ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 21 เหล่าเด็กชายสุมหัวร่วมกันวางแผน
บทที่ 21 เหล่าเด็กชายสุมหัวร่วมกันวางแผน
ณ ยอดเขาสูงสุดแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง
ภายในตำหนักที่เจ้าสำนักพำนักอยู่ เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงคนปัจจุบันกำลังสนทนากับบรรดาผองพี่น้องเกี่ยวกับการคัดเลือกศิษย์ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปหมาด ๆ
“สวรรค์ประทานพรให้แก่สำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างแท้จริง” หลังจากอ่านรายชื่อศิษย์ใหม่จากผู้อาวุโสสามเปี๋ยอวิ๋นจื่อแล้ว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ถอนหายใจ
“ในบรรดาศิษย์ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกในปีนี้ มีเด็กหลายคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลวเลย เอ๊ะ! ดูสิ ยังมีผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับฐานวิญญาณสวรรค์ถึงสองคน”
“ศิษย์พี่ ท่านไม่จำเป็นต้องพิจารณาเฉพาะระดับพรสวรรค์ของพวกเขาหรอก” ผู้อาวุโสสองซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน “ผู้ฝึกตนซึ่งมีพรสวรรค์สูงส่งแต่ปราศจากจิตใจที่สูงส่ง ทั้งยังจมดิ่งลงแต่ห้วงความคิดของตนมีมากมาย ในทางตรงกันข้าม ผู้ฝึกตนซึ่งพรสวรรค์ธรรมดาแต่มีสภาพจิตใจมั่นคงก็มีไม่น้อยที่พึ่งพาความพยายามอย่างหนัก”
“แน่นอน ข้าย่อมรู้ดี” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อโบกมือพลางกล่าวว่า “พรสวรรค์ของข้าเองก็ธรรมดาสามัญนัก นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใดว่าสำนักกระบี่ชิงหมิงจะเสียสมดุลเพราะศิษย์ที่มีพรสวรรค์ธรรมดาหรือมีความก้าวหน้าที่เชื่องช้า ถึงอย่างไรเราก็มีท่านอาจารย์ลุงอยู่ทั้งคน”
สำนักกระบี่ชิงหมิงดีอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อเหล่าผู้อาวุโสเห็นว่าศิษย์บางคนมีความก้าวหน้าช้ากว่าศิษย์คนอื่น ๆ ทันทีที่ทราบถึงปัญหา เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหรือผู้อาวุโสคนอื่นก็จะชี้ไปยังยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปเพื่อแนะนำท่านอาจารย์ผู้เป็นที่เคารพของสำนักกระบี่ชิงหมิงให้พวกเขาได้รู้จัก
หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นได้ยินว่ามีผู้อาวุโสในสำนักที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุขั้นการฝึกตนตลอดช่วงระยะเวลาสามพันปีมานี้ พวกเขาก็บังเกิดความละอายใจ และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง
นับตั้งแต่ทดลองทำเช่นเดียวกันนี้มาตลอดทั้งปี ก็พบว่าอัตราการบรรลุผ่านขั้นการฝึกตนของบรรดาศิษย์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงเลยทีเดียว
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก” ผู้อาวุโสหกที่อยู่ด้านข้างกระซิบเตือน “อย่าคิดว่าท่านอาจารย์ลุงไม่ล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ ท่านหยิบยกชื่อของท่านอาจารย์ลุงมาใช้เช่นนี้ โปรดระวังเขาจะตามแก้แค้นท่านด้วย”
“นี่ ต่อให้ท่านอาจารย์ลุงรู้เข้าแล้วอย่างไร? เขาเป็นคนอารมณ์ดีจะตายไป” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อไม่แยแสกับความคิดนั้นแต่อย่างใด ทั้งยังเปล่งเสียงหัวเราะ
“จริงสิ พูดถึงท่านอาจารย์ลุง ดูเหมือนว่าศิษย์ผู้หนึ่งในการคัดเลือกศิษย์ครั้งนี้ได้แสดงเจตจำนงไว้ว่าต้องการจะตามหาเขา…”
“ใช่ มีสตรีนางหนึ่งแจ้งว่านางต้องการพบผู้มีพระคุณ ซึ่งผู้มีพระคุณของนางเป็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีขาว คิ้วสีขาว มีนามว่าไป๋ชิวหราน…” ผู้อาวุโสเจ็ดหลิวอวิ๋นเผยรอยยิ้มพร้อมกล่าวต่อ “ศิษย์ผู้นี้ดูเหมือนเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งราชวงศ์ซ่างเสวียน จริงสิ ข้าจำได้ว่านางเป็นหนึ่งในสองศิษย์ที่มีพรสวรรค์ระดับฐานวิญญาณสวรรค์ในการสอบคัดเลือกครั้งนี้”
“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?” ดวงตาของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเปล่งประกายขึ้นมาฉับพลัน “นึกไม่ถึงว่าแม้ท่านอาจารย์ลุงจะอายุมากแล้ว แต่เมื่อลงจากยอดเขาไปกลับยังมีเรื่องซุบซิบแบบนี้อีก… โอ้! ต้องเป็นพรหมลิขิตอย่างแน่นอน! ศิษย์น้อง สาวน้อยนางนี้รูปโฉมเป็นอย่างไรบ้าง?”
“รูปโฉมงามดุจบุปผาและจันทรา จิตใจบริสุทธิ์ประหนึ่งกล้วยไม้*[1]” ผู้อาวุโสหลิวอวิ๋นเอ่ยตอบ “นอกจากนี้ผลคะแนนของนางในการสอบคัดเลือกครั้งนี้ก็สูงมากเช่นกัน อยู่ในอันดับสอง ต่ำกว่าผู้ที่มีฐานวิญญาณสวรรค์ลำดับที่หนึ่งเพียงเล็กน้อย…ข้าคาดเดาว่าที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะนางไม่ค่อยล่วงรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกแห่งผู้ฝึกตนเท่าไรนัก”
“ในเมื่อแม้แต่ศิษย์น้องยังกล่าวสรรเสริญ เช่นนั้นนางคงเป็นหญิงสาวที่ทั้งเก่งกาจและงดงามไม่น้อย” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถูฝ่ามือทั้งสองข้างไปมาอย่างลืมตัวพลางหันมองทางซ้ายและขวา “เป็นอย่างไรบ้าง? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ท่านหมายความเช่นไร?” ผู้อาวุโสสองเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านยังมีความคิดจะจู่โจมศิษย์ที่เพิ่งสอบผ่านการคัดเลือกเข้าสำนักมาได้อีกหรือ?”
“หยุดความคิดของเจ้าซะ! ข้ากำลังพูดถึงท่านอาจารย์ลุงต่างหาก!” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อตวาดกลับด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมทันที “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ?!”
“หึ”
ผู้อาวุโสสอง ผู้อาวุโสสี่ และผู้อาวุโสห้าต่างเปล่งเสียงหัวเราะในลำคอ ทว่าไม่เอ่ยตอบคำใด
“ย่อมได้ ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าจะพูดเรื่องจริงจัง” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกระแอมไอพลางกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เคร่งขรึม “พวกเจ้าดูเถิด ท่านอาจารย์ลุงอุตส่าห์จงรักภักดีต่อสำนักกระบี่ชิงหมิงจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักมานานกว่าสามพันปี อย่าว่าแต่บรรดาศิษย์ทั้งหลายของเราเลย แม้แต่ผองเราเองก็พบเจอหน้าเขาได้ยากยิ่งนัก ในฐานะที่ผองเราต่างก็เป็นศิษย์ที่ท่านอาจารย์ลุงเพียรสั่งสอนชี้แนะ พวกเราไม่ควรใช้โอกาสนี้แสดงความกตัญญูต่อเขาเลยเชียวหรือ?”
“แต่ว่า…” ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นเกิดความลังเลเล็กน้อย
“เฮ้ ศิษย์น้องชิงอวิ๋นไม่ต้องการเห็นท่านอาจารย์ลุงมีความรักหรืออย่างไร?” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวเตือนเสียงแผ่วเบา
ผู้อาวุโสหกเผยสีหน้าลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ก้มหน้าลงทั้งที่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ พร้อมกล่าวตอบด้วยความกระดากอายอย่างยิ่ง “ข้าต้องการ…”
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว!” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้ใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในฐานะเจ้าสำนักเพื่อโน้มน้าวจิตใจของผู้อื่นอย่างที่ไม่เคยกระทำมาก่อน “ยามนี้ท่านอาจารย์ลุงอยู่ที่ใดกัน? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย เราควรเริ่มแผนการเสียตั้งแต่บัดนี้!”
“นับตั้งแต่ท่านอาจารย์ลุงกลับมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในห้อง คงกำลังปรุงโอสถบางอย่างเพื่อพัฒนาความก้าวหน้าในขั้นการฝึกตน” ผู้อาวุโสสามเปี๋ยอวิ๋นจื่อตอบด้วยเสียงกระซิบ “ได้ยินศิษย์ผู้พิทักษ์บนยอดเขาเล่าว่า ตอนที่เขากลับมายังพบเห็นมีร่องรอยการต่อสู้ที่รุนแรงอยู่ตามร่างกาย พวกเราอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนท่านอาจารย์ลุงเลย…หากว่าเขากำลังอยู่ในช่วงบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานจริงเล่า?”
“ไอหยา พวกเรารู้จักกับท่านอาจารย์ลุงมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่ว่าครั้งใดที่เขาเก็บตัวนานมากกว่าสามวัน เมื่อออกมาแล้วก็เพียงพัฒนาไปอีกระดับหนึ่งเท่านั้น” เจวี๋ยอวิ๋นจื่อใช้ประโยชน์จากการมีนิสัยเก็บตัวของไป๋ชิวหรานโน้มน้าวเหล่าผู้อาวุโสด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“ไป ๆๆ พาสาวน้อยนางนี้ไปยังยอดเขาชีซิงพร้อมกัน พวกเราจะต้อนรับท่านอาจารย์ลุงออกจากการเก็บตัว”
“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลย” ผู้อาวุโสสามเปี๋ยอวิ๋นจื่อยกมือขึ้นเพื่อทัดทานเมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างเดินตามเจวี๋ยอวิ๋นจื่อออกไปด้านนอกประตู
“ชีวิตรักของท่านอาจารย์ลุงถือเป็นอิสรภาพส่วนตัวของเขา พวกเราเป็นเพียงผู้เยาว์ไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวาย…ท่านไม่กลัวหรือว่าอาจถูกไล่ตะเพิดออกมา?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อหันกลับมาพร้อมชี้ไปยังปลายจมูกของผู้อาวุโสสาม “ฮึ่ม! เจ้าสามผู้นี้ช่างทักท้วงให้มากความเสียจริง สมัยที่พวกเรายังเป็นแค่ศิษย์ ในบรรดาพวกเรามีเพียงเจ้าที่ฟ้องเรื่องต่าง ๆ บ่อยครั้งที่สุด! ไป ๆๆ หากศิษย์น้องผู้นี้ไม่เห็นด้วยก็ช่างเขา พวกเราไปกันเถิด”
กล่าวจบแล้ว เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงจึงพาเหล่าผู้อาวุโสคนลงจากยอดเขาไปยังที่พำนักของศิษย์ร่วมสำนักคนใหม่
ท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสในสำนักต่างออกหน้าต้อนรับศิษย์ใหม่ด้วยตนเอง ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกปลื้มปริ่มอิ่มเอมยิ่งนักจนกล่าวสรรเสริญยกยอไม่หยุดปาก ส่วนบรรดาศิษย์รุ่นเก่าแก่ก็มีประสบการณ์ในการรับมือกับศิษย์รุ่นใหม่เหล่านี้ หลังจากกล่าวปราศรัยให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ พวกเขาก็เรียกให้ถังรั่วเวยที่ตอนนี้มีสถานะเป็นศิษย์ฝ่ายในสวมชุดดำให้เดินทางไปยังยอดเขาชีซิงที่ไป๋ชิวหรานแยกตัวออกมาอาศัยอยู่อย่างสันโดษ
ถังรั่วเวยเดินตามกลุ่มผู้อาวุโสผู้แผ่รัศมีน่าเกรงขามจนพื้นดินสั่นสะเทือนจนมาถึงด้านนอกตำหนักหลังเล็กบนยอดเขาชีซิงในที่สุด
ถังรั่วเวยใช้สายตาว่างเปล่าจับจ้องมองไปยังเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงและเหล่าผู้อาวุโสที่ยืนเรียงรายกันเป็นแถว นางยืนอยู่นอกประตูของตำหนักที่กล่าวกันว่าไป๋ชิวหรานพำนักอยู่ นอกจากนี้พวกเขายังกล่าวอีกว่าไป๋ชิวหรานกำลังเก็บตัวฝึกตน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าเคาะประตูเพื่อรบกวนฝ่ายนั้น
หลังจากจ้องมองและรอคอยอยู่เป็นนาน ในที่สุดหญิงสาวก็ทนไม่ไหว นางหันไปกระซิบถามผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นที่สังเกตแล้วดูมีนิสัยเป็นมิตรมากที่สุดว่า “ผู้อาวุโสหก ไป๋ชิวหรานผู้นี้มีสถานะในสำนักสูงพอสมควรเลยหรือ?”
“สถานะสูงงั้นหรือ? แน่นอนว่าสูงมากทีเดียว” ชิงอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ “ท่านอาจารย์ลุงผู้นี้เป็นศิษย์สายตรงของผู้ก่อตั้งสำนักกระบี่ชิงหมิง ดังนั้นจึงมีสถานะสูงกว่าทุกคนในสำนัก”
“แล้วเหตุใดขั้นการฝึกตนของเขายังติดอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้นเองเล่า?” ถัวรั่วเวยอดเอ่ยถามไม่ได้
“เรื่องนี้ท่านอาจารย์ลุงคงมีเหตุสุดวิสัยบางประการ ถึงกระนั้นพลังปราณและวิชายุทธ์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด” ชิงอวิ๋นเผยรอยยิ้มจนตาเล็กหยีขณะกล่าวกำชับต่อไป “อ้อ อีกอย่าง ท่านอาจารย์ลุงไม่ชื่นชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับขั้นการฝึกตนมากนัก ฉะนั้นเจ้าไม่ควรพูดคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างเด็ดขาด”
“โอ้…” ถังรั่วเวยเพียงหยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย รู้สึกใจคอโลดแล่นไปไกลไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ตอนแรกนางคิดว่าไป๋ชิวหรานเป็นเพียงศิษย์ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง ส่วนสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นสำนักผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงระบือไกลไปถึงสิบทวีป ไม่ว่าอย่างไรเขาที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณก็ควรมีสถานะอยู่ในระดับปานกลางของสำนักเป็นแน่ ทว่านางไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้อาวุโส หรือแม้แต่ท่านเจ้าสำนักจะให้ความเคารพเขาถึงเพียงนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำให้หญิงสาวไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับไป๋ชิวหรานโดยแสดงท่าทางอย่างไรดี
ถังรั่วเวยและผู้อาวุโสกลุ่มนี้รั้งรออยู่บนยอดเขาชีซิงอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปประมาณสามชั่วก้านธูป ประตูตำหนักอีกฝั่งหนึ่งก็ถูกผลักจากด้านในให้เปิดออก
———-
เชิงอรรรถ
*[1] รูปโฉมงามดุจบุปผาชาติและจันทรา จิตใจบริสุทธิ์ประหนึ่งกล้วยไม้ เป็นประโยคเชิงเปรียบว่าสตรีแม้มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม แต่ไม่ดีเท่ามีความเมตตาและคุณธรรมสูงส่งร่วมด้วย