ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 213 เกรงว่าในอนาคตต้องเรียกอาจารย์ป้าเสียแล้ว
บทที่ 213 เกรงว่าในอนาคตต้องเรียกอาจารย์ป้าเสียแล้ว
วันรุ่งขึ้น หลังรุ่งสาง ไป๋ชิวหรานถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงฆ้องและเสียงกลองที่ถูกตีอยู่ด้านนอกลานกระท่อม
เขาเหลือบมองไปรอบกายอย่างระมัดระวัง และพบว่าซูเซียงเสวี่ยยังคงนอนหลับอยู่ ดังนั้นเขาจึงคลุมผ้าห่มให้นางก่อนจะลุกจากเตียงอย่างแผ่วเบา
“อะไรกัน แห่มาทำอะไรกันที่นี่?”
ชายหนุ่มผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินออกไปยังประตูลานกระท่อม ครั้นเปิดประตูออกจึงพบว่าบรรดาผู้นำระดับสูงของสำนักกระบี่ชิงหมิง ตั้งแต่เจ้าสำนัก ผู้อาวุโสสูงสุด ไปจนถึงผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนยืนคอยอยู่ด้านนอกประตู ทั้งยังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาเพื่อเรียกสติ แล้วมองขึ้นไปยังแสงพร่ามัวบนท้องฟ้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้มันกี่โมงยามแล้ว?”
“เรียนท่านอาจารย์ลุง”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงโค้งคำนับ ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ขณะนี้เพิ่งจะสิ้นสุดยามอิ๋น*[1]”
“เจ้ารู้ด้วยรึว่าขณะนี้เพิ่งจะสิ้นสุดยามอิ๋น…”
ไป๋ชิวหรานปิดประตูกระท่อมแล้วเดินห่างออกมา ยกแขนขึ้นกอดอก มองบรรดาศิษย์รุ่นน้องที่ยืนรายล้อมกันเป็นวงกลม
“แล้วพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? เสียสติกันไปหมดแล้วหรือ? ฟ้ายังไม่ทันสางด้วยซ้ำ ผู้ใดกันจะตื่นนอนในเวลาเช่นนี้?”
“เรียนท่านอาจารย์ลุง”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อโค้งคำนับพร้อมประสานมือ แล้วกล่าวต่อไป
“ทว่าชั้นเรียนของบรรดาศิษย์ใหม่ทั้งหลายเริ่มต้นแล้ว…”
ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบประโยค ผู้พูดก็ถูกไป๋ชิวหรานวาดขาเตะจนกระเด็นลิ่วออกไปยังท้องฟ้าไกล เสียงกรีดร้องของเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงก้องกังวานไปทั่ว
นั่นเป็นเพราะบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักกระบี่ชิงหมิงล้วนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณกันทั้งสิ้น!
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณายังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ไป๋ชิวหรานหันกลับมามองผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพิลึก
“ข้าจะถามพวกเจ้าอีกครั้ง เจ้ามาทำอะไรกันที่นี่?”
ผู้อาวุโสทุกคนร่างกายสั่นสะท้าน ในช่วงเวลาคับขัน ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงที่มีวุฒิภาวะและจิตใจแข็งแกร่งที่สุดได้ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะมอบกล่องของกำนัลส่งให้เขาด้วยมือทั้งสองข้าง
“ที่พวกเรามารวมตัวกันในครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ลุงที่สามารถบรรลุผ่านไปได้อีกระดับขั้นหนึ่ง”
บรรลุผ่านอะไรกัน?
ไป๋ชิวหรานรู้สึกเศร้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ทว่าเขายังคงโบกมือและเอ่ยตอบ
“ข้ายังไม่บรรลุขั้นสร้างรากฐานเสียหน่อย”
ชายหนุ่มหันหลังกลับก่อนจะผลักประตูให้เปิดออก ทว่าศีรษะเล็ก ๆ ของหญิงสาวสองคนทั้งถังรั่วเวยและหลีจิ่นเหยาพลันชะโงกออกมาอย่างเงียบเชียบจากภายในกระท่อม
หญิงสาวทั้งสองยังไม่ได้จัดแต่งทรงผม เส้นผมจึงถูกปล่อยยาวสลาย ส่วนอีกคนมัดไว้เพียงหลวม ๆ ทั้งสองกวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนที่ถังรั่วเวยจะเอ่ยถามไป๋ชิวหราน
“อาจารย์ มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”
“เปล่า พวกเขาคือจู๋เฟิงและคนอื่น ๆ น่ะ”
ไป๋ชิวหรานโบกมือ ก่อนจะเหลือบมองผ่านไปข้างหลังหญิงสาวทั้งสอง พบว่าซูเซียงเสวี่ยเพิ่งผลักประตูห้องของเขาให้เปิดออกก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป
โชคดีเหลือเกินที่ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงและคนอื่น ๆ ด้านนอกดึงดูดความสนใจของถังรั่วเวยกับหลีจิ่นเหยา มิฉะนั้นหากหญิงสาวเหล่านี้เห็นซูเซียงเสวี่ยเดินออกมาจากห้องส่วนตัวของเขาแล้วล่ะก็… เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เขารำคาญใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่!
“ท่านอาจารย์ลุง โปรดอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด”
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสหกพลันตะโกนมาจากด้านหลังของไป๋ชิวหราน
“มีอะไร?”
ชายหนุ่มหันขวับกลับมามองพวกเขา
“ถึงแม่ท่านอาจารย์ลุงยังไม่สามารถบรรลุผ่านขั้นสร้างรากฐาน ถึงกระนั้นยังสามารถเหาะเหินเดินอากาศด้วยกระบี่บินได้แล้วมิใช่หรือ?”
ผู้อาวุโสหลิวอวิ๋นรีบก้าวไปข้างหน้า พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นพวกเราขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ลุง ที่สามารถฝึกฝนจนเหาะเหินเดินอากาศด้วยกระบี่บินได้สำเร็จ ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่น้องทั้งหลาย จริงหรือไม่?”
ผู้อาวุโสสูงสุดและบรรดาผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิงคนอื่น ๆ รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
“เป็นเจ้าเจ็ดที่ยังคงกล่าวถ้อยคำชวนฟังอยู่เสมอ”
กว่าไป๋ชิวหรานจะสามารถใช้กระบี่บินได้เช่นผู้ฝึกตนคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย จิตใจของเขามืดมนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินพวกเขารวมหัวกันสรรเสริญเช่นนี้ ท่าทีของเขาจึงเย็นชาลงยิ่งกว่าเก่าพร้อมกับกระแอมไอ
“เอาล่ะ นับว่าพวกเจ้ามีความกตัญญู…”
เขารับของกำนัลที่บรรดาผู้อาวุโสมอบให้ คนเหล่านี้หรือจะไม่ล่วงรู้ว่าการมอบสมบัติล้ำค่าให้กับเขาล้วนเปล่าประโยชน์ ถึงกระนั้นยังพยายามสรรหาสิ่งแปลกใหม่มามอบให้เป็นของกำนัลอยู่เป็นนิจเพื่อประจบเอาใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อรับของขวัญดังกล่าวมาแล้ว ผู้อาวุโสหกชิงอวิ๋นยังมอบแผ่นกระดาษบางอย่างให้เขาสองฉบับ
“สิ่งนี้เป็นของขวัญจากศิษย์พี่เจ้าสำนัก”
ขณะที่มอบของขวัญให้ไป๋ชิวหรานอีกชิ้นหนึ่ง เขาก็อธิบายด้วยเสียงต่ำ
“เขาคาดไว้แต่แรกอยู่แล้วว่าตนเองต้องถูกเฆี่ยนตีเป็นแน่ จึงฝากของสิ่งนี้ให้ข้าเป็นผู้ส่งมอบแทน”
“ยังดีที่เขารู้ความผิดตนเอง”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
ในเวลานี้ ชายหนุ่มรับของกำนัลมาเรียบร้อยแล้ว บรรดาผู้อาวุโสจึงทยอยคำนับลาทีละคน เพราะหลังจากตื่นขึ้นในยามเช้าตรู่ หลังจากนี้ยังมีเรื่องและภาระมากมายที่ต้องจัดการ
ทว่าขณะที่บรรดาผู้อาวุโสกำลังจะเดินทางกลับออกไป ผู้อาวุโสสี่ที่มีสายตาเฉียบแหลม เหลือบไปเห็นซูเซียงเสวี่ยเดินออกมาจากกระท่อมพอดิบพอดี
แม้ว่าเจ้าสำนักเหอฮวนผู้นี้จะมีพฤติกรรมอันเป็นสามัญ ในฐานะบุคคลที่สามารถบรรลุผ่านไปสู่ขั้นมหายานแล้ว แต่ผู้อาวุโสสี่ยังสามารถมองเห็นท่วงท่าการก้าวเดินที่ผิดแปลกไปของนางจนได้
ผู้อาวุโสสี่รีบก้มศีรษะลงต่ำเพื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ จากนั้นจึงหันกลับไปมองซูเซียงเสวี่ยอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก ด้วยคิดอยู่ชั่วครู่แล้วหันมองไปยังไป๋ชิวหรานด้วยสายตาคาดไม่ถึง
“หืม?”
ชายหนุ่มสังเกตเห็นการจ้องมองที่ผิดแปลกไปของเขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าสี่ เหตุใดสีหน้าถึงประหลาดเช่นนั้น? ตั้งใจจะวิ่งโร่ไปหาช่างเขียนมาเขียนภาพเพื่อขายตำราเล่มเล็กอีกแล้วรึ?”
“โอ้ ไม่ใช่เช่นนั้น”
ผู้อาวุโสสี่รีบงอท้องพร้อมส่ายหน้า
“จริงด้วย ท่านอาจารย์ลุง จู่ ๆ ศิษย์ก็รู้สึกปวดท้องเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะเผลอดื่มโอสถหมดอายุขัยจากเจ้าห้าเข้าไป ศิษย์ต้องขอตัวลากลับไปยังยอดเขาก่อน”
“อะไรกัน?!”
ผู้อาวุโสห้ารีบค้านขึ้นมาด้วยความโกรธเคือง
“เจ้าสี่กล่าวเรื่องไร้สาระ! เจ้าทันมาดื่มโอสถจากข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสสี่เพิกเฉยต่ออีกฝ่าย แล้วรีบขึ้นเหยียบกระบี่บินเหาะออกไปจากยอดเขาชีซิงทันที
บรรดาผู้อาวุโสจึงคำนับลาไป๋ชิวหรานทีละคนซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเหาะกลับไปยังยอดเขาชิงหมิง ทว่าเมื่อพวกเขาจวนจะถึงยอดเขาชิงหมิง กลับพบว่าผู้อาวุโสสี่ที่รีบร้อนจากไปก่อนผู้อื่น กำลังหลบซ่อนตัวอยู่บริเวณริมหน้าผาแห่งหนึ่ง แล้วกวักมือเรียกให้เข้าไปหา
“เจ้าสี่กำลังเล่นกลใดอยู่กันแน่?”
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกพิศวงงงงวย ถึงกระนั้นเขายังคงนำผู้อาวุโสคนอื่นร่อนลงไป
ทันทีที่พวกเขาลงสู่พื้นดิน ผู้อาวุโสสี่จึงออกมาจากที่ซ่อนเพื่อเปิดประเด็นสนทนากับบรรดาศิษย์พี่น้องและอาจารย์
“เหลือเชื่อยิ่งนัก ต้นรักเหล็กกำลังผลิบานอย่างแท้จริง!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงมองไปที่ลูกศิษย์ของเขา
“จงอธิบายให้ชัดเจนด้วย!”
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ศิษย์เพิ่งเห็น…”
ผู้อาวุโสสี่แบ่งปันการคาดเดาของตนเองกับสหายพี่น้องและอาจารย์ทันที
“เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?”
หลังจากฟังจบแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงมองลูกศิษย์ของเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง
“เจ้าสี่ หากในอนาคตไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจริงดังที่คาดเดา เจ้าต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง เพราะถ้าสันนิษฐานผิดพลาดขึ้นมา แสดงว่าเจ้ากำลังแพร่กระจายข่าวลือและสร้างปัญหาใหญ่ อีกทั้งคนผู้นั้นยังเป็นถึงท่านอาจารย์ลุงของพวกเรา ข้ากับเจวี๋ยอวิ๋นอาจต้องสั่งกักบริเวณเจ้าเพื่อเป็นการลงโทษ”
“ท่านอาจารย์ จากความรู้ความเข้าใจที่ศิษย์ได้ฝึกฝนอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลาหลายปี สิ่งที่ข้าเห็นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”
ผู้อาวุโสสี่รีบประสานมือก่อนกล่าวต่อ
“ท่าทางการเดินของเจ้าสำนักซู นับว่าผ่านคืนแรกแห่งพรหมจรรย์อย่างชัดเจน…”
“ศิษย์พี่สี่ช่างมากประสบการณ์”
ผู้อาวุโสเจ็ดเหลือบมองเขาด้วยความรังเกียจ
“ข้าเคยเห็นหมูวิ่ง ข้าสังเกตเห็นมาจากการวิ่งของหมูอย่างไรเล่า!”
ผู้อาวุโสสี่กระแอมไอสองครั้ง ยังคงกล่าวด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“ศิษย์น้องเจ็ด โปรดเกรงใจศิษย์พี่ด้วย ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องสังเกตสื่อต้นแบบสำหรับวาดเขียน…”
“หากเป็นเช่นนั้นจริง…”
ผู้อาวุโสหลายคนต่างหันมองหน้ากันด้วยความตื่นตระหนก บนหน้าผาที่พวกเขามีอยู่เงียบงันจนได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิว
“ทุกคน”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงกวาดสายตามองไปยังบรรดาผู้อาวุโสโดยรอบ
“บางทีพวกเราอาจ… กลายเป็นพยานครั้งประวัติศาสตร์ก็เป็นได้!”
เจตนารมณ์บางประการที่พ้องต้องตรงกันผุดขึ้นภายในหัวใจของบรรดาผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ชิงหมิง พวกเขาต่างพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“แต่ท่านอาจารย์…”
ผู้อาวุโสสองยังคงลังเล
“กล่าวถึงเรื่องนี้ เช่นนั้นเจ้าสำนักซูแห่งสำนักเหอฮวนก็นับเป็นท่านอาจารย์ป้าของเราไม่ใช่หรือ? หลังจากนี้ไปเราควรเปลี่ยนคำเรียกขานเมื่อพบเจอนางหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น”
ผู้อาวุโสสูงสุดจู๋เฟิงไม่เห็นด้วย
“เจ้าเพียงจดจำไว้เป็นพอ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนคำเรียกขานนางใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะหากพลั้งปากเรียกขานโดยที่นางไม่ยินยอม เกรงว่าอาจถูกท่านอาจารย์ลุงทุบตีกันเสียทั้งหมด แต่หลังจากนี้ทุกครั้งที่ได้พบกับเจ้าสำนักซู พวกเราต้องกล่าววาจาสุภาพยิ่งขึ้น และปฏิบัติเสมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหาย เข้าใจหรือไม่?”
[1] ยามอิ๋น เวลาประมาณ 03.00 – 04.59 น.