ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 211 ให้ตายสิ! ท่านอาจารย์ลุงใช้กระบี่บินได้แล้ว!
บทที่ 211 ให้ตายสิ! ท่านอาจารย์ลุงใช้กระบี่บินได้แล้ว!
หญิงสาวตื่นตกใจจนเกือบก้าวพลาดตกลงไปจากหน้าผา แต่โชคดีที่ไป๋ชิวหรานคว้าร่างนางไว้ได้ทันเวลา
แท้จริงแล้วการพลัดตกลงไปสำหรับถังรั่วเวยนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ในระดับความสูงนี้ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นปฐมวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะดิ่งพสุธาลงไปก็ตาม… ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่านางจะไม่ตาย
เหตุผลหลักคือนางไร้สิ่งป้องกันใด ๆ หากดิ่งลงไปแล้ว ศีรษะย่อมกระแทกพื้นจนสมองกระเทือนเป็นแน่แท้ ไป๋ชิวหรานไม่ต้องการให้ศิษย์สายตรงคนแรกกลายเป็นคนปัญญาอ่อน…
ไป๋ชิวหรานอุ้มร่างถังรั่วเวยโดยจับไว้บริเวณท้ายทอย ก่อนจะวางนางจนปลายเท้าสัมผัสพื้นแล้วเอ่ยถาม
“เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งเห็นว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อกระโดดพรวดพราดออกมา… ภายในห้องเกิดอะไรขึ้น?”
“สิ่งที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว อาจารย์โปรดไปดูที่ลานกว้างหน้าตำหนักเจ้าสำนักเถิด แล้วท่านจะเข้าใจ”
ถังรั่วเวยมีความสุขมากในตอนแรกที่ได้เห็นว่าอาจารย์ของตนยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากเห็นหน้าไป๋ชิวหรานเข้าก็จดจำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในลานกว้างขึ้นมาได้… จึงได้ถอนหายใจอีกครั้ง
“ช่างเถิด ข้าจะพาท่านไปเอง”
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป นางก็พาไป๋ชิวหรานไปยังลานกว้างหน้าตำหนักของเจ้าสำนัก ศิษย์ชายส่วนใหญ่ที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูแยกย้ายกันไปแล้ว ส่วนผู้อาวุโสชิงอวิ๋นและผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงได้พาตัวซูเซียงเสวี่ยกับหลีจิ่นเหยาออกไปชั่วคราว
ครั้นเห็นชายหนุ่ม หญิงสาวทั้งสองพลันชะงักนิ่งอยู่กับที่
“อ๊ะ”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ไม่น่าเชื่อผ่านสีหน้าของพวกนาง ไป๋ชิวหรานรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นพร้อมกล่าวทักทาย
“อืม… สวัสดียามบ่าย”
หลีจิ่นเหยาพ่นลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยความโล่งอกออกมา สีหน้าของซูเซียงเสวี่ยก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน ทั้งยังมีประกายระยิบระยับในดวงตาทั้งสองของนางอีกด้วย
“ยินดีต้อนรับกลับมา”
นางกรีดเช็ดหยดน้ำใสตรงหางตาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าว
“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าให้ซูเซียงเสวี่ยด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปที่หลีจิ่นเหยาที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ด้านข้างแล้วลูบศีรษะนางพร้อมกล่าวปลอบ
“แม่นางหลี หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
“ผู้อาวุโสไป๋ ข้าคิดว่าท่าน…”
หลีจิ่นเหยาปาดน้ำตาออกไป ก่อนกล่าวทั้งที่ยังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ข้าขอโทษ เป็นความผิดของข้าเองที่อ่อนแอเกินกว่าที่จะช่วยเหลือท่านไว้ได้”
“นั่นเป็นสถานที่ที่ข้าต้องการไปเอง เช่นนั้นจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานปลอบโยนนางก่อนกล่าวต่อไป
“เวลานั้นข้าปราศจากขั้นวิญญาณแท้จริง ข้าควรขอบคุณเจ้ามากกว่าที่อุตส่าห์พาขึ้นไปเหนือท้องฟ้า จนสามารถมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้นภายในยุคเผ่าเทพ… กล่าวกันตามตรง มวลมนุษยชาติควรขอบคุณเจ้า”
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่ายืนขวางประตู”
ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นก้าวออกมา ก่อนเหลือบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ย จากนั้นเบือนสายตาไปยังหลีจิ่นเหยาแล้วกล่าวว่า
“คืนนี้ รบกวนให้ท่านเจ้าสำนักซูและแม่สาวน้อยหลี อาศัยอยู่บนยอดเขาชีซิงของท่านอาจารย์ลุงเป็นการชั่วคราวก่อน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไว้ศิษย์จะขึ้นไปพบท่านอาจารย์อีกครั้งในภายหลัง เพื่อคำนับท่านอาจารย์ลุงอย่างเป็นทางการ”
แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงยังเห็นด้วย
“เช่นนี้ดีหรือไม่? ท่านเจ้าสำนักจี้”
“ไม่มีปัญหา”
สีหน้าของจี้หลิงอวิ๋นคล้ำเข้ม ถึงกระนั้นได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เจ้ายังไม่ได้ถามความคิดเห็นของข้าเลยด้วยซ้ำ!
ไป๋ชิวหรานได้ยินก็เบิกตากว้างทันที
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม ซูเซียงเสวี่ยจึงหันไปมองเขาพร้อมเอ่ยถาม
“ไม่สะดวกงั้นหรือ?”
“ย่อมต้องสะดวกอย่างแน่นอน”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานจึงตอบกลับ
“ตราบใดที่เจ้าไม่รังเกียจว่าจะต้องแออัดกันอยู่ภายในเรือนของบุรุษอกสามศอก…”
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้าเองก็อาศัยอยู่ที่นั่นมาตั้งนานแล้วนะ!”
ถังรั่วเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองอยู่ข้างหลัง
“ไปกันเถอะ เจ้าสำนักซู ศิษย์พี่หลี ข้าจะกลับไปจัดเตรียมห้องไว้ให้”
บ๊ะ! แม่นางผู้นี้ เหตุใดถึงหันศอกออกนอกตัว*[1] ไปเสียได้?
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซูเซียงเสวี่ยดันหลีจิ่นเหยาให้เดินเคียงข้าง ก่อนจะติดตามถังรั่วเวยออกไป
“แล้วบรรดาศิษย์ของเจ้าจะทำอย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานชี้ไปที่บรรดาศิษย์หญิงจากสำนักเหอฮวนตรงหน้าประตู แล้วตะโกนถามไล่หลัง
“สำหรับพวกนางที่เหลือ ข้าจะเป็นผู้รับรองเอง”
ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ ศิษย์พี่เจ้าสำนักของเราก็อยู่ที่นี่ทั้งคน ท่านอาจารย์ลุงอย่าได้กังวลไป เวลานี้กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ไป๋ชิวหรานหันศีรษะของเขามองตาม แน่นอนว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อที่กำลังเหยียบอยู่บนกระบี่บินนั้นร่างกายโอนเอนไปมา ก่อนจะเหาะทะยานขึ้นมาจากตีนเขาโดยมีวัชพืชติดอยู่บนศีรษะเต็มไปหมด
ครั้นเห็นไป๋ชิวหราน เขาตะลึงเพริดไปครู่หนึ่ง จากนั้นหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี
“โอ้ ท่านอาจารย์ลุง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
เขาโค้งกายผายมือให้กับไป๋ชิวหราน จากนั้นเช็ดน้ำตาและน้ำมูกบนใบหน้าออกพร้อมกล่าวต่อไป
“ในที่สุด ข้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเผ่าอสูรเหล่านั้นอีกต่อไป… เจ้าสำนักเหล่านั้นมาที่นี่เพื่อต้องการทำร้ายเราทางอ้อมเป็นแน่”
“ดูท่าทางน่าสังเวชดุจหมีป่าเช่นเจ้าสิ สมควรแล้วหรือที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก? ตามความคิดของข้าแล้วช่างไม่ต่างไปจากคนโง่เขลาสักนิด”
จี้หลิงอวิ๋นยกแขนขึ้นกอดอกพลางกล่าวเยาะเย้ย
“นั่นไม่เหมือนกันเสียหน่อย”
หัวใจของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อยังคงสั่นสะท้านไม่เข้ารูปเข้ารอย
“ถึงอย่างไรเจ้าสำนักซูก็มีฐานะเป็นถึงประมุขแห่งสำนักเหอฮวน”
“เช่นนั้นข้าเองก็มีฐานะเป็นประมุขแห่งสำนักอสูรสวรรค์ เจ้าคุกเข่าให้ข้าบ้างสิ”
จี้หลิงอวิ๋นชี้ไปที่พื้นตรงหน้าพร้อมกล่าว
“มา มา มาตรงนี้ ทำท่าทางเช่นเดียวกับที่เจ้าทำลงไปเมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง”
“เจ้าแตกต่างจากนาง”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าเองก็เป็นสตรี แตกต่างจากนางตรงไหน?”
จี้หลิงอวิ๋นถามกลับอย่างโกรธเคือง
“เจ้าหน้าตาน่าเกลียดกว่านาง”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อได้ทีรีบเย้ยหยัน
จี้หลิงอวิ๋นโกรธจัด เร่งรีบชักกระบี่สองเล่มออกมาทันที เวลานี้นางต้องการต่อสู้กับเจวี๋ยอวิ๋นจื่อสามร้อยครั้งให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อเห็นสิ่งนี้ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงจึงปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมา เพื่อระงับสติอารมณ์ของนางลง
“ท่านเจ้าสำนักจี้”
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งกับไป๋ชิวหรานนัก ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงจึงวางอำนาจได้ดังเดิม
“อย่าลืมเสียว่าที่แห่งนี้คือยอดเขาสูงสุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง”
จี้หลิงอวิ๋นเหลือบมองไปที่ไป๋ชิวหรานเล็กน้อย ก่อนจะยอมเก็บกระบี่ทั้งสองเข้าฝักตามเดิม
“ฮึ่ม! วันนี้เห็นแก่ใบหน้าของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงและผู้อาวุโสจู๋เฟิง”
ว่าแล้วนางก็เหลือบมองไปยังเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ
“ทว่าวันพรุ่งนี้เช้า เจ้าอย่าได้ออกไปไหนมาไหนตามลำพังก็แล้วกัน!”
“จะเป็นไรไป”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ถึงอย่างไรเจ้าโจมตีข้าสามครั้ง แต่นั่นก็เหมือนโจมตีเพียงครั้งเดียวอยู่แล้ว”
ไป๋ชิวหรานตบหลังเขา ด้วยเกรงฝีปากเมื่อครู่จะยั่วยุให้จี้หลิงอวิ๋นระงับโทสะไว้ไม่ได้แล้วสู้กันที่นี่… ชายหนุ่มหันมองไปที่ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิง แล้วถามไถ่เกี่ยวกับความคืบหน้า
“เจ้าสามารถข้ามผ่านความทุกข์แห่งห้วงนิพพานมาได้แล้วรึ?”
“ศิษย์ไร้พรสวรรค์ ต้องใช้เวลายาวนานหลายร้อยปีกว่าจะเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์มาได้”
จู๋เฟิงกล่าวด้วยรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดีที่เจ้าเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติมาได้ ในอนาคตยังเหลือเวลาอีกมาก มีความเป็นไปได้ว่าจะบรรลุผ่านอีกหลายระดับขั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“วันนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ท่านอาจารย์ลุงเดินช้า ๆ”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อ และผู้อาวุโสชิงอวิ๋นคำนับเขาโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงก็กล่าวอีกประโยคเพิ่มเติม
“วันหลังจู๋เฟิงจะไปเยี่ยมเยียนท่านอาจารย์ลุงเพื่อคำนับอย่างเป็นทางการ”
“ท่านอาจารย์ลุง”
ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นขันอาสา
“ให้ข้าพาท่านเดินทางกลับด้วยกระบี่บินดีหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานพลันโบกมืออย่างภาคภูมิใจ ก่อนกล่าวว่า
“ข้าจะให้เจ้าดูกระบี่บินของข้าเป็นขวัญตา”
ทันทีที่เขาออกคำสั่งเรียก ฉับพลันกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าพลันเลื่อนออกจากฝัก ก่อนจะหอบอุ้มร่างของชายหนุ่มขึ้น แล้วเหาะทะยานขึ้นไปกลางอากาศ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ผู้อาวุโสชิงอวิ๋น และแม้แต่จี้หลิงอวิ๋นยังถึงขั้นอ้าปากค้าง
“เป็นไปได้อย่างไร”
เมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของพวกเขา ไป๋ชิวหรานยิ่งรู้สึกภาคภูมิมากขึ้นไปอีก เขาเหยียบกระบี่บินและบังคับให้โฉบไปอยู่ตรงหน้าของบุคคลทั้งสามเบื้องล่าง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ไว้พบกันคราวหลัง”
สิ้นคำกล่าว ร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าคราม เหาะทะยานไปร่อนลงบนยอดเขาชีซิงโดยสวัสดิภาพ
หลังจากที่ไป๋ชิวหรานจากไป หลายคนยังคงตกตะลึงไม่หาย ไม่นานนักผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงก็ยื่นมือออกมากดปลายคางตนเองไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัด
“ขะ…ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่… ท่านอาจารย์ลุงกับกระบี่บินนั่น”
“ใช่ ข้าเองก็เห็นเช่นเดียวกันกับท่าน”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อบีบจมูกตนเอง พยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า
“ข้าอ่อนแอเกินไปแล้วจริง ๆ”
จี้หลิงอวิ๋นเพียงก้มศีรษะลงอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ผู้อาวุโสชิงอวิ๋นได้แต่กรีดร้องหลังจากยืนนิ่งเช่นเดิมเป็นเวลานาน
“ให้ตายสิ! ท่านอาจารย์ลุงใช้กระบี่บินได้แล้ว!”
[1] หันศอกออกนอกตัว เป็นการเปรียบเปรยว่าเห็นผู้อื่นดีกว่าคนกันเอง