ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 214 เจ้าเป็นที่ต้องการตัว
บทที่ 214 เจ้าเป็นที่ต้องการตัว
เนื่องจากถูกบรรดาผู้นำอาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่ชิงหมิงรบกวนตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้หญิงสาวทั้งสามไม่ง่วงงุนอีกต่อไป ดังนั้นพวกนางจึงแยกย้ายกันไปจัดการความสะอาดเรียบร้อยของตนเอง และมารวมตัวกันเพื่อดูไป๋ชิวหรานแกะกล่องของกำนัล
ไป๋ชิวหรานเปิดกล่องที่ได้รับมาออก จึงพบว่ามีสมุนไพรหลายชนิดอยู่ภายในกล่องนั้นมากมาย ซึ่งของของผู้อาวุโสแต่ละคนจะมีหนึ่งถึงสองอย่าง เมื่อรวมกันแล้วทั้งหมดล้วนเป็นส่วนผสมของการกลั่นโอสถอายุวัฒนะ
ไป๋ชิวหรานต้องการสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลานาน อีกทั้งยังติดหนี้ชีวิตของตนเองกับเชวียหลิงเป็นเวลาสามสิบปี เขาจึงจำเป็นต้องกินโอสถอายุวัฒนะเพื่อชดเชย
ลูกศิษย์เหล่านี้ช่างกตัญญูรู้คุณเสียจริง
เขาไม่รอช้านำสมุนไพรเหล่านี้โยนลงไปในหม้อต้มโอสถเพื่อกลั่นโอสถอายุวัฒนะทันที หลังจากนั้นประมาณสองถึงสามวัน ไป๋ชิวหรานก็พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปยังมหาวิหารฝูซางเพื่อตามหาเจียงหลาน
ชายหนุ่มตั้งใจจะพาถังรั่วเวยให้ไปทำความรู้จักกับภรรยาในยุคสมัยอดีตของเขา ทว่าก่อนจะเดินทางออกไปยังได้ถามความคิดเห็นจากซูเซียงเสวี่ยก่อน
เป็นผลให้ไม่เพียงซูเซียงเสวี่ยเท่านั้นที่ยืนกรานจะติดตามไป เพราะหลีจิ่นเหยาเองก็อยากไปยังมหาวิหารฝูซาง โดยใช้เหตุผลว่าต้องการเห็นกับตาของตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงรอคอยต่อไปอีกสองสามวัน รอให้ซูเซียงเสวี่ยพาบรรดาศิษย์กลับยังสำนักให้สิ้นธุระเสียก่อน และฝากกิจการภายในสำนักไว้ให้โหยวเหมยเฉียวศิษย์สายตรงดูแลแทนชั่วคราว รวมถึงรอให้หลีจิ่นเหยากลับไปยังสำนักอสูรสวรรค์เพื่อขออนุญาตจากจี้หลิงอวิ๋นก่อนออกเดินทางไกล
หลังจากทุกคนรวมตัวกันพร้อมหน้า ไป๋ชิวหรานก็พาพวกนางทั้งสามเดินทางไปสู่โลกมาร
หลังจากการสวรรคตของบรรพบุรุษจักรพรรดิอสูรองค์แรก มหาสมุทรในแถบที่อยู่ใกล้เคียงกับแผ่นดินเผ่าอสูรคล้ายจะสูญเสียการกำราบจากผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ทำให้ในพื้นที่ทะเลที่เดิมเคยเดินเรือผ่านไปได้โดยง่าย กลับเต็มไปด้วยสัตว์อสูรทะเลทรงพลังที่อยู่เหนือขั้นผสานร่างขึ้นไป ขัดขวางการสัญจรผ่านของบรรดาเรือพ่อค้าเผ่าอสูร
จักรพรรดิอสูรองค์ปัจจุบันที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของซูเซียงเสวี่ย และอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนจัดให้มีการล่าเพื่อควบคุมประชากรของพวกมันขึ้นบ่อยครั้ง ทว่าสัตว์อสูรทะเลที่มีพลังเทียบได้กับขั้นเซียนปฐพียังคงปรากฏตัวขึ้นกลางมหาสมุทรเรื่อยไป ด้วยความแข็งแกร่งของโลกมารในปัจจุบันแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรทะเลประเภทนั้นได้เสียที
เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น จักรพรรดิอสูรจึงทำได้เพียงออกคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือใหม่ทั้งหมด เวลานี้บรรดาเรือสินค้าของเผ่าอสูรเกือบทุกลำ ล้วนแล่นเลียบเลาะไปตามชายฝั่ง
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าไป๋ชิวหรานและผู้ติดตามต้องการเดินทางไปยังมหาวิหารฝูซางที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของทะเล กองเรือของเผ่าอสูรเหล่านี้ต่างปฏิเสธที่จะเดินเรือไปที่นั่นจึงเหลือเพียงทางเลือกสุดท้าย ไป๋ชิวหรานจำเป็นต้องซื้อเรือเดินสมุทรจากชายฝั่งตะวันออกของโลกมาร ก่อนจะขับเคลื่อนด้วยตนเองไปยังสถานที่เก่าแก่ที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางเคยตั้งอยู่
ห่างออกจากชายฝั่งสู่มหาสมุทรเพียงไม่ไกล ภายใต้เกลียวคลื่นเหนือผืนน้ำ ร่างเงาขนาดยักษ์ที่แผ่รัศมีความอันตรายเคลื่อนผ่านไปต่อหน้าต่อตา
“ทะเลแห่งนี้ให้ความรู้สึกอันตรายยิ่งนัก…”
ถังรั่วเวยพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือดขณะมองไปที่ครีบหลังที่มีลักษณะคล้ายใบมีดคมกริบที่โผล่ออกมาจากผืนน้ำ
“กลัวหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เราอยู่กันกลางทะเลเช่นนี้”
ถังรั่วเวยพยักพเยิดคางตนเองไปยังเกลียวคลื่นด้านล่าง
“ในแง่ของการต่อสู้ทางน้ำ สัตว์อสูรทะเลย่อมได้เปรียบกว่าเราอย่างไม่ต้องสงสัย”
“อย่ากังวลไป”
ชายหนุ่มดึงร่างนางกลับเข้ามาจากบริเวณด้านข้างของลำเรือ
“หากรู้สึกไม่มั่นใจก็อย่าชะโงกมองเลย”
สัตว์อสูรทะเลที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงลำเรือของเขา เคยถูกกดขี่และปราบปรามโดยมังกรจักรพรรดิอสูรองค์แรก ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากนัก สัตว์อสูรทะเลที่ว่ายเข้ามาประชิดอยู่ใต้ท้องเรือได้แต่ว่ายวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะว่ายจากไปโดยไม่แยแส
เรือยังคงเดินหน้าต่อไป จนในที่สุดได้พบกับสัตว์อสูรทะเลที่ทรงพลังยิ่ง ซึ่งความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนปฐพี มันกำลังว่ายวนอยู่บริเวณชายทะเล!
แขนและขาของสัตว์อสูรทะเลตัวนี้มีพังผืด ทว่ามีศีรษะเป็นเสือ ขนาดลำตัวใหญ่โตมหาศาล ประหนึ่งภูเขาที่โผล่พ้นผิวน้ำและลอยตระหง่านอยู่กลางทะเล สามารถเรียกฟ้าฝนและลมพายุได้ มันมีพลังต่ำกว่ามังกรบรรพบุรุษจักรพรรดิอสูรองค์แรกเพียงเล็กน้อย
“ประเดี๋ยวข้ารับมือกับมันเอง”
เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานกำลังตั้งท่าเตรียมชักกระบี่ออกมา ทว่าซูเซียงเสวี่ยกลับโพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“ขอให้ข้าได้ทดลองใช้พลังร่างจำแลงเสียหน่อย”
ไป๋ชิวหรานไม่คิดปฏิเสธความตั้งใจของสตรีแต่อย่างใด หลังจากอนุญาตนางแล้ว แผ่นหลังของซูเซียงเสวี่ยพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที ก่อนที่หญิงสาวอีกคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับนางจะปรากฏตัวขึ้นในแสงสว่างนั้น ทว่าหญิงสาวนางนี้มีเส้นผมยาวสลวยเป็นสีขาวราวหิมะ ทั้งยังมีเขาดุจมังกรงอกออกมาจากศีรษะ เกล็ดมังกรที่มีสีขาวราวหิมะเช่นกันผุดขึ้นตามข้อมือและลำคอ
ทันทีที่ลืมตาโพลงจนรูม่านตาสีขาวเปิดออกกว้าง นางพลันกลายร่างเป็นมังกรเผือกที่มีเก้าเศียรพร้อมด้วยปีกยักษ์อีกหนึ่งคู่ ก่อนจะโผทะยานออกไป ลัดเลาะไปตามพายุลมฝนฟ้าคะนอง แล้วต่อสู้กับสัตว์อสูรทะเลทรงพลังตัวนั้น!
แม้ว่าขั้นการฝึกตนของนางจะด้อยกว่าคู่ต่อสู้เล็กน้อย ทว่าซูเซียงเสวี่ยนับว่าได้เปรียบที่ครอบครองพลังเหนือธรรมชาติ ประกอบกับเรียนรู้วิชาคาถา พร้อมด้วยการฝึกตน ตรงข้ามกับสัตว์อสูรทะเลที่มีเพียงสัญชาตญาณอันดุร้าย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ฉับพลันมังกรเผือกเก้าเศียรพ่นลมพายุออกมาเป็นน้ำค้างแข็ง สายฝนเย็นเยียบ และหิมะหนาวเหน็บ ในไม่ช้าร่างของสัตว์อสูรทะเลถูกแช่แข็งค้างไป ก่อนจะถูกนางฉีกหัวจรดหางออกเป็นชิ้น ๆ
เลือดของสัตว์อสูรทะเลย้อมพื้นที่ขนาดใหญ่ของมหาสมุทรจนกลายเป็นสีแดงฉานเหนือผิวน้ำ ชิ้นเนื้อมากมายที่ถูกแช่แข็งกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งลอยเข้ามาใกล้บริเวณลำเรือ หลีจิ่นเหยาชักมีดสองเล่มออกมาแล้วทุบภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่เหล่านี้ให้แหลกเป็นชิ้นเล็ก ขณะที่ไป๋ชิวหรานกวาดสายตามองเพียงครู่ แล้วฉกฉวยเนื้ออย่างดีสองสามชิ้น จากนั้นโยนมันลงไปในถุงเก็บสมบัติ
“อาจารย์ ท่านทำอะไรน่ะ?”
เมื่อเห็นการกระทำของเขา ถังรั่วเวยจึงเอ่ยถาม
“ข้าเคยกินเนื้อสัตว์อสูรทะเลชนิดนี้ในงานเลี้ยงบนปราสาทสวรรค์สมัยในยุคเผ่าเทพ”
ชายหนุ่มกล่าว
“แม้ว่าเนื้อของมันที่ยังดิบจะมีรสเปรี้ยว แต่ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะที่หายาก เจ้าสามารถเก็บเอาไว้ได้ ภายหลังเพียงนำไปปรุงให้สุกก็สามารถกินได้แล้ว”
สัตว์อสูรทะเลชนิดนี้เป็นหนึ่งในอาหารไม่กี่อย่างที่ถูกตระเตรียมไว้ในงานเลี้ยงบนปราสาทสวรรค์ ขณะนั้นรสชาติอันเป็นที่นิยมชมชอบของเทพเจ้าในยุคนั้นช่างห่างไกลจากความชอบส่วนตัวของไป๋ชิวหราน เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับอาหารที่ยังสด ๆ ดิบ ๆ มีเลือดซึมออกมาว่าเป็นอาหารเลิศรส
ดังนั้นเมื่อไป๋ชิวหรานและเจียงหลานจำเป็นต้องไปร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ อาหารประเภทนี้ที่จำเป็นต้องปรุงให้สุกเสียก่อนด้วยไม่อาจกินดิบได้ นั่นจึงกลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาสามารถกินได้จากไม่กี่อย่าง ซึ่งไป๋ชิวหรานจดจำได้อย่างชัดเจน
ซูเซียงเสวี่ยถอนร่างจำแลงกลับมา ก่อนจะทอดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมขมวดคิ้ว
“น่าแปลกเสียจริง สัตว์อสูรทะเลก็ตายตกไปแล้ว เหตุใดพายุถึงยังไม่สงบไปอีกเล่า?”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตามเช่นกัน หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง เขากลับขมวดคิ้วพร้อมกล่าวตอบ
“คงมีใครบางคนควบคุมพายุลูกนี้อยู่กระมัง?”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบได้เพียงไม่นาน หลีจิ่นเหยาพลันชี้ไปยังตำแหน่งของพายุมรสุมแล้วร้องตะโกน
“ดูสิ มีเรืออยู่ที่นั่น!”
ทุกคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน และพบว่าท่ามกลางคลื่นยักษ์ตรงหน้า เรือใบสีดำขนาดใหญ่ลำหนึ่งแล่นออกมาจากภายใน เดินเรือไปตามกระแสลมและเกลียวคลื่นที่ซัดสาด เบื้องหลังเรือใบยังมีเรือขนาดต่างกันจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนฉาบทาไว้ด้วยสีดำเข้มกำลังเดินหน้าไปตามแนวมหาสมุทรเรื่อย ๆ
เห็นได้ชัดว่ากองเรือเหล่านั้นกำลังมุ่งเป้ามาที่พวกเขา!
ไป๋ชิวหรานโค้งคำนับกองเรือ ก่อนตะโกนออกไปด้วยเสียงดังลั่น
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าพวกท่านเป็นใครกัน?”
เสียงของเขาทะลุผ่านลมและฝน หลังจากนั้นไม่นาน ไฟวิญญาณสีเขียวดวงหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนกองเรือทันที
“อะไรกัน?”
ครั้นเห็นฉากตรงหน้า ไป๋ชิวหรานตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาได้สติและกล่าว
“เรือวิญญาณงั้นรึ?”
“เป็นข้าเอง”
สุ้มเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น จากนั้นกองเรือเร่งความเร็วโดยพร้อมเพรียงกัน เคลื่อนเข้ามาใกล้ลำเรือของไป๋ชิวหรานอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมองเห็นในแวบเดียวว่าบนเรือเหล่านั้นเต็มไปด้วยวิญญาณผิวกายซีดขาวในชุดดำขาว ขณะที่บนหัวเรือใหญ่ปรากฏร่างของเชวียหลิงยืนตระหง่านอยู่พร้อมด้วยหมิงอิง ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจรองลงมาจากเขา
ปราณวิญญาณในสถานที่นั้นผันผวนรุนแรงยิ่งจนสามารถบีบพายุลมฝนให้ทวีความรุนแรง แม้แต่หญิงสาวทั้งสอง และซูเซียงเสวี่ยที่มองไม่เห็นพวกเขาในตอนแรก กลับสามารถมองเห็นปราณวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนในขณะนี้!
“ชิวหราน พวกเขาเป็นใครกัน?”
ซูเซียงเสวี่ยถาม
“ยมทูต”
ชายหนุ่มตอบกลับขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่เชวียหลิง
“อะไรกัน? พวกเจ้ายกทัพมาถึงที่นี่เพื่อตามหาข้าอย่างนั้นหรือ? ขอโทษด้วย แต่ข้าสามารถสร้างขั้นวิญญาณแท้จริงชดเชยอายุขัยที่สูญเสียไปได้แล้ว ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นภายในระบบยมโลกของเจ้า ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด”
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”
เชวียหลิงที่ยืนอยู่บนมุมหัวเรือกล่าวตอบ
“ข้ามาที่นี่เพราะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เจ้าต้องการฟังข่าวใดก่อนล่ะ?”
“อืม… ข่าวดีก่อนก็แล้วกัน”
“ข่าวดีคือ ชื่อของเจ้าสูญหายไปจากสมุดแห่งชีวิตและความตายอย่างถาวรแล้ว”
เชวียหลิงตอบกลับ
“เช่นนั้นเจ้าจะพาคนของตนเองมาขวางทางข้าด้วยเหตุใดกัน?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม
“แล้วข่าวร้ายคืออะไร?”
“ข่าวร้ายคือ รายชื่อของเจ้ากลับไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายการบุคคลที่ยมโลกต้องการตัวสูงสุด เราไม่อาจสืบทราบได้ว่าผู้ใดเป็นคนริเริ่มประกาศจับกันแน่ แต่เรื่องนี้ถือเป็นเหตุฉุกเฉินเฉพาะกิจระดับสูง มีผลต่อความมั่นคงทั้งหมดของสวรรค์และโลก”
!!!
เชวียหลิงกล่าวตอบไป๋ชิวหราน
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ช่วยอธิบายให้กระจ่างทีได้หรือไม่ ว่าการที่ข้ากลายเป็นผู้ที่ยมโลกต้องการตัวภายในชั่วข้ามคืนเป็นเพราะเหตุใดกันแน่?”
“เป็นเพราะไม่เคยมีบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์คนใดที่มีความแข็งแกร่งถึงระดับที่เจ้าเป็นอยู่”
เชวียหลิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายประกอบ
“อย่างไรก็ตาม มีชายผู้หนึ่งที่ด้อยกว่าเจ้าเพียงเล็กน้อย เขาพยายามลอบสังหารจักรพรรดิเซียนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน หลังจากการลอบสังหารล้มเหลว เขาจึงบุกเข้าไปในพระราชวังของจักรพรรดิเซียนเพื่อย่ำยีบรรดานางสนม แต่เมื่อประสบความล้มเหลวอีกครั้งได้หลบหนีไปทางตะวันออก สุดเขตแดนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อก่อสงคราม ในที่สุดก็พ่ายแพ้ ดวงวิญญาณของเขาหลบหนีไปยังโลกอื่น ๆ ก่อนที่ยมทูตที่รับผิดชอบดูแลดินแดนแห่งนั้นจะออกไล่ล่าจนสามารถจับกุมและกักขังเขาไว้ในขุมนรก ที่ซึ่งเขาจะไม่มีวันกลับออกมาได้อีก”
“ดังนั้น…”
ไป๋ชิวหรานมองอีกฝ่าย
“ดังนั้น ต้องขอโทษด้วย”
เชวียหลิงโบกโซ่ในมือพร้อมตะโกนลั่น
“ทุกคนจงปฏิบัติตามคำสั่ง! จับกุมตัวเขาให้ข้า!”