ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 210 นางเป็นคนของท่านอาจารย์ลุง
บทที่ 210 นางเป็นคนของท่านอาจารย์ลุง
“โอ้ เจ้าน่ะหรือเจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักเหอฮวน”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงเท้าสะโพก ไม่วายกล่าวกับซูเซียงเสวี่ยด้วยเสียงดังลั่น
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอดีตเจ้าสำนักเหอฮวนตายตกไปด้วยน้ำมือของสำนักกระบี่ชิงหมิงของเราเช่นกัน?”
“แน่นอนว่าข้ารู้”
ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้า
เหอะ อสูรสาวนางนี้มีคุณสมบัติทางจิตใจที่ยอดเยี่ยม
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่สงบนิ่งและมั่นใจในตนเองของซูเซียงเสวี่ย ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงที่เก็บตัวปลีกวิเวกมาเป็นเวลานานหลายร้อยปีก็อดครุ่นคิดกับตัวเองไม่ได้
ครั้นคิดถึงเรื่องดังกล่าวผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงที่ไม่ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์จวบจนถึงปัจจุบันว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมหญิงสาวเผ่ามารนางนี้เล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามต่อไป
“อะไรทำให้เจ้ามีความมั่นใจมากมายถึงเพียงนี้?”
หลังจากหยุดชะงักไปชั่วคราว เขากวาดสายตามองขึ้นลงไปยังซูเซียงเสวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วกล่าวออก
“อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนแรกของพันธมิตรฝ่ายมารที่สามารถบรรลุผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้…”
“คนที่สอง… คนที่สองต่างหาก”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเอ่ยเตือนด้วยเสียงต่ำอยู่ด้านข้าง
“ผู้อาวุโสสูงสุด หวงฝู่เฟิงแห่งสำนักอสูรสวรรค์เองก็ประสบความสำเร็จในการรอดชีวิตจากภัยพิบัติทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่ประมาณสามสิบปีที่แล้วเช่นกัน”
“หึ สวรรค์ไม่มีตา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงหลุดคำสบถออกมา ก่อนจะกล่าวกับซูเซียงเสวี่ยต่อไป
“อย่าได้คิดกระหยิ่มยิ้มย่องว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนมารคนที่สองแห่งพันธมิตรฝ่ายมาร แล้วจะกระทำการใดก็ตามโดยประมาทได้ ในเมื่อกล้ามาเหยียบที่นี่ ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงจะแถลงไขให้ทราบในวันนี้ ว่าเหตุใดสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้าจึงถูกยกให้เป็นที่หนึ่งในด้านวิชายุทธ์!”
“โอ้”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเบา ๆ
“อันที่จริงข้าทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เซียงเสวี่ยไม่เก่งกาจในด้านการต่อสู้ ดังนั้นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงอย่างแน่นอน”
“หึ ยังดีที่เจ้ารู้จักประมาณตน”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงกล่าวพร้อมกับเชิดปลายคางขึ้นสูง
ตายแน่…
ถังรั่วเวยที่นั่งอยู่ด้านข้างสังเกตท่าทางการแสดงออกของเขา แล้วเหลือบมองเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาซูเซียงเสวี่ย ซึ่งได้แต่เลี่ยงหันศีรษะไปด้านข้าง
เจ้าสำนักทั้งสองประจันหน้ากันเช่นนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าผู้ใดจะตายก่อน…
บางทีแม้แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเองก็ไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมของผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงได้ จึงฉวยโอกาสที่ซูเซียงเสวี่ยนิ่งเงียบดึงแขนผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงออกไปด้านข้าง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าแม่นางผู้นี้เป็นใคร?”
“ข้ารู้ เจ้าสำนักเหอฮวนอย่างไรล่ะ”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงพยักหน้ารับอย่างเฉยเมย ก่อนกล่าวต่อไป
“ใช่ว่าข้าไม่เคยต่อสู้กับพวกนางมาก่อนเสียเมื่อไร”
“นั่นไม่ใช่ประเด็น”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวด้วยเสียงต่ำอีกครั้ง
“นางเป็นคนของท่านอาจารย์ลุงเชียวนะขอรับ…”
เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงได้ยินคำว่า ‘ท่านอาจารย์ลุง’ เขาพลันตื่นตัวขึ้นเล็กน้อยและถามกลับทันที
“อาจารย์ลุงไหน?”
“จะเป็นผู้ใดได้อีก…”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเลื่อนนิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างเข้าหากัน
“อย่าบอกนะ…”
“ของเขาจริง ๆ…”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด ก่อนจะใช้ฝ่ามือตบเจวี๋ยอวิ๋นจื่อเข้าที่หน้าผาก ก่อนกล่าวอย่างโกรธเคือง
“เจ้าบ้า กล้าดีอย่างไรมาปดข้ากัน!”
“ข้าเปล่าปดท่านเสียหน่อย!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจเช่นกัน
“ข้าจะมีเวลาชี้แจงเรื่องนี้แต่แรกได้อย่างไร? ในเมื่อท่านอารมณ์ร้อนตลอดเวลาเช่นนี้”
“ไร้สาระ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงขึ้นเสียง
“ใครกันที่หลังกลับมาจากการเก็บตัวปลีกวิเวกก็เรียกหาท่านอาจารย์ลุงเพื่อให้เป็นสหายร่ำสุรา ทั้งยังบ่นว่าตนเองถูกคุกคามจากบรรดาแม่สาวตัวน้อยแห่งสำนักเหอฮวนตลอดทั้งวันจนกระทั่งเกิดอาการประสาทเสีย?!”
“โธ่! เงียบก่อนเถอะ”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเหลือบมองไปยังซูเซียงเสวี่ยด้วยสายตาสยดสยอง ก่อนจะรีบถอนสายตาตัวเองกลับมา
“อีกอย่าง ข้าไม่ได้ร้องขอให้เจ้าออกตัวแทนข้าเสียหน่อย!”
ต่อหน้าแขกที่เป็นคนนอกเช่นซูเซียงเสวี่ย ทั้งศิษย์กับอาจารย์เริ่มส่งเสียงดังทะเลาะเบาะแว้งกันเองภายในห้อง ยิ่งมองดูกิริยาอาการของทั้งสองนานเข้า ก็สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันอย่างแท้จริง
“เอ่อ… ท่านเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ”
ในช่วงเวลาคับขันดังกล่าว ซูเซียงเสวี่ยเดินย่องเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบระหว่างที่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงกำลังมีปากเสียงกัน ก่อนจะแทรกกลางการสนทนาระหว่างทั้งสอง
“ท่านช่วยบอกให้เซียงเสวี่ยทราบได้หรือไม่ว่า… ไม่นานมานี้มีข่าวคราวใดเกี่ยวกับเขาบ้างหรือไม่?”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกำลังจะอ้าปากตอบกลับ แต่เมื่อหันศีรษะไปเห็นใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยเข้า เขาพลันสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอดทันที จากนั้นรีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ
“เจ้าสำนักซู ข้าขอร้องล่ะ ท่านระงับพลังปราณไว้หน่อยเถอะ!”
หลังจากที่ซูเซียงเสวี่ยบรรลุเข้าสู่ขั้นมหายาน ระดับขั้นการฝึกตนของนางก็เพิ่มทวีคูณขึ้น อีกทั้งสายเลือดอสูรยังถูกปรับแต่งให้เข้ากับร่างกายอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ความสามารถในการเรียกใช้เคล็ดวิชาย่างก้าวภูตพรายยิ่งชำนาญ แม้แต่มนตร์เสน่ห์ยังมีพลังทำลายล้างมากขึ้นกว่าเก่า จนแม้แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ยังไม่สามารถต้านทานได้
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อตระหนักดีว่าหากมีใจสมัครรักใคร่ซูเซียงเสวี่ยนับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าตราบใดที่ไป๋ชิวหรานกลับมาและรับรู้เข้าแล้วล่ะก็… ย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย!
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าของซูเซียงเสวี่ยโดยตรงจนถึงตอนนี้ ด้วยเกรงว่าตนเองจะเกิดความสับสนขึ้น
ครั้นเห็นรูปลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังของเขา ถังรั่วเวยรีบยกมือขึ้นปิดหน้าตนเองด้วยความอับอาย และเริ่มคิดอย่างจริงจังว่าการที่ตนตัดสินใจเข้าร่วมกับสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือไม่…
“เจ้าเด็กตัวเหม็นผู้นี้ ดูท่าทางน่าสมเพชของเจ้าสิ ยิ่งมีชีวิตอยู่ยิ่งสร้างความขายหน้ายิ่งนัก!”
จู๋เฟิงโกรธเคืองศิษย์ของตนยิ่ง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นจนเผลอสบตาซูเซียงเสวี่ยจึงยิ่งสาปแช่งเจวี๋ยอวิ๋นจื่อมากขึ้น
“สมควรแล้วที่เขานั่งคุกเข่าอยู่เช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!”
ชัดเจนแล้ว สำนักของเราเลือกคนที่ไร้ยางอายที่สุดในหมู่สหายศิษย์พี่น้องขึ้นมาเป็นเจ้าสำนักหรือนี่?
ถังรั่วเวยคิดอย่างสิ้นหวัง
ขณะที่คนทั้งสามในห้องกำลังพัวพันกันอยู่ นอกประตู ผู้อาวุโสสองเสวียนอวิ๋นจื่อก็เข้ามารายงาน
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านเจ้าสำนักและบรรดาศิษย์จากสำนักอสูรสวรรค์มาถึงที่นี่แล้ว”
ทันทีที่เขากล่าวจบ จี้หลิงอวิ๋นก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลีจิ่นเหยา จากด้านนอก เจ้าสำนักหญิงแห่งสำนักอสูรสวรรค์บิดเอวตนเองเล็กน้อย สายตาเหลือบไปเห็นเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกำลังคุกเข่าและเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น จึงมองด้วยสายตาดูถูกแวบหนึ่งก่อนจะผลักศิษย์สายตรงของนางเข้าไป
หลีจิ่นเหยาก้าวไปข้างหน้าพร้อมโค้งคำนับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าซีดเผือด ภายในแววตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“ท่านเจ้าสำนักเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ข้ามาที่นี่เพื่ออยากสอบถามว่าผู้อาวุโสไป๋กลับมาที่สำนักแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
“เทพเซียน โปรดสังหารข้าเสียเถอะ!”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อทะลึ่งกระโดดพรวดขึ้นจากพื้น ก่อนจะวิ่งออกไปนอกห้องแล้วกรีดร้องลั่น
เสียงอุทานของบรรดาศิษย์จากสำนักเหอฮวนและสำนักกระบี่ชิงหมิงดังขึ้นจากนอกประตู ไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้ว่าครู่นี้เขาสร้างความโกลาหลขึ้นในรูปแบบใดกันแน่
ดูเหมือนว่าการรับแขกในวันนี้ไม่สามารถกระทำต่อไปได้โดยราบรื่น
ถังรั่วเวยถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นและหันไปกล่าวกับผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิง
“เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโสสูงสุด จากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ควรรองรับแขกของเราทั้งเจ้าสำนักซูและเจ้าสำนักจี้ไว้ก่อน แล้วค่อยสนทนาหารือกันในภายหลัง”
“ศิษย์พี่หญิงกล่าวถูกต้อง”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงตอบรับ ก่อนจะหันไปสั่งความกับผู้อาวุโสสอง
“ไปเร็ว ไปเรียกหาเจ้าห้า… ไม่สิ ไปเรียกหาชิงอวิ๋นหรือหลิวอวิ๋นก็ได้ ให้พวกเขาเชิญบรรดาศิษย์หญิงเข้ามาด้านใน อย่าลืมจัดเตรียมห้องพักสำหรับแขกของเราทั้งสำนักเหอฮวนและสำนักอสูรสวรรค์ไว้ให้ดี”
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด จู๋เฟิงยังคงมีวุฒิภาวะในการรับมือกับสถานการณ์คับขันต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ภายใต้การจัดการของเขา ไม่นานนักความโกลาหลที่เกิดขึ้นจึงค่อยสงบลง
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ค่อย ๆ สงบลงบ้างแล้ว ถังรั่วเวยก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะเดินออกจากลานกว้างไปด้วยความโล่งอก
นางเดินมาจนถึงริมหน้าผาบนยอดเขาสูงสุดของสำนัก เหม่อมองดูทะเลหมอกเมฆที่ลอยปั่นป่วนอยู่นอกแนวเทือกเขา สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ หากยังมีชีวิตอยู่ก็จงกลับมาโดยเร็วเถิด หากท่านไม่กลับมา วันเวลาคงผันผ่านไปอย่างยากลำบากยิ่งนัก”
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดวันเวลาถึงผ่านไปอย่างยากลำบาก?”
เสียงปริศนาเอ่ยถามมาจากด้านหลัง
“ศิษย์พี่หลีตำหนิเรื่องทั้งหมดว่าเกิดขึ้นเพราะนางเป็นต้นเหตุ หลังจากที่อาจารย์จากไป นางจะมาที่นี่ทุกปี ทุกครั้งที่มาจะต้องเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ต่อมาเจ้าสำนักซูออกมาจากการเก็บตัวปลีกวิเวก ความวุ่นวายจึงเพิ่มขึ้นเพราะนางพาคนในสำนักของนางมาที่นี่ด้วยเช่นกัน”
ถังรั่วเวยตอบกลับโดยไม่คิดสงสัยว่าเจ้าของเสียงผู้นั้นเป็นใคร ทั้งยังพร่ำบ่นไม่หยุด
“สำนักกระบี่ชิงหมิงของเรานับว่าเป็นผู้นำแห่งพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม ทว่าทุกปีจะต้องมีคนจากพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารสองสำนักผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมเยียน นี่นับว่าสมควรอย่างไรกัน…”
“โอ้ หากลดจำนวนคนให้น้อยลงสักหน่อย และมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวอย่างเงียบเชียบคงไม่เป็นปัญหา”
เสียงปริศนานั้นยังออกความเห็นต่อไป
“ประเด็นสำคัญคือทุกครั้งที่มาที่นี่ มักจะยกโขยงกันมาเป็นหมู่คณะทุกครั้งไป หากบรรดาผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสสูงสุดไม่อยู่ที่นั่นและคอยรับรองพวกเขา ผู้ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงคิดว่าสงครามระหว่างพันธมิตรฝ่ายธรรมและฝ่ายมารกำลังจะก่อเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นแน่”
ถังรั่วเวยหันศีรษะกลับมาพลางเอ่ยด้วยความฉงน
“ว่าแต่เจ้าเป็นใครกัน? ข้าจะบอกอะไรให้อีกประการหนึ่ง… อะ… อาจารย์!”