ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 215 ฝูซาง
บทที่ 215 ฝูซาง
ไป๋ชิวหรานโบกมือเรียกกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าออกมา ใช้กระแสน้ำในมหาสมุทรเพื่อดูดบรรดากองเรือของยมโลกขึ้นสู่ท้องฟ้า
ที่แห่งนั้น น้ำทะเลมากมายมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดพลันกลายเป็นสถานจองจำน้ำขนาดใหญ่ที่แขวนห้อยอยู่กลางอากาศภายใต้การควบคุมของเขา กักขังกองกำลังวิญญาณจากยมโลกทั้งหมดไว้ในนั้น!
น้ำทะเลมหาศาลปิดกั้นวิญญาณเหล่านั้นไว้ภายในและกักขังไม่ให้พวกเขาออกมาได้ เนื่องจากวิญญาณไม่จำเป็นต้องหายใจ ไป๋ชิวหรานจึงไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะจมน้ำตายแต่อย่างใด
“นี่คือพลังอำนาจแท้จริงของมันหรือ?”
หญิงสาวอีกสามคนถึงขั้นอ้าปากค้าง พลางชี้ไปยังกระบี่ยาวสีฟ้าครามในมือของชายหนุ่ม
“อันที่จริง เพื่อที่จะต้านทานพลังของพวกเขาไว้ได้ เกรงว่าคงมีเพียงยุทธภัณฑ์เวทดังกล่าวที่ถูกขัดเกลาขึ้นโดยอำนาจของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำได้”
“แต่ชิวหราน”
ซูเซียงเสวี่ยถามไถ่อีกครั้ง
“เหตุใดคนจากยมโลกถึงตามรังควานสร้างปัญหาให้กับเจ้า? ไปทำสิ่งใดผิดมาหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกิจการของยมโลก”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“แต่พอจะคาดเดาได้ว่าใครเป็นผู้ที่แจ้งความจำนงว่าต้องการตัวข้า”
“ใครกัน?”
ถังรั่วเวยและหลีจิ่นเหยารีบถามไถ่ด้วยความสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
“จะเป็นใครอื่นไปได้อีกล่ะ?”
จื้อเซียนเลื่อนหัวกะโหลกตัวเองขึ้นมาจากเข็มขัดของไป๋ชิวหราน แล้วกล่าวด้วยท่าทางโยกเยกไปมา
“นอกจากเจ้าวิถีสวรรค์นั่น”
ทันทีที่เสียงของเขาจางหายไป อสนีบาตก็ปล่อยลำแสงวูบวาบอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่สายฟ้าจะระเบิดออกเสียงดังกัมปนาท ทว่าเมื่อไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้นมอง สายฟ้านั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“รับรู้ไว้เถิด รายนั้นทำได้เพียงกลั่นแกล้งด้วยวิธีน่ารำคาญเช่นนี้แหละ”
จื้อเซียนกล่าวเย้ยหยัน
“เช่นนั้นเจ้าจะจัดการกับวิญญาณเหล่านี้อย่างไร?”
ซูเซียงเสวี่ยยังคงตั้งคำถาม
“หากเจ้าสังหารพวกเขาโดยพลการ เกรงว่าจะเป็นการทำลายระบบระเบียบของสวรรค์และโลก”
“ข้าไม่สังหารพวกเขาหรอก”
ยมโลกทั้งหมดถูกชายหนุ่มสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรก ไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทางสังหารดวงวิญญาณเหล่านี้ เพราะการทำเช่นนั้นเทียบเท่ากับการทำลายสิ่งที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือตนเอง!
เขาเงยหน้าขึ้นพลางมองเข้าไปภายในสถานที่จองจำน้ำ เชวียหลิงบังเอิญลอยอยู่เหนือสถานที่จองจำน้ำ ครั้นเห็นว่าไป๋ชิวหรานมองมาทางนี้ ยมทูตใบหน้าเย็นชาจึงใช้กำลังทุบผนังที่สร้างขึ้นจากน้ำทะเล พร้อมตะโกนส่งเสียงออกมา
“ปล่อยข้าไปเถอะ ยังมีวิญญาณอีกหลายพันดวงที่ติดอยู่ในนี้พร้อมกับข้า”
“เช่นนั้นหากปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ แล้วเจ้ายังต้องการจับกุมตัวข้าอยู่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานถามกลับ
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ”
เชวียหลิงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับรายการบุคคลที่ยมโลกต้องการตัวมากที่สุด”
“เช่นนั้นข้าเองก็ไม่มีทางเลือก”
ไป๋ชิวหรานส่ายหน้า
“อย่างน้อยก็จนกว่าข้าและภรรยาจะได้พบเจอกัน ขอโทษที่ต้องกักขังให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“ทำเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
เชวียหลิงเริ่มขึ้นเสียง
“เจ้าไม่รู้หรือว่าในแต่ละวันเราต้องจัดการกับวิญญาณคนตายกี่ตน?”
“หมายถึงข้าด้วยใช่หรือไม่?”
“แน่นอน”
ชายหนุ่มเริ่มสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือไม่ในขณะที่เขาสร้างยมโลก
เขาไม่เคยเห็นท่าทีแข็งกระด้างเช่นนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเชวียหลิงจะไร้ความยืดหยุ่นเป็นประหนึ่งหุ่นบังคับ
“ไม่มีทางเสียหรอก”
ไป๋ชิวหรานผายมือไปหาเชวียหลิงพร้อมกล่าวว่า
“อย่างไรก็ตาม ข้ารู้จักยมโลกเป็นอย่างดี ชายหาดที่อยู่ติดกับแม่น้ำแห่งความตายนั้นมีขนาดกว้างขวางไม่น้อย ปล่อยให้วิญญาณเหล่านั้นวิ่งเล่นอยู่ตามริมชายหาดสักสองสามวันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าชายหาดริมแม่น้ำแห่งความตายมีขนาดกว้างขวาง?”
เชวียหลิงถามกลับ
ไป๋ชิวหรานเพิกเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย บรรดาดวงวิญญาณต่างส่งเสียงร้องระงม ก่อนที่เขาจะขอให้ซูเซียงเสวี่ยช่วยหันหัวเรือกลับไปอีกทาง เพื่อเดินเรือต่อไปข้างหน้ายังทิศที่ตั้งของฝูซาง
“ปล่อยพวกเขาไว้เช่นนี้จะดีหรือ?”
ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยควบคุมหันหัวเรือ ถังรั่วเวยหันศีรษะกลับไปมองดูเหล่าวิญญาณที่ถูกขังอยู่ภายในสถานที่ของลำน้ำ
“ไม่เป็นไร ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
ไป๋ชิวหรานแสร้งเพิกเฉยต่อเชวียหลิงและคนอื่น ๆ
“พวกเขาไม่ใช่วิญญาณกลุ่มเดียวที่อาศัยอยู่ในยมโลก อีกทั้งข้าพอรู้มาบ้างว่าชายหาดริมแม่น้ำแห่งความตายนั้นกว้างใหญ่เพียงใด”
เป็นผลให้เมื่อเรือเริ่มเคลื่อนที่ไปด้านหน้า เชวียหลิงพลันหยุดพวกเขาไว้ด้วยเสียงเรียกอีกครั้ง
“ช้าก่อน! ข้าจะไม่จับกุมเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
เชวียหลิงตะโกนไปทางไป๋ชิวหราน
“เป็นอะไรไป?”
ชายหนุ่มขอให้ซูเซียงเสวี่ยหยุดเดินเรือ เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า
“นี่ดูไม่ใช่วิถีทางของเจ้าเอาเสียที่จะต่อรองโดยละมุนละม่อมเช่นนี้”
“ครู่นี้ เจ้าหน้าที่จากโลกเซียนออกคำสั่งเพิกถอนประกาศจับตัวเจ้าแล้ว”
เชวียหลิงหยุดชะงักไปชั่วครู่ และเอ่ยถาม
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้ามีสายสัมพันธ์อยู่ภายในโลกเซียนด้วย… กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เสียตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วโคลงศีรษะ
“อาจไม่ใช่ฝีมือของคนที่ข้ารู้จักก็เป็นได้”
“ถึงอย่างไรก็เถอะ ปล่อยพวกเราไปเสีย”
เชวียหลิงกล่าวกระตุ้น
“มีเหตุฉุกเฉินบางอย่างเกิดขึ้นในยมโลก”
ไป๋ชิวหรานเหลือบมองพวกเขาเพียงเล็กน้อย ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นแล้วฟาดฟันลงมา
“ผู้อาวุโสไป๋”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลีจิ่นเหยาจึงอดถามเขาไม่ได้
“ท่านไม่กลัวว่าพวกเขาจะกลับกลอกคืนคำหรือ?”
“แน่นอนว่าเขาอาจกลับคำก็เป็นได้”
ชายหนุ่มส่ายหน้า
“ทว่ายมทูตเช่นเชวียหลิง ไม่เคยมีนิสัยพูดสิ่งหนึ่งและกระทำอีกสิ่งหนึ่งมาก่อน”
แน่นอนว่าหลังจากที่ตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป เชวียหลิงก็นำวิญญาณใต้บังคับบัญชาอันตรธานหายไปสู่ความว่างเปล่าโดยไม่หันมากล่าวอะไรสักคำ ทันทีที่ฝ่ายนั้นจากไป พายุมรสุมก็สลายตามไปด้วย แม้แต่สัตว์อสูรทะเลร่างยักษ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงยังหวาดกลัว พากันแหวกว่ายหนีเปิดเส้นทางให้ไป๋ชิวหรานแต่โดยดี…
ไป๋ชิวหรานและผู้ติดตามของเขายังคงเดินทางต่อไป ภายใต้การคุ้มครองของกระบี่วารีสารทกระจ่างฟ้าที่ครอบครองพลังแห่งท้องทะเล พวกเขาจึงสามารถเดินทางมาถึงฝูซางอย่างราบรื่นโดยไม่ถูกสัตว์อสูรทะเลรบกวน
หมู่เกาะฝูซางทั้งสี่ยังคงมีขนาดใหญ่โตเฉกเช่นเดียวกันกับที่เคยพบเห็น มีเพียงบริเวณชายฝั่งเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ส่วนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางที่ควรยืนตนตระหง่านอยู่เหนือเกาะนี้กลับไม่มีอยู่แล้ว
พวกเขาจอดเรือเทียบท่ากับหมู่เกาะแห่งหนึ่งของฝูซาง น่าประหลาดใจไม่น้อยที่ท่าเรือในแถบหมู่เกาะฝูซางไม่เจริญรุ่งเรืองเช่นที่คาดการณ์ไว้
ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินชื่อของหมู่เกาะมหาวิหารฝูซาง จะรับรู้ได้ว่าอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนแห่งเผ่าอสูรนั้นให้เกียรติมหาวิหารฝูซางแห่งนี้มากเพียงใด ไป๋ชิวหรานคิดว่าฝูซางจะต้องเป็นดินแดนที่พัฒนาแล้วเป็นแน่ ทว่าเมืองท่าเหล่านี้กลับมีสภาพล้าหลังกว่าเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเสียอีก!
เหล่าคนงานกับพลเรือนที่ทำงานและใช้ชีวิตอยู่ไม่ห่างจากท่าเรือ เมื่อเห็นเรือลำใหญ่ดังกล่าวแล่นเข้าเทียบท่า ต่างชะเง้อชะแง้มองราวให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“ข้าคิดว่าที่แห่งนี้เป็นเสมือนที่หลบภัยเสียมากกว่า”
ซูเซียงเสวี่ยมองไปยังพลเรือนเหล่านั้นแล้วส่ายหน้า
“ลักษณะทางร่างกายโดยเฉลี่ยของคนเหล่านี้ ดูอ่อนแอกว่ามนุษย์ทั่วไปที่อาศัยอยู่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเสียอีก เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาขาดแคลนอาหาร?”
“คงเป็นเพราะที่แห่งนี้มีทรัพยากรน้อยเกินไป”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ดูเหมือนว่าหลานเอ๋อร์เองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์ในสถานที่แห่งนี้มากนัก”
หลีจิ่นเหยาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินไป๋ชิวหรานใช้คำปราศรัยแสดงความสนิทชิดเชื้อกับสตรีที่นางไม่เคยพบพานมาก่อน
“ผู้อาวุโสไป๋ ภรรยาของท่านอาศัยอยู่ที่ใดหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกฝากนางให้พำนักอาศัยอยู่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซาง และได้รับการดูแลโดยเทพธิดาทั้งสององค์ คือมารดาแห่งดวงอาทิตย์ซีเหอ และเทพอีกาสามขา ทว่าตอนนี้…”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แม้แต่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ฝูซางยังหายไปจากที่ที่มันเคยอยู่ เหมือนว่าลูกศิษย์ของข้าจะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสวรรค์และโลกจนไม่เหลือเค้าเดิม”
“เช่นนั้นเราควรเริ่มตามหานางจากจุดใดดี?”
ซูเซียงเสวี่ยถาม
“พวกเราขึ้นฝั่งกันก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ
“อย่างไรก็ตาม หมู่เกาะฝูซางมีขนาดไม่ใหญ่นัก ข้าพาพวกเจ้าไปเดินเล่นสักหน่อยก็ย่อมได้”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หญิงสาวทั้งสามพลันรู้สึกยินดีขึ้นมา
ขณะที่ขึ้นฝั่ง พวกเขาได้จัดการกับเหล่าอันธพาลและโจรที่โลภในสมบัติบนเรือออกไปให้พ้นทาง ปฏิเสธบรรดาคนในท้องถิ่นที่เร่เดินตามเข้ามาขายของ แล้วรีบเดินออกไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนั้น
เรือลำนี้ถูกร่ายเวทคาถาป้องกันโดยซูเซียงเสวี่ยและหลีจิ่นเหยา จึงไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกใครปีนขึ้นไปขโมยบางสิ่ง พวกเขาทั้งสี่เดินเลี่ยงออกจากเมืองท่า แล้วเดินตรงไปตามถนนโดยใช้วิธีสุ่มคาดเดาเส้นทาง
วันถัดมา พวกเขาเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง…