ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 212 ข้าต้องการพลังชีวิตของเจ้า
บทที่ 212 ข้าต้องการพลังชีวิตของเจ้า
หลังจากแสดงกระบี่บินต่อหน้าบรรดาศิษย์น้องทั้งหลายแล้ว ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกภาคภูมิใจยิ่ง
จากนั้นเขาจึงย้อนกลับไปยังยอดเขาชีซิง แต่แล้วอารมณ์อิ่มเอมใจราวอยู่ท่ามกลางสายลมช่วงฤดูใบไม้ผลิพลันจางหายไปทันที เมื่อเห็นประตูลานกว้างหน้าเรือนตนเอง ความลังเลพลันผุดขึ้นมาในหัวใจ
เมื่อคิดถึงเรื่องของเจียงหลาน เขาไม่รู้ว่าควรพูดคุยกับซูเซียงเสวี่ยอย่างไรดี
ไม่ต้องกล่าวถึงซูเซียงเสวี่ยเพียงคนเดียว แม้แต่ถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยา เขายังรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่จะกล่าวถึง เมื่อสังเกตเห็นรูปลักษณ์ของแม่นางหลีแล้ว ไป๋ชิวหรานจำได้ว่านางเคยเป็นสตรีผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ทว่ายามนี้กลับมีสภาพโทรมไปจากเดิมเล็กน้อยเช่นนี้ นั่นคงย่อมเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลในความปลอดภัยของเขา รวมถึงการตำหนิตนเองที่อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลือ
แม้ว่าถังรั่วเวยไม่ได้กล่าวหรือแสดงออกโดยตรง ทว่าไป๋ชิวหรานยังสังเกตเห็นได้ว่าหลังจากที่เขาจากไป ศิษย์สายตรงผู้นี้ดูไม่ค่อยมีความสุขมากนัก
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินผ่านเข้าประตูไปแล้วบอกกล่าวนางด้วยรอยยิ้มว่า ‘โอ้ ข้าข้ามยุคสมัยไปพบกับอาจารย์หญิงของเจ้าแล้ว’ ถึงแม้ถังรั่วเวยจะเป็นเพียงศิษย์ ทว่านางก็คงโกรธเคืองไม่แพ้ผู้อื่น
ชายหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่หน้าประตูด้วยความลังเลอยู่นาน แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในเรือนได้ยินอย่างชัดเจน ซูเซียงเสวี่ยผลักประตูเปิดออกไป ก่อนจะดึงแขนเขาให้เข้ามา
ไป๋ชิวหรานถูกซูเซียงเสวี่ยลากเข้ามาในห้องโถงรับรอง หลีจิ่นเหยาก็อยู่ในห้องนั้นเช่นกัน ซูเซียงเสวี่ยต้มชาร้อนไว้พร้อมแล้ว หลังจากรินใส่ถ้วยให้ทั้งสองคน นางจึงเริ่มบรรเลงเพลงพิณด้วยตนเอง ปล่อยให้ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยากลอกตาไปมาอยู่อย่างนั้น
ทั้งสามคนนิ่งเงียบไปหลายชั่วยาม จนกระทั่งถังรั่วเวยเดินเข้ามา และเชื้อเชิญให้พวกเขาร่วมรับประทานอาหาร
ไป๋ชิวหรานเดินตามพวกนางไปยังโต๊ะอาหาร ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาเพื่อคีบอาหารจากในจาน ก่อนจะเหลือบมองลูกศิษย์ของเขาด้วยความประหลาดใจ
ฝีมือการปรุงอาหารของถังรั่วเวยนั้นรสชาติดีทีเดียว
คงต้องเท้าความก่อนว่า ก่อนที่ไป๋ชิวหรานจะจากไป เขาได้ตระเตรียมวัตถุดิบในการปรุงอาหารที่จำเป็นทั้งหมดไว้บนยอดเขาชีซิง แม้ว่าผู้ฝึกตนจะสามารถพึ่งพาปราณธรรมชาติเพื่อหลีกเลี่ยงการกินหรือดื่มเช่นปุถุชนทั่วไป ทว่าไม่คิดปฏิบัติต่อนางโดยการหักดิบเช่นนั้น
นอกจากนี้ ขั้นการฝึกตนของถังรั่วเวยในขณะนั้นยังไม่สูงมากพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อครั้งที่ถังรั่วเวยเพิ่งขึ้นมาฝึกตนบนยอดเขา เดิมทีไป๋ชิวหรานต้องการฝึกฝนศิษย์สายตรงผู้นี้ให้เป็นกุลสตรีที่ดี ขยันหยิบจับงานบ้านงานครัว เพื่อจะได้ปรนนิบัติอาจารย์เช่นเขาด้วยความกตัญญู ทว่าต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเสียหลังจากปล่อยให้ถังรั่วเวยปรุงอาหาร
องค์หญิงแห่งรัฐซ่างเสวียนที่เติบโตมาท่ามกลางเสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารชั้นเลิศ… คงไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเป็นแน่
เขาไม่คาดคิดว่าหลังจากที่จากไป เมื่อกลับมาแล้วถังรั่วเวยได้ฝึกฝนทักษะการทำอาหารจนดีขึ้นและเป็นที่ประจักษ์!
อันที่จริงแล้ว ศิษย์หญิงผู้หนึ่งถูกอาจารย์ทิ้งไว้ โดยปล่อยให้นางอาศัยอยู่ภายในเรือนตามลำพัง เงินหรือก็ไม่เพียงพอจะใช้จ่ายจึงจำเป็นต้องขลุกอยู่กับกองวัตถุดิบเท่านั้น
เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ถังรั่วเวยมีความนับถือตนเองสูงพอควร ไม่อยากออกไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาชิงหมิงเพื่อพึ่งพาปราณธรรมชาติแทนการกินดื่ม ดังนั้นทักษะการทำอาหารของนางจึงพัฒนาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ชายหนุ่มชื่นชมศิษย์ของตนสองสามคำ จากนั้นริเริ่มเปิดประเด็นการสนทนา ถามไถ่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้าง
หลังจากถามไถ่เบื้องต้น เขาถึงรู้ว่าผ่านมาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว นับตั้งแต่เขาและหลีจิ่นเหยาเข้าไปยังสุสานเหล่าทวยเทพ
ในช่วงระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรสลักสำคัญเกิดขึ้นที่ยิ่งใหญ่มากพอที่จะเขย่าโลกแห่งการฝึกตนทั้งใบ หลังจากที่เขาจากไป แม้ว่าจะยังคงมีความขัดแย้งเช่นเดิมระหว่างพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมกับพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร ทว่าก็เป็นเช่นในอดีต ทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักและรู้วิธีการยับยั้งตัวเอง
สำนักกระบี่ชิงหมิงยังได้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างศิษย์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกสิบปีโดยพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม ซึ่งสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขา ว่าหากไม่มีไป๋ชิวหรานอยู่ในสำนักอีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นจะยังเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของพันธมิตรฝ่ายธรรมอยู่หรือไม่
ซึ่งถังรั่วเวย และหลินฟานที่เป็นศิษย์สายตรงของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ต่างก็ประสบความสำเร็จในการแข่งขันในครั้งนี้
จากนั้นภายในสำนักกระบี่ชิงหมิง ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงที่เก็บตัวปลีกวิเวกอย่างสันโดษมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ก็สามารถเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์มาได้สำเร็จ จนกลายเป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นมหายาน และบรรลุไปสู่ขั้นเซียนได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
ในเวลาเดียวกัน ซูเซียงเสวี่ยที่เป็นผู้ฝึกตนฝ่ายมารก็ประสบความสำเร็จในการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหายนะใหญ่หลวงสำหรับผู้ฝึกตนฝ่ายมาร กระทั่งกลายเป็นผู้ฝึกตนฝ่ายมารอันดับสองรองจากหวงฝู่เฟิงที่บรรลุสู่ขั้นมหายานได้สำเร็จ
ถังรั่วเวยบรรลุสู่ขั้นปฐมวิญญาณ ส่วนหลีจิ่นเหยาที่มีไหวพริบเฉลียวฉลาดมากกว่า และมีพรสวรรค์ที่ไม่เลวร้ายไปกว่าไป๋ลี่ ได้บรรลุเข้าสู่ขั้นผสานร่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองไปที่หญิงสาว รู้สึกว่าตอนนี้เพียงรอเวลาอีกไม่นานนักจี้หลิงอวิ๋นอาจถูกนางโค่นอำนาจได้ในไม่ช้า!
เมื่อสนทนาถึงหัวข้อเหล่านี้ มื้ออาหารจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถังรั่วเวยกำลังทำความสะอาดล้างถ้วยจาน ซูเซียงเสวี่ยจึงเอ่ยถามไป๋ชิวหราน
“เจ้ามีสิ่งใดต้องการบอกกล่าวให้พวกเรารับรู้หรือไม่?”
ชายหนุ่มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าสังเกตเห็นจากการแสดงออกของเจ้า”
ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจ
“เจ้ามีความลับใดซ่อนเร้นอยู่กันแน่? ดูเหมือนมีบางสิ่งต้องการพูดทว่าไม่กล้า หากไม่ต้องการกล่าวถึงมัน เช่นนั้นก็ลืมไปเสีย”
ไป๋ชิวหรานเพียงโคลงศีรษะ และเผยรอยยิ้มอย่างโง่เขลา
ความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นภายในใจอีกครั้ง ซูเซียงเสวี่ยเป็นหญิงสาวที่รู้จักเขาดีที่สุดในยุคสมัยนี้
ชายหนุ่มรู้สึกว่าบางทีอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะบอกกล่าวให้พวกนางรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของเจียงหลาน…
ดังนั้นเขาจึงชงชาร้อนไปพลางระหว่างรอคอย หลังจากถังรั่วเวยใช้เวทคาถาล้างทำความสะอาดถ้วยจานจนเสร็จ เขาจึงเรียกพวกนางให้ไปรวมตัวกันยังห้องโถงรับรอง แล้วเล่าจนหมดเปลือกว่าข้ามไปสู่ยุคสมัยไหน ทำอะไรลงไปบ้าง รวมถึงเรื่องราวของเจียงหลาน ซึ่งบอกเล่าให้พวกนางรับทราบอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากรับฟังแล้ว ถังรั่วเวยนึกสับสนเล็กน้อย นางเหลือบมองไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบ และพบว่าซูเซียงเสวี่ยกับหลีจิ่นเหยาไม่ได้กล่าวคำใดออกมา
หลังจากที่ทั้งสองหยุดนิ่งไปชั่วครู่ หลีจิ่นเหยาจึงเหลือบมองไปที่ซูเซียงเสวี่ยเล็กน้อย ก่อนกล่าวออกมา
“ผู้อาวุโสไป๋ ขอเพียงท่านกลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”
“ใช่ ตราบใดที่เจ้ากลับมาก็ไม่เป็นไร”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวเสริม จากนั้นนางเหลือบมองไป๋ชิวหรานแวบหนึ่ง
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้รับพลังชีวิตมาเล่า?”
“ในตอนแรก เป็นเพียงการร่วมมือกันเพื่อสร้างภาพลักษณ์หลอกลวงจักรพรรดิตะวันออกไท่อี ซึ่งเป็นการแต่งงานในนามเท่านั้น…”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“หลังจากนั้นฐานะทางปุโรหิตของเจียงหลานถูกพรากไป สุขภาพกายของนางเริ่มย่ำแย่ลงทุกขณะ ข้าจึงไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
“เข้าใจแล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยพยักหน้า เพิ่งจะเผยรอยยิ้มออกมาได้
“นี่ก็ดึกมากแล้ว รั่วเวย โปรดพาพวกเราไปพักผ่อนทีเถอะ”
“อืม”
ถังรั่วเวยพยักหน้าอย่างเร่งรีบ
หญิงสาวทั้งสามเดินจากไปทีละคน ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังของซูเซียงเสวี่ย ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“นางดูโกรธนิดหน่อย”
“ดีแล้ว เพราะหากเป็นข้าคงโกรธมาก”
จื้อเซียนกล่าว
“นางอุตส่าห์ตามเทียวไล้เทียวขื่อเจ้ามาหลายร้อยปี ทว่าทันทีที่มีโอกาสเจ้ากลับหนีไปแต่งงานกับสตรีอื่น ผู้ใดบ้างจะไม่โกรธ?”
ไป๋ชิวหรานถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออก
“กล่าวถึงเรื่องนี้พอดี ข้าคิดว่าตัวข้าเองต้องการบางสิ่งที่ทำให้สามารถก้าวเดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง”
จื้อเซียนกล่าว
“ช่วยข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สลักกลไกเวทลงบนหัวกะโหลกของข้าทีเถอะ”
“เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงต้องการเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเองขึ้นมาล่ะ?”
ไป๋ชิวหรานตกตะลึง
“อย่าถามเลย ทำเพื่อข้าสักอย่างเป็นไร”
จื้อเซียนกล่าวกระตุ้น
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“อันที่จริงเคล็ดวิชาหลอมสร้างกายของข้าก็นับว่าพัฒนาขึ้นจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เช่นนั้นข้าควรช่วยเจ้าสร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมาใหม่ดีหรือไม่?”
“ข้าไม่ต้องการมันแล้ว ข้าเพียงต้องการเคลื่อนที่อย่างอิสระเท่านั้น”
จื้อเซียนตอบกลับ
“กายเนื้อเป็นสิ่งเปราะบาง ยากเกินกว่าจะรักษาให้คงอยู่ได้ตลอดไป”
“ก็ได้”
คำร้องขอของจื้อเซียนนั้นไม่ใช่สิ่งยากเย็น ภายใต้คำแนะนำของเขาไป๋ชิวหรานจึงใช้เวลาในการแกะสลักกลไกลงบนหน้าผากหัวกะโหลกของอีกฝ่ายเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
หลังจากที่มันสามารถเคลื่อนที่ได้แล้ว จื้อเซียนพลันลอยออกไปในสภาพโยกเยก
“เจ้าจะไปไหนรึ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“ข้าอยากออกไปเดินเล่นสักครู่”
จื้อเซียนตอบกลับ
“และคืนนี้ข้าคงไม่กลับมา”
“ก็ได้”
อย่างไรก็ตาม ที่แห่งนี้คือสำนักกระบี่ชิงหมิง จื้อเซียนไม่มีทางพบเจออันตรายใด ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเป็นแน่
ไป๋ชิวหรานปิดประตู แล้วเดินกลับไปที่เตียงไม้
ผ้าปูที่นอนบนเตียงสะอาดเอี่ยม น่าจะถูกถังรั่วเวยเปลี่ยนให้ใหม่ ทั้งยังมีกลิ่นหอมสดชื่นกำจายลอยออกมา
หญิงผู้นี้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากนัก
ขณะที่ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ล้มตัวลงนอนลงบนเตียง
ครั้นเวลาล่วงไปจนถึงเที่ยงคืน จู่ ๆ เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นจากหน้าห้องส่วนตัวของเขา
“บ้าเอ๊ย เจ้าบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับมามิใช่หรอกหรือ”
ไป๋ชิวหรานลุกขึ้นจากเตียงด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยไปเปิดประตูให้จื้อเซียนเข้ามา ทว่าเมื่อประตูเปิดออก กลับมีเพียงซูเซียงเสวี่ยที่ยืนอยู่…
“เอ่อ เซียงเสวี่ย”
ไป๋ชิวหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ความง่วงงุนก่อนหน้านี้สลายไปในบัดดล
“เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”
“เจ้ายังจำเงื่อนไขข้อที่สามที่ยังติดค้างข้าอยู่ได้หรือไม่?”
ซูเซียงเสวี่ยโน้มตัวเข้ามาใกล้เขายิ่งขึ้น พร้อมเอ่ยถามด้วยลมหายใจอันหอมกรุ่น
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“ดี”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวต่อไป
“ข้าต้องการพลังชีวิตของเจ้า”