยถามกลับ
“ขั้นเสมือนสร้างรากฐานคืออะไร? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่อใดกันที่เกิดขั้นการฝึกตนคั่นกลางระหว่างขั้นกลั่นลมปราณไปยังขั้นสร้างรากฐาน?”
“ดูท่าทางเจ้าเล่ห์นั่นสิ ยังไม่วายคิดว่าข้าหลอกลวงอีกรึ”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ตราบใดที่มีขั้นการฝึกตนที่เป็นเสมือนภาพลวงตาระหว่างขั้นสร้างรากฐานไปสู่ขั้นขอบเขตแกนทองคำ แน่นอนว่ายังมีขั้นการฝึกตนเสมือนที่คั่นกลางระหว่างขั้นกลั่นลมปราณกับขั้นสร้างรากฐาน นั่นควรจะเป็นเรื่องปกติสามัญมิใช่หรอกหรือ?”
“เรื่องปกติสามัญของเจ้าเพียงผู้เดียวต่างหาก!”
เชวียหลิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ไม่ได้ ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าต้องให้คำอธิบายกับข้าอย่างละเอียด ต่อให้จะกินสิ่งที่สามารถเพิ่มอายุขัยต่อหน้า แต่ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังยมโลกให้จงได้!”
เมื่อเห็นว่าเชวียหลิงพาดวงวิญญาณชายอีกดวงหนึ่งจากไปแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ย่อมได้ ท่านยมทูตเชวีย ข้าแซ่ไป๋จะเชื้อเชิญเจ้าอีกครั้ง!”
…
ใช้เวลายาวนานพอสมควรในการโน้มน้าวจนกว่าเชวียหลิงจะยินยอมจากไปแต่โดยดี ไป๋ชิวหรานไม่สนใจพื้นที่ใกล้เคียงที่พังทลายคล้ายถูกสัตว์อสูรร่างยักษ์ทำลายลง เขาขึ้นเหยียบกระบี่บินแล้วออกเดินทางต่อไปสู่ทิศทางที่ตั้งของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
ข้าต้องเสาะหาโอสถอายุวัฒนะมาดื่มโดยเร็ว
ระหว่างเหาะทะยานอยู่นั้น เขาขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด
คราวนี้ไม่มีใครมารบกวนใจระหว่างทางอีก ไป๋ชิวหรานเหาะเหินไปจนถึงเมืองเสวียนเจี้ยน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาข้างล่างสำนักกระบี่ชิงหมิง
ปราการและกำแพงป้องกันบริเวณเชิงเขาของสำนักกระบี่ชิงหมิงยังคงมีเสถียรภาพ วิถีชีวิตของชาวเมืองที่อยู่ภายในเมืองเสวียนเจี้ยนด้านล่างสำนักยังคงสงบสุขดังเช่นครั้งก่อนหน้า
อย่างน้อยพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร ยังร่วมมือกันปกครองโลกแห่งผู้ฝึกตนอย่างสงบสุข ไม่คิดก่อสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่ามารขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างไร้ความคิด
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ ไป๋ชิวหรานพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวในจิตใจ เหตุผลหลักคือไม่ได้กลับไปยังสำนักมานานมากแล้ว เกรงว่าศิษย์สายตรงที่ไม่ทราบข่าวคราวเป็นตายร้ายดีของเขาจะร้องไห้โฮเมื่อเห็นว่าตนยังมีชีวิตอยู่
ไป๋ชิวหรานจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย คือไปเดินเล่นในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้หลังจากที่ห่างหายจากไปนานแทน
บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองเสวียนเจี้ยน เป็นกลุ่มชาวเจียงหูที่เบื่อหน่ายกับข้อพิพาทในดินแดนเดิมของตน พวกเขาเดินทางอพยพมายังที่แห่งนี้เมื่อประมาณสี่ร้อยหรือห้าร้อยปีก่อน ซ้ำยังได้รับอนุญาตจากสำนักกระบี่ชิงหมิงให้ตั้งถิ่นอาศัยอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา และยินยอมให้พวกเขาเป็นด่านหน้าปกป้องสำนักกระบี่ชิงหมิง
ดังนั้นเมืองนี้แทบทั้งเมือง จึงเกือบกล่าวได้ว่าถูกเขาสร้างขึ้นทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ไป๋ชิวหรานไม่ได้มาที่นี่หลายร้อยปีแล้ว สองสามครั้งแรกที่ลงมาจากยอดเขา ชายหนุ่มเพียงเดินทางผ่านไปอย่างเร่งรีบ ไม่มีเวลาแม้แต่จะมองเข้าไปให้ชัดเจน ทว่าตอนนี้เมื่อพิจารณาภาพรวมอย่างใกล้ชิด จึงพบว่าขนาดของเมืองนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ บ้านเรือนทั้งหลายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดด้วยการก่อสร้างที่พัฒนาตามยุคสมัย
“พี่ซวิน เหล่าเซียนบนยอดเขาลงมาขายตำราอีกแล้ว ข้าได้ยินมาว่าคราวนี้มี ‘ตำราสามครวญคราง’ ที่ท่านต้องการด้วย!”
ขณะทอดน่องเดินไปตามท้องถนน เด็กหนุ่มหลายคนวิ่งผ่านเขาไป พูดคุยพร้อมตะโกนถ้อยคำบางอย่างที่ฟังไม่ชัดเจน
“เหล่าเซียนบนยอดเขา?”
ไป๋ชิวหรานมองตามเด็กหนุ่มที่วิ่งข้ามหัวมุมถนนไป
เด็กหนุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิง ซึ่งเท่าที่รับรู้มา ผู้เดียวในสำนักกระบี่ชิงหมิงที่ชื่นชอบกระทำสิ่งของเช่นนี้เป็นงานอดิเรก ควรเป็นผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋น สตรีผู้นั้นฉากหน้ารับหน้าที่สั่งสอนให้ความรู้ ดูแลลูกศิษย์บนยอดเขา คอยชี้แนะเรื่องวัฒนธรรมและการศึกษา
ไป๋ชิวหรานเดินติดตามเด็กหนุ่มเหล่านั้นไป และเมื่อมาถึงสถานที่นั้น เขาพบว่ามีศิษย์หลายคนที่สวมเครื่องแบบบ่งบอกว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มาจากสำนักกระบี่ชิงหมิงกำลังมุงอยู่รอบร้านขายตำราริมถนน
ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปยังแผงตำรานั้น จ่ายเงินจำนวนไม่มากเพื่อซื้อสำเนาของตำราซานไห่จิงเพื่อนำกลับไปอ่าน เนื้อหาภายในควรเป็นตำนานต่าง ๆ ที่เขาเคยบันทึกรวบรวมไว้ในนามเทพเจ้า
ขณะพลิกอ่านตำราในมือ ไป๋ชิวหรานกลับส่ายหน้า
“เนื้อหาผิดพลาดและขาดหายไปมากมายนัก”
“พี่ชาย ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง”
ศิษย์แห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงได้ยินคำกล่าวของเขา ศิษย์ชายคนหนึ่งจึงเบิกตากว้างพร้อมกล่าวแก้ต่างทันควัน
“ตำราที่ถูกนำมาวางขายที่นี่ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วโดยผู้อาวุโสหกของเรา ดังนั้นจะเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างไรกัน? มาเถิด ช่วยชี้แจงให้ทราบทีว่ามีส่วนใดบ้างที่ผิดพลาดหรือขาดหายไป?”
โอ้ ผู้คลั่งไคล้ตัวยงของชิงอวิ๋นหรือนี่
ไป๋ชิวหรานไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์ชายคนดังกล่าวมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยผ่อนคลายและเป็นกันเอง สำหรับศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน นางจึงเป็นอาจารย์ผู้มีเมตตา ทั้งยังอ่อนโยนยิ่งนักประหนึ่งเป็นพี่สาวคนโต นอกจากนี้ยังมีผู้ที่นิยมชมชอบนางมากมายภายในสำนัก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศิษย์ชายคนนี้จะโกรธเคืองที่อาจารย์ของตนถูกสบประมาท ทว่าทัศนคติและการแสดงออกของเขายังสุภาพ ดูเหมือนว่าจะได้รับการสั่งสอนจากชิงอวิ๋นมาเป็นอย่างดี
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้ม ยังไม่ทันที่จะให้คำตอบแก่เขา ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นเพิ่งกลับเดินออกมาจากร้านค้าริมถนน
ทันทีที่นางเหลือบไปเห็นไป๋ชิวหราน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันชะงักแข็งค้างไปชั่วขณะ ส่วนไป๋ชิวหรานเองก็เหลือบไปเห็นนางพอดีเช่นกัน
“ท่านอาจารย์ลุง!”
หลังจากตกตะลึงนิ่งไปเป็นเวลาประมาณชั่วอึดใจ ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นพลันเดินปรี่เข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว และโค้งคำนับให้กับไป๋ชิวหราน ทำให้บรรดาศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงพลอยตื่นตระหนกไปด้วย
“ในที่สุดท่านอาจารย์ลุงก็กลับมาเสียที!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายหนุ่มผู้ถูกคำนับอย่างไม่ทันตั้งตัวตกอยู่ในภาวะสับสน
“เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถูกใครบางคนทุบตีจนตายแล้วงั้นรึ?”
“ไม่ใช่ศิษย์พี่เจ้าสำนักเจ้าค่ะ!”
ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นรีบร้อนกล่าวต่อไป
“กล่าวโดยสรุปในตอนนี้ได้เพียงว่า ท่านอาจารย์ลุงโปรดตามข้ากลับไปยังยอดเขาเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ภายในสำนักก่อนเถิด”