ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 209 อารมณ์ไม่ดี
บทที่ 209 อารมณ์ไม่ดี
ช่วงนี้ถังรั่วเวยอารมณ์ไม่ดีนัก เป็นเวลากว่าสามสิบปีผ่านไปแล้ว นับตั้งแต่อาจารย์เจ้าปัญหาของนางติดตามหลีจิ่นเหยาเข้าไปยังสุสานเหล่าทวยเทพและไม่กลับออกมาอีกเลย!
สามสิบปีที่ว่านี้ไม่ได้นานมากนักสำหรับผู้ฝึกตน ทว่าเมื่อปราศจากผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กร่วมกับนาง และคอยหยอกล้อเรื่องหน้าอกของนางด้วยความขบขันแล้ว นางจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงความรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าในจิตใจไปได้
เพื่อบรรเทาความผิดหวังจากการรอคอยอันยาวนานเช่นนี้ นางจึงฝักใฝ่อยู่แต่กับการฝึกตนจนเวลาผ่านไปนานถึงสามสิบปี ไม่นานมานี้นางเพิ่งจะบรรลุเป็นผู้ฝึกตนในขั้นปฐมวิญญาณได้สำเร็จ
น่าเสียดายที่นางยังคงติดอยู่ที่ระดับสามสิบเจ็ด ทั้งยังต้องเผชิญกับปัญหาคอขวดในการฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมสร้างกาย จนทำได้เพียงคำนวณชะตาชีวิตตนเองผ่านดวงดาวเหนือท้องฟ้า
หลังจากบรรลุผ่านขั้นการฝึกตนดังกล่าวแล้ว นางก็ได้รับคำเชิญจากน้องชายร่วมสายเลือดที่ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียนมานานกว่าสิบปี ส่วนพระราชบิดากับพระราชมารดาสิ้นพระชนม์ขณะที่นางเก็บตัวปลีกวิเวก
ดังนั้น เพื่อที่จะผ่อนคลายอารมณ์ย่ำแย่นี้ และทำความเข้าใจกับวิถีกรรม รวมไปถึงความเป็นไปของมนุษย์โลก ถังรั่วเวยจึงยอมรับคำเชิญของน้องชายตนเอง และเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อไปยังรัฐซ่างเสวียนที่จากมาเมื่อนานแล้ว
หลังจากกลับมาที่รัฐซ่างเสวียน ถังรั่วเวยที่กลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นปฐมวิญญาณ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่งจากน้องชายของนาง สารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ อาหาร ที่พำนักอาศัย รวมถึงราชรถสำหรับเดินทาง ล้วนใช้มาตรฐานสูงสุดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเดินทางเข้านอกออกในพระราชวังจะต้องเดินทางอย่างเกรียงไกรพร้อมกับจักรพรรดิและพระมเหสีแห่งซ่างเสวียนเสมอ ธรรมเนียมกับราชประเพณีเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เคยปลาบปลื้มยินดีเลยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเป็นองค์หญิงคนโตในราชวงศ์ซ่างเสวียน
ฉะนั้นหลังจากตัดสินใจเดินทางกลับพระราชวังในครั้งนี้ ถังรั่วเวยจึงไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลประการแรกหนีไม่พ้นธรรมเนียมอันเคร่งครัดภายในราชวงศ์ของถังรั่วเวย เพื่อป้องกันไม่ให้พระราชธิดากับญาติฝ่ายหญิงแห่งราชวงศ์มีเรือนร่างอัน ‘ต้องคำสาป’ เช่นนาง ผู้ที่จะมาเป็นพระสนมของบรรดาพระราชโอรสหรือพระญาติฝ่ายชายแห่งราชวงศ์ซ่างเสวียน… จะถูกคัดเลือกจากผู้ที่มีเรือนร่างอวบอิ่มเป็นเกณฑ์แรกเสมอ ส่วนบรรดาองค์หญิงในราชวงศ์ เมื่อถึงคราวแต่งงานก็จำเป็นต้องดูแลรักษาเรือนร่างอย่างพิถีพิถันอยู่เสมอ
ถังรั่วเวยเป็นผู้ฝึกตน แน่นอนว่าถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับราชวงศ์ ทว่านอกเหนือไปจากนางแล้ว บรรดาพระโอรส พระธิดา หรือพระนัดดาของราชวงศ์ซ่างเสวียนจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบรรพบุรุษเช่นนี้ทุกคนไป
พระมเหสีองค์ปัจจุบันสามารถให้กำเนิดพระราชโอรสได้หลายพระองค์ ทว่าให้กำเนิดพระราชโอรสสามพระองค์ติดต่อกันโดยเป็นเพศชายทั้งหมด
สามสิบปีต่อมา องค์ชายคนสุดท้องถึงคราวอภิเษกสมรสกับองค์หญิงจากต่างเมือง ภายในงานเลี้ยงอาหารค่ำ จักรพรรดิซ่างเสวียนได้ขอให้ถังรั่วเวยขึ้นนั่งบนบัลลังก์ด้วย ส่วนพระมเหสีพาองค์หญิงผู้นั้นมาดื่มอวยพรนางตามประเพณีที่พึงกระทำ ทว่าทันใดนั้นสายตาของถังรั่วเวยกลับเสมือนมีคลื่นซัดกระหน่ำอยู่ภายใน
ภาพตรงหน้าทำให้จิตสังหารในจิตใจของหญิงสาวพลุ่งพล่านราวกับคลื่นยักษ์ขณะที่เหลือบไปเห็นเนินอกของอีกฝ่ายกระเพื่อมไหวขณะยกจอกสุราขึ้นดื่ม!
นางไม่สามารถเสียมารยาทระเบิดอารมณ์กลางงานเลี้ยงได้ ดังนั้นหลังจากคำนับป้ายวิญญาณของพระราชบิดาและพระราชมารดาของตนเแล้ว ถังรั่วเวยจึงเร่งรีบออกไปจากพระราชวังในคืนที่สามแล้วย้อนกลับไปยังสำนักกระบี่ชิงหมิงดังเดิม
ค่ำคืนนั้นนางนอนพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัวภายในลานเล็ก ๆ บนยอดเขาชีซิง กระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ถังรั่วเวยอยากขึ้นไปบนยอดเขาสูงสุดเพื่อพบเจ้าสำนัก หวังให้เขามอบหมายภารกิจใดก็ตามให้ทำเพื่อผ่อนคลายความฟุ้งซ่าน แต่ทันใดนั้นกลับเห็นว่าห้องโถงหลักของสำนักกระบี่ชิงหมิงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก
บรรดาศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงรวมตัวกันอยู่รอบลานตำหนักใหญ่ของเจ้าสำนัก ต่างชะเง้อคอมองเข้าไปเพื่อดูบางอย่างที่เกิดขึ้นภายใน
เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ชายที่เพิ่งถูกรับเข้าสำนักได้ไม่นานมานี้ และพวกเขาคงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นข้างในตำหนักบ้าง
นางหลีกเลี่ยงความแออัดของฝูงชน ลอบเหาะเข้าไปจากในลานกว้างหน้าตำหนักของเจ้าสำนักจากด้านข้าง แน่นอนว่าภายในลานกว้างของตำหนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อมีกลุ่มศิษย์หญิงที่มีรูปโฉมงดงามจากสำนักเหอฮวน ซึ่งแต่ละนางสะสวยราวภาพเขียนล้ำค่าแห่งฤดูใบไม้ผลิ
บรรดาศิษย์หญิงเหล่านี้คงจะมาพร้อมกับท่านอาจารย์ของพวกนางเป็นแน่ ส่วนผู้ใดคืออาจารย์… ถังรั่วเวยแทบไม่ต้องครุ่นคิดให้เสียเวลา
นับตั้งแต่เจ้าสำนักซูแห่งสำนักเหอฮวนออกจากการเก็บตัวปลีกวิเวก และได้รับรู้ข่าวว่าบรรพชนกระบี่ของพวกนางหายสาบสูญไปที่ใดสักแห่ง เกือบทุกปีนางจะพาบรรดาศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งมาเยี่ยมเยียนยังสำนักกระบี่ชิงหมิงเพื่อสอบถามข่าวคราวอยู่เป็นนิจ
แม้ว่าจะเป็นถึงผู้นำสูงสุดของพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร ทว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าสั่งการให้ใครในสำนักมาทำร้ายหรือขับไล่นางแต่อย่างใด เมื่อไรก็ตามที่ซูเซียงเสวี่ยมาเยือนยังสำนัก เจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะปฏิบัติด้วยความสุภาพในฐานะแขกผู้มีเกียรติ
ด้วยการสืบสายเลือดมาจากบรรพชนจักรพรรดิอสูรองค์แรก สิ่งนี้มีส่วนช่วยเหลือให้ซูเซียงเสวี่ยประสบความสำเร็จในการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์ หลังออกจากการเก็บตัวปลีกวิเวก ปัจจุบันระดับขั้นการฝึกตนของนางนับเป็นบุคคลแรกที่สามารถไต่ระดับตามติดหวงฝู่เฟิง และตอนนี้แม้จะสวมผ้าคลุมปิดบังหน้า แต่การเคลื่อนไหวรวมถึงรอยยิ้มก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างเหลือร้าย เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
แม้แต่ผู้ที่เป็นถึงเจ้าสำนักยังเสียอาการถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงกิริยาอาการของบรรดาศิษย์ใหม่แห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง ถึงแม้ซูเซียงเสวี่ยจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าโดยตรง ทว่าบรรดาศิษย์หญิงจากสำนักเหอฮวนเพียงกลุ่มเดียวนั่นก็เพียงพอแล้วที่เด็กหนุ่มเหล่านี้จะไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองไว้ได้
ศิษย์ใหม่หลายคนของสำนักกระบี่ชิงหมิงไม่สนใจร่ำเรียนวิชา พลังปราณของพวกเขารั่วไหล อีกทั้งน้ำหนักยังลดฮวบลงในแต่ละวัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้ผู้อาวุโสหกผู้รับผิดชอบดูแลด้านการศึกษารู้สึกเป็นกังวลยิ่ง
ถังรั่วเวยเดินเลี่ยงผ่านบรรดาศิษย์หญิงของสำนักเหอฮวน ก่อนจะเดินเข้าไปภายในตำหนัก ศิษย์หลายคนคนเห็นนางเข้าจึงรีบคำนับทักทายอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของถังรั่วเวยเป็นอย่างดี ทว่าล้วนรับรู้ถึงทัศนคติของซูเซียงเสวี่ยที่มีต่อถังรั่วเวย
ถังรั่วเวยตอบรับการคำนับจากพวกนางทีละคน ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าประตู ยังไม่ทันที่จะเคาะประตู แต่กลับได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากด้านใน
“นังอสูรแห่งสำนักเหอฮวน! พวกเจ้ามาทำอะไรที่สำนักกระบี่ชิงหมิงของข้า เจ้ากำลังแสวงหาความตายอยู่งั้นรึ?!”
สุ้มเสียงนี้เต็มไปด้วยความทรงพลัง เปี่ยมไปด้วยพลังปราณอันไร้เทียมทาน ส่วนระดับขั้นการฝึกตนของเขา แม้เพียงผิวเผินก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลึกซึ้งยิ่ง เพียงแต่ถังรั่วเวยไม่เคยได้ยินเสียงนี้จากคนในสำนักกระบี่ชิงหมิงมาก่อน
ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจสูงพอควรสำหรับสำนักกระบี่ชิงหมิง ถึงกระนั้นยังคาดเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครแน่
แต่ไม่ว่าบุคคลผู้นี้จะเป็นใครก็ตาม แต่ในนามของสำนักกระบี่ชิงหมิง นางไม่อาจปล่อยให้เขาและซูเซียงเสวี่ยต่อสู้กันได้
ครั้นคิดมาถึงขั้นนี้ ถังรั่วเวยจึงรีบเคาะประตู
“ใครกัน?!”
เสียงจากอีกฝั่งหนึ่งของประตู คล้ายว่าได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะจึงตวาดถามอย่างไม่อดทน
“ศิษย์ถังรั่วเวยเองเจ้าค่ะ ข้าต้องการพบท่านเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ”
ถังรั่วเวยตอบกลับผ่านประตูเข้าไป
เสียงจากอีกฟากฝั่งของประตูเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นภายในประตู เสียงของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อพลันตอบกลับมา
“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ป้ารั่วเวย โปรดเข้ามาก่อน”
ถังรั่วเวยผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะข้ามธรณีประตูเข้าไปและพบว่านอกจากซูเซียงเสวี่ยที่สวมใส่ชุดสีขาว ซ้ำยังปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้ด้วยผ้าคลุมที่ยืนอยู่ ยังมีชายวัยกลางคนอีกหนึ่งคนที่มีใบหน้าท่าทางสง่างาม นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักกลางห้อง ส่วนเจวี๋ยอวิ๋นจื่อยืนอยู่ข้างเขา
“เจ้าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นดูเหมือนจะอารมณ์เสียเล็กน้อยเมื่อถูกนางขัดจังหวะคำพูด เขาจ้องเขม็งไปยังถังรั่วเวยเพื่อตรวจสอบระดับขั้นการฝึกตนของนาง แล้วหันมองไปด้านข้าง
“แม่นางผู้นี้เป็นใครกัน? เจ้ารับศิษย์หญิงตั้งแต่เมื่อใดกัน? ด้วยระดับการฝึกฝนที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ทว่ากลับบุกรุกเข้ามาในลานกว้างของตำหนักเจ้าสำนักตามใจชอบ ช่างไม่รู้มารยาทเอาเสียเลย”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อโค้งคำนับเขาก่อนกล่าวตอบ
“ท่านอาจารย์ แม่นางผู้นี้คือศิษย์สายตรงที่ท่านอาจารย์ลุงได้รับนางมาฝึกสอนเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่แล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ?”
ถังรั่วเวยได้ยินว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นอุทานด้วยเสียงต่ำ และเมื่อหันหน้ากลับมาหานางอีกครั้ง สีหน้าของเขากลับแปรเปลี่ยนผิดแผกไปจากก่อนหน้าราวกระแสลมช่วงฤดูใบไม้ผลิ
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หญิงภายใต้ปกครองของท่านอาจารย์ลุงนี่เอง”
ชายวัยกลางคนรีบร้อนกล่าวทักทายถังรั่วเวยด้วยรอยยิ้มกว้างจนแทบฉีกถึงรูหู ลุกจากเก้าอี้ไปดึงชายแขนเสื้อของนางทันทีเพื่อเชื้อเชิญให้เข้ามา และนั่งลงบนที่นั่งของเขา
“ข้าชื่อจู๋เฟิง มีฐานะและตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก เพิ่งออกจากการเก็บตัวปลีกวิเวกฝึกฝนเมื่อไม่นานมานี้เอง ครู่นี้ข้ามีตาหามีแววไม่มองไม่เห็นภูเขาไท่ซานอยู่ตรงหน้า ศิษย์พี่ถังโปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
“โอ้ โอ้…”
ถังรั่วเวยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อถูกชายวัยกลางคนที่มีระดับขั้นการฝึกฝนสูงกว่าตนเอง มาคอยเชื้อเชิญให้นั่งลงเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงเหลือบมองเขาเพียงเล็กน้อย
ปรากฏว่าเขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงที่เพิ่งออกจากการปลีกวิเวกฝึกฝนจริงดังคำกล่าว
หญิงสาวครุ่นคิดกับตนเอง
ไป๋ชิวหรานเคยบอกนางว่า ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักกระบี่ชิงหมิงเคยเป็นอดีตเจ้าสำนักเช่นกัน ในขณะเดียวกันเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในปัจจุบัน และเป็นอาจารย์ของเหล่าผู้อาวุโสจึงไม่น่าแปลกใจที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อจะมีท่าทางนอบน้อมต่อเขาถึงเพียงนี้
ขณะเดียวกัน ซูเซียงเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป นางเผยอริมฝีปากออกเพียงเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถาม
“เจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ เร็ว ๆ นี้มีข่าวคราวเกี่ยวกับเขาบ้างหรือไม่?”
“โธ่เอ๊ย! ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทว่ายังมีนางอสูรผู้นี้อยู่ด้วย”
ทันทีที่ซูเซียงเสวี่ยอ้าปากเอ่ย ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าภายในห้องนี้ยังมีคนจากสำนักเหอฮวนอยู่ข้าง ๆ เขาจ้องเขม็งไปยังซูเซียงเสวี่ยพร้อมกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่สำนักกระบี่ชิงหมิงมีความขัดแย้งกับสำนักเหอฮวนมาโดยตลอด นังอสูรร้าย! จงบอกกล่าวชื่อแซ่ของเจ้ามาซะ! มิฉะนั้นกระบี่ที่อยู่ในมือของจู๋เฟิง… เห็นทีจะต้องบั่นคออสูรภายในห้องตำราของเจ้าเจวี๋ยอวิ๋นวันนี้!”
“ท่านอาจารย์ ข้าขอแนะนำให้ท่านระงับโทสะลงก่อนเถิด”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อพยายามกระซิบกระซาบจากด้านข้าง
ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงไม่ใส่ใจคำกล่าวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยไม่ถือโทษโกรธเคือง ซ้ำยังกล่าวทักทายผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ข้าน้อยซูเซียงเสวี่ย เจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักเหอฮวนเจ้าค่ะ”